ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 506 ฝนก็กำลังจะตก แม่ก็กำลังจะแต่งงาน
ตอนที่ 506 ฝนก็กำลังจะตก แม่ก็กำลังจะแต่งงาน
เซี่ยเหลยบ่นเล็กน้อย แม้เขาจะเข้าใจว่าเหตุใดหลิวกุ้ยอิงไม่ต้องการจัดพิธีให้เอิกเกริกเหมือนอย่างคนหนุ่มสาว แต่ทัศนคติที่ดูไม่จริงจังกับเรื่องสำคัญของหล่อนก็ยังทำให้เขาเสียใจเล็กน้อย
ต่อให้เขาจะเป็นลุงที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่เขากำลังจะแต่งงานกับคนที่เขารัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหวือหวาอะไร อย่างน้อยเขาก็ควรมีโอกาสได้แสดงน้ำใจต่อหล่อนบ้าง
พรุ่งนี้หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว พวกเขาก็ต้องไปรับประทานอาหารร่วมกับญาติ ๆ แต่ยังไม่ทันได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยซ้ำ
ทุกอย่างเรียบง่ายเกินไป
จะเป็นอย่างไรถ้าญาติ ๆ คิดว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกับหลิวกุ้ยอิงมากพอ?
ถึงเวลานั้นเขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่แก้ตัวได้ยากลำบาก ในฐานะผู้ใหญ่ นอกจากจะต้องรักษาหน้าของตัวเองแล้ว ยังต้องเห็นแก่หน้าของทุกฝ่ายด้วย
ถ้าพี่ชายคนโตไม่เป็นตัวอย่างที่ดี จะเกิดอะไรขึ้นถ้าถึงเวลาที่เซี่ยอวี่แต่งงาน แล้วตระกูลเย่ใช้มาตรฐานเดียวกันกับพวกเขาล่ะ?
โดยเฉพาะตระกูลเฉิน พวกเขาก็คงเอาเยี่ยงอย่างจากสิ่งเดียวกัน
เขาอยากพาหลิวกุ้ยอิงออกไปช้อปปิ้งมาก แต่ผู้หญิงคนนี้เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในครัว ไม่ยอมออกไปไหน
เซี่ยอวี่ยิ้มและพูดว่า “พี่ชาย ฉันซื้อทุกอย่างมาแล้ว พวกคุณไม่ต้องตระเตรียมอะไรเองเลย”
เซี่ยเหล่ยถามอย่างเร่งรีบ “ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้พี่สะใภ้ด้วยหรือเปล่า?”
เซี่ยอวี่พยักหน้า “ซื้อสิ เซี่ยเซี่ยกับฉันต่างก็ซื้อของมาให้พวกพี่ทั้งสองแล้ว นอกจากของพวกนี้ยังมีชุดสูทและเนกไทของพี่ด้วยนะ อยู่บนรถโน่น ไว้รอพี่สะใภ้เสร็จงานเมื่อไหร่เราค่อยมาลองดู”
ในที่สุดสีหน้าของเซี่ยเหลยก็ผ่อนคลายลง ตราบใดที่พวกเขามีเสื้อผ้าชุดใหม่ก็พอแล้ว
“พวกเราหิวแล้ว อยากกินข้าวจัง”
“รีบเข้ามานั่งก่อนเถอะ” ว่าแล้วทั้งสองก็รีบเข้าไปที่ห้องครัว
คุณแม่เซี่ยเริ่มอายุมากแล้ว หลังจากการเดินติดต่อกันเป็นเวลานาน ขาและเท้าของนางก็เป็นเหน็บชาและเมื่อยล้ามาก
นางดื่มน้ำดับกระหาย และพักผ่อนอยู่สักพักจนกระทั่งหายเหนื่อย
ยามแก่ตัวลง สังขารก็เริ่มไม่เอื้ออำนวยจริง ๆ
ก่อนหน้านี้สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดคือสุขภาพร่างกายของตัวเอง
นางกลัวความตาย นางไม่อยากตาย
จะตายได้อย่างไรในเมื่อลูกชายยังสูญเสียความทรงจำ?
ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว เซี่ยเหลยฟื้นคืนความทรงจำกลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เขาได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เขายังมีลูกสาวด้วยคนหนึ่ง แถมตอนนี้มีธุรกิจร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่
นางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป
คุณแม่เซี่ยมีอารมณ์สดใส นางยิ้มแล้วพูดกับหลินจินซานว่า “เสี่ยวลู่ไปไหนแล้ว ช่วยไปเรียกเขาให้หน่อยสิ เขาขับรถส่งพวกเราไปทำธุระมาตลอดทั้งวัน ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ให้เขามาทานอาหารร่วมกันกับเราด้วยเถอะ”
หลินจินซานนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเกียจคร้าน พูดว่า “เสี่ยวเยี่ยนไปเรียกหน่อย”
“ฉันเหรอ?” หลินเยี่ยนชี้ไปที่ตัวเองด้วยความประหลาดใจ
หลินจินซานพยักหน้า
“ใช่สิ เธอนั่นแหละไปเรียก เธออายุน้อยที่สุด ไปทำธุระบอกข่าวสารน่าจะเหมาะกว่า”
“โอ้”
หลินเยี่ยนตอบรับอย่างอารมณ์ดี วิ่งไปที่ห้องเต้นรำตามหาลู่เจิ้งอวี่อย่างว่าง่าย
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน แต่เพื่อนร่วมงานบอกว่าเขาขึ้นไปเตรียมตัวบนห้องพักแล้ว
หลินเยี่ยนทำได้เพียงขึ้นไปเคาะประตูเท่านั้น
ลู่เจิ้งอวี่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวเกินไป เขาจึงถอดเสื้อผ้าออก สวมแค่กางเกงซับในตัวโคร่ง ไม่สวมเสื้อ แล้วห่อท่อนล่างไว้ด้วยผ้าเช็ดตัว
เนื่องจากเขามีสถานะเป็นทั้งเพื่อนรุ่นน้องและผู้ช่วยส่วนตัวของเซี่ยไห่ เขาจึงได้พักอยู่ห้องเดี่ยว
หลินเยี่ยนเคาะประตู ไม่นานนักบานประตูก็เปิดออก ครั้นหล่อนเห็นชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใส่เสื้อ สวมแค่กางเกงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าของหล่อนก็แดงก่ำทันทีจนรีบเสมองไปทางอื่น
หล่อนหันหน้าหนี พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับยุงบินว่า “คุณย่าเชิญคุณไปกินข้าวค่ะ”
“ได้ เดี๋ยวผมจะรีบตามไป”
ลู่เจิ้งอวี่ยืนหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาหรือการแต่งกายของตัวเองมีอะไรผิดปกติ เวลานี้อยู่ในช่วงฤดูร้อน ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำงาน เขาก็ชอบแต่งตัวสบาย ๆ อยู่บ้านมากกว่า
แต่เมื่อเห็นว่าเด็กสาวตัวเล็กตรงหน้ามีท่าทางเขินอาย เขาก็เริ่มใส่ใจและระมัดระวังมากขึ้น “เสี่ยวเยี่ยน เข้ามานั่งรอข้างในก่อนสิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอตัวก่อนดีกว่า” หลินเยี่ยนเอียงหน้าไปด้านข้างเช่นเดิม ไม่กล้ามองเขา รีบหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
หัวใจของหล่อนเต้นรัวเร็ว ทันใดนั้นก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวหล่อนคือร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของลู่เจิ้งอวี่
ภายนอกเขาดูเป็นคนรูปร่างผอมเพรียว คาดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของเขาจะมีกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วนขนาดนั้นเมื่อไม่ได้สวมเสื้อผ้า
นอกจากนี้ หล่อนบังเอิญเหลือบมองไปทั่วห้องพักของเขาเมื่อครู่ เห็นว่าสภาพภายในสะอาดมาก ผ้าห่มบนเตียงพับเป็นก้อนเต้าหู้ ขนาดห้องพักไม่ใหญ่โตมาก แต่ดูแล้วสบายตา
เขาเป็นผู้ชายที่รักสะอาดและอนามัยดีอย่างแท้จริง
เมื่อนึกถึงห้องนอนที่รกเหมือนรังหมูของพี่ชายตัวเองที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ความประทับใจอันดีของหล่อนที่มีต่อคนคนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ที่แท้ผู้ชายคนอื่นก็รู้วิธีจัดห้องให้เป็นระเบียบด้วย
หลินเยี่ยนวิ่งกลับไปที่ร้านอาหาร หลินเซี่ยเห็นหล่อนเดินเข้ามา จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเยี่ยน ร้อนสินะ? หน้าเธอแดงมากเลย”
หล่อนก้มหน้าลงแล้วเดินไปที่ห้องครัว “ฉันไปช่วยแม่ทำกับข้าวก่อนนะ”
“เสี่ยวเยี่ยน ได้ไปเรียกเสี่ยวลู่แล้วหรือยัง?” คุณแม่เซี่ยถามขณะที่มองดูหล่อนพยายามหลบหน้าหลบตา
“เรียกแล้วค่ะ เขาจะมาที่นี่ในอีกสักครู่”
เมื่อลู่เจิ้งอวี่เข้ามา เขาก็ทักทายทุกคนอย่างสุภาพ แต่เมื่อไม่เห็นร่างที่ปรารถนาจะเจอ จึงหันไปถามหลินจินซานว่า “พี่ซาน เสี่ยวเยี่ยนกลับมาหรือยังครับ?”
“มาแล้ว อยู่ในครัวโน่น”
ลู่เจิ้งอวี่เหลือบมองไปทางห้องครัวด้วยสายตาอ่อนโยนเปี่ยมรัก
คุณแม่เซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้พวกเธอไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่เลย ต้องขอบคุณเสี่ยวลู่ที่คอยดูแลพวกเราทั้งขาไปและขากลับ ส่งเสี่ยวเยี่ยนกลับมาที่บ้านอย่างปลอดภัยทุกวัน เห็นแล้วฉันก็สบายใจ”
“จริงเหรอ? ขอบคุณมากนะเสี่ยวลู่”
“ไม่เป็นไรเลยครับ” ใบหน้าคล้ำแดดของลู่เจิ้งอวี่ซับสีแดงเรื่อขึ้นมาทันที
หลินเซี่ยมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขา ทันใดนั้นก็เหมือนจะคาดเดาบางอย่างได้
เธอจำได้ว่าตอนที่เจอพบกับลู่เจิ้งอวี่เป็นครั้งแรก เขามีนิสัยกระตือรือร้นมาก หลังจากแนะนำตัวเองก็ไม่วายล้อเลียนเฉินเจียเหอ
เขาเป็นน้องเล็กสุดของกลุ่มเพื่อนที่มีพี่ ๆ ทุกคนคอยโอ๋ ทำให้เขาเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสมากตลอดเวลา แต่สีหน้าเขินอายของเขาในตอนนี้แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
อะไรทำให้เขากระสับกระส่ายและไม่สบายใจแปลก ๆ?
แน่นอนว่ามันคือความรัก!
หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว หลิวกุ้ยอิงและลูก ๆ ทั้งสามของเธอก็กลับไปยังลานบ้านที่พวกเขาเช่าอยู่
หลินจินซานบอกว่าพวกเขาควรหอบเอาสิ่งของที่ซื้อมาทั้งหมดไปที่บ้านตระกูลเซี่ยในวันพรุ่งนี้น่าจะเหมาะสมกว่า ดังนั้นพี่น้องทั้งสามจึงขนของกลับบ้าน
จากนั้นก็ให้หลิวกุ้ยอิงลองสวมเสื้อผ้าชุดใหม่
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่ถุงใบใหญ่และใบเล็กที่พวกเขาซื้อมาให้หล่อนทั้งหมด นิสัยประหยัดเกินความจำเป็นก็กำเริบขึ้นมาอีก
“ทำไมซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้ล่ะ”
หลินจินซานยิ้มและพูดติดตลกว่า “แม่ เซี่ยเซี่ยบอกว่าของพวกนี้เป็นสินเดิมสำหรับแม่น่ะ”
เมื่อลูกชายพูดแบบนี้ หลิวกุ้ยอิงก็รู้สึกเขินอายและกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
ลูก ๆ มอบสินเดิมให้แม่ตัวเอง คนอื่นรู้เมื่อไรคงหัวเราะเยาะกันแทบตาย
ด้วยเหตุผลนี้ หล่อนถึงต้องการทำตัวเองให้กลายเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด
“ดูสิ พวกเราซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดตามธรรมเนียมที่บ้านเกิดของเราเลยนะ พอมาอยู่ในเมืองอาจจะดูเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวของลุงเซี่ยไม่ต้องการของอย่างพวกเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้นเราจึงซื้อผ้าห่ม เสื้อผ้า และสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันแทน รวมถึงเครื่องสำอางนิดหน่อย”
“มาค่ะ ลองสวมชุดนี้ดูหน่อยค่ะ”
หลินเซี่ยหยิบแจ็กเก็ตขนสัตว์ กางเกงขากระดิ่ง และรองเท้าหนังเสริมส้นออกมา
“อีกไม่กี่วันอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว ฉันเลยซื้อเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้แม่ทั้งหมดเลย”
หลินเซี่ยหยิบเสื้อคลุมอีกตัวออกมา “แม่ ลองใส่เสื้อตัวนี้อีกตัวสิคะ”
“ยังมีเสื้อสเวตเตอร์และชุดชั้นในครบครัน ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยใส่ทีเดียว”
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่กองเสื้อผ้าชุดใหม่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ที่มีราคาแพงหูฉีก
สีสันเหมาะสมกับงานมงคลมาก
หล่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จึงรีบเก็บชุดชั้นในทันสมัยพวกนั้นใส่ลงในถุงตามเดิม
“พ่อของลูกบอกว่าพี่ชายของลูกกับเสี่ยวเยี่ยนควรย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนั้น”
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยน ก่อนจะถามความคิดเห็นของพวกเขา “ลูก ๆ คิดเห็นยังไง?”
“แม่ ผมคงไม่ย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้นหรอก อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว พอเก็บเงินได้เดี๋ยวก็ต้องซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ผมอายุยี่สิบกลาง ๆ จะให้ย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของแม่ได้ยังไง? แต่ถ้าเสี่ยวเยี่ยนอยากย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่บ้านลุงเซี่ย ผมก็ไม่คัดค้านนะ”
เขายอมรับการแต่งงานของหลิวกุ้ยอิงกับเซี่ยเหลย นั่นก็เพราะเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง
การอยู่ร่วมกับบ้านตระกูลเซี่ย ย่อมทำให้เกิดรอยช้ำทางจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขาจะยิ่งรู้สึกผิดต่อบิดาผู้ให้กำเนิดจากก้นบึ้งของหัวใจ
คู่แต่งงานใหม่ที่พาลูกย้ายไปอยู่ด้วยล้วนเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ใครจะแต่งภรรยาแล้วเอาลูกเลี้ยงวัยยี่สิบห้าปีเข้าบ้าน?
หลินเยี่ยนพูดเสริม “งั้นฉันกับพี่ชายก็จะอยู่ที่นี่ค่ะ”
“แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรานะ อนาคตถึงเราจะไม่ได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน แต่ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมเสมอ เรายังเจอกันได้ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน”
หลินจินซานมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและพูดอย่างน่าสงสาร “แม่ อย่าทิ้งผมและเสี่ยวเยี่ยนไว้ตามลำพังหลังจากแม่แต่งงานแล้วก็พอ ถึงยังไงเราก็เป็นลูกของแม่เหมือนกัน”
หลิวกุ้ยอิงโอบกอดหลินจินซานไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง โอบหลินเยี่ยนในมืออีกข้างพร้อมกับพูดเจือสะอื้นว่า “ไม่ทิ้งแน่ เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันตลอดไป ลูกจะยังเป็นลูกของแม่เสมอ”
หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซานที่จู่ ๆ ก็มีอารมณ์อ่อนไหวและปลอบโยนเขา “พี่ชาย หยุดร้องไห้ได้แล้ว แม่ไม่ได้ไปแต่งงานไกลหูไกลตาซะหน่อย”
“แม่ พรุ่งนี้บ่ายแวะเข้าไปที่ร้านหน่อยนะคะ ฉันจะแต่งหน้าทำผมสวย ๆ ให้แม่ แล้วเราค่อยออกไปกินข้าวด้วยกันตอนบ่าย”
ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงเต็มไปด้วยการต่อต้าน “เซี่ยเซี่ย อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากเลย แม่ไม่อยากแต่งหน้า ไม่อยากทำอะไรเลย แค่ไปกินข้าวนอกบ้านง่าย ๆ เรื่องอื่น ๆ ไม่จำเป็นหรอก”
หลินเซี่ยเห็นแล้วว่าถึงแม้หลิวกุ้ยอิงจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่หล่อนรัก แต่หล่อนก็ยังอดด้อยค่าตัวเองไม่ได้ เพราะคิดว่านี่เป็นการแต่งงานครั้งที่สองของตัวเอง
ผู้หญิงในชนบทมักเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะหย่าร้างหรือเป็นม่าย ก็มักจะรู้สึกว่าตนด้อยกว่าคนอื่น เมื่อเข้าสู่บ้านสามีหลังที่สอง หล่อนจะลดการมีอยู่ของตัวเองลงสู่ระดับต่ำสุดโดยไม่รู้ตัวเสมอ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมโดยพื้นฐานแล้วถึงไม่มีอัตราการหย่าร้างเกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทในยุคนี้
“ยังไงแม่ก็ต้องถ่ายรูปแต่งงานค่ะ ใส่กรอบแขวนไว้ที่ห้องในบ้านตัวเอง ถ้าไม่ยอมถ่าย พ่อคงจะเสียใจแย่”
หลินเซี่ยบอกว่า “เสี่ยวเยี่ยนเพิ่งบอกพอดีเลยว่ามีช่างภาพนัดหมายเข้ามาสมัครงานที่ร้าน ไว้วันพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเขาเพื่อเรียกสัมภาษณ์ ถ้าเป็นไปได้ ให้เขาถ่ายรูปพวกคุณเป็นการลองงานก่อน แล้วฉันค่อยตรวจสอบทักษะการถ่ายภาพของเขาอีกที”
เธอไม่สะดวกใจที่จะขอให้ผู้สัมภาษณ์ถ่ายรูปลูกค้าคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงต้องการทดลองฝีมือเขากับพ่อแม่ตัวเอง
ถ้ารูปถ่ายออกมาดีก็ค่อยตัดสินใจว่าจ้าง
“งั้นก็แล้วแต่ลูก”
ตราบใดที่หล่อนไม่ได้ถูกบังคับให้สวมชุดแต่งงานต่อหน้าญาติ ๆ และเพื่อนฝูง หล่อนก็ยอมรับการถ่ายภาพได้อยู่
หลินเซี่ยบอกว่า “เสี่ยวเยี่ยนเพิ่งบอกพอดีเลยว่ามีช่างภาพนัดหมายเข้ามาสมัครงานที่ร้าน ไว้วันพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเขาเพื่อเรียกสัมภาษณ์ ถ้าเป็นไปได้ ให้เขาถ่ายรูปพวกคุณเป็นการลองงานก่อน แล้วฉันค่อยตรวจสอบทักษะการถ่ายภาพของเขาอีกที”
เธอไม่สะดวกใจที่จะขอให้ผู้สัมภาษณ์ถ่ายรูปลูกค้าคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงต้องการทดลองฝีมือเขากับพ่อแม่ตัวเอง
ถ้ารูปถ่ายออกมาดีก็ค่อยตัดสินใจว่าจ้าง
“งั้นก็แล้วแต่ลูก”
ตราบใดที่หล่อนไม่ได้ถูกบังคับให้สวมชุดแต่งงานต่อหน้าญาติ ๆ และเพื่อนฝูง หล่อนก็ยอมรับการถ่ายภาพได้อยู่
ทั้งสี่คนแม่ลูกอยู่คุยกันจนดึกดื่น พรุ่งนี้หลินจินซานไม่ต้องไปทำงาน หลินเซี่ยก็ไม่ได้กลับบ้านเช่นกัน พวกเขายังคงนั่งคุยกันสัพเพเหระต่อไป นึกถึงความยากลำบากและความทรงจำอันแสนหวาน บรรยากาศอบอวลด้วยอุ่นไอรัก
หลินเซี่ยพักอยู่ที่บ้านเช่าของแม่กับหลินเยี่ยน พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยเหลยก็มารับหลิวกุ้ยอิงแต่เช้าตรู่เพื่อไปจดทะเบียนสมรส
หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนนอนดึกกันมากเมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูต่างก็ลุกขึ้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเซี่ยเหลย หลินเซี่ยก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อ ตอนนี้ไม่เช้าไปหน่อยเหรอคะ?”
เซี่ยเหลยไม่คาดหวังว่าหลินเซี่ยจะอยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงอธิบายอย่างเชื่องช้าว่า “ย่าของลูกกระตุ้นให้พ่อรีบมาที่นี่เร็วหน่อย เพราะกลัวว่าจะต้องไปรอต่อคิวนาน”
หลิวกุ้ยอิงเชิญเขาเข้ามาในบ้าน เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ รับประทานอาหารว่างแบบเรียบง่าย ส่วนที่เหลือก็ใช้ฝาชีคลุมเอาไว้
“พ่อ แม่ หลังจากที่พวกคุณได้ใบทะเบียนสมรสมาแล้วไปเจอกันที่ร้านใหม่ของเราได้เลยนะคะ”
“ได้”
พอได้เจอเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงเคียงข้างกันในเวลานี้ ทั้งหลินจินซานและหลินเยี่ยนก็รู้สึกซับซ้อนมาก
ใจหนึ่งพวกเขารู้สึกมีความสุขไปกับแม่ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย
หลินจินซานมองท้องฟ้าที่ยังมืดอยู่ ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นกลางใจของเขา
ฝนก็กำลังจะตก แม่ก็กำลังจะแต่งงาน(1)
…………………………………………………………………………………………………………………………
ฝนก็กำลังจะตก แม่ก็กำลังจะแต่งงาน เป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยว่า สรรพสิ่งมันย่อมมีทางของมัน ไม่มีใครไปบังคับเปลี่ยนแปลงได้ โชคชะตาฟ้าลิขิตหรือใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดดับเป็นไปตามเวรตามกรรม
สารจากผู้แปล
ดอกรักของเสี่ยวเยี่ยนก็ดูท่าจะเริ่มเบ่งบานเสียแล้วสิ
ไหหม่า(海馬