ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 509 แต่งงานแล้ว
ตอนที่ 509 แต่งงานแล้ว
เมื่อหลินเซี่ยเห็นว่าครอบครัวของพวกเขามากันพร้อมหน้า เธอจึงมองไปที่เฉินเจียเหอด้วยความประหลาดใจและถามเบา ๆ “คุณไปเชิญพวกเขามาเหรอ?”
เฉินเจียเหอปฏิเสธ “เปล่านี่ ผมงานยุ่งจะตายไป ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลย”
ขณะที่พูด ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ ก็เดินตรงมาหาแล้ว ผู้เฒ่าเฉินมองหลินเซี่ยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย ได้ยินมาว่าเธอกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ตายายของเจียเหอสบายดีไหม?”
“คุณปู่ พวกเขาสุขภาพแข็งแรงดีค่ะ”
“มาเถอะ ทุกคนรีบเข้าไปข้างในกัน”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงมาที่นี่ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อจัดแจงอาหารในงานเลี้ยง ตอนนี้พอแขกมาถึงก็รีบเข้ามาทักทาย
“เสี่ยวเซี่ย ในที่สุดเธอกับแม่ของเซี่ยเซี่ยก็อยู่ด้วยกันเสียที ขอแสดงความยินดีด้วย พวกเราทุกคนมีความสุขมาก”
ผู้เฒ่าเฉินจับมือกับเขาแล้วยื่นซองแดงให้
เซี่ยเหลยปฏิเสธ “ลุงเฉิน ไม่ได้หรอกครับ เราไม่ได้จัดงานแต่งงาน แค่มารับประทานอาหารมื้อเย็นกับครอบครัวเท่านั้น”
“เธออดทนมานานมากแล้ว ดีใจจริง ๆ ที่เห็นว่าเธอสามารถฟื้นตัวได้เหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเสี่ยวหลิว”
ผู้เฒ่าเฉินจริงใจมาก เห็นได้ว่าเขายกย่องวีรบุรุษคนนี้อย่างแท้จริง
“พ่อตา แม่ยาย ยินดีด้วยนะครับ” เฉินเจิ้นเจียงก็เข้ามาจับมือกับเซี่ยเหลยเช่นกัน
“ขอบคุณครับ”
ในเวลาเดียวกัน เฉินเจิ้นเจียงก็หยิบซองแดงออกมา
เซี่ยเหลยรู้สึกเขินอายเกินกว่าจะยอมรับซองในรอบนี้
แต่เฉินเจิ้นเจียงให้เหตุผลว่าผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโส สิ่งนี้ถือเป็นตัวแทนของความรู้สึกของเขา โจวลี่หรง และลูก ๆ ทั้งสองคน
เซี่ยเหลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับไว้
สมาชิกครอบครัวเฉินเพิ่งได้รับเชิญให้นั่งลง ในไม่ช้า เย่ไป๋ก็มาพร้อมกับพ่อแม่และน้องสาวของเขา
เย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิ่งแต่งตัวอย่างสุภาพและเป็นทางการมาก ราวกับว่าพวกเขามาร่วมงานแต่ง
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น
ในขณะนี้ เซี่ยอวี่ก็ตระหนักได้ว่าเซี่ยไห่ฉลาดแค่ไหน
ถ้าพวกเขาไม่ซื้อของขวัญและเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ แขกในงานก็คงไม่รู้แน่ว่าใครกันที่เป็นเจ้าบ่าว
หลี่เหม่ยเฟิงยังแต่งตัวตามแฟชั่นมากกว่าหลิวกุ้ยอิงเสียอีก
ครอบครัวนี้เตรียมซองแดงมาด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หลี่เหม่ยเฟิงอวยพรเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิง หล่อนก็มุ่งหน้าไปหาว่าที่ลูกสะใภ้
เซี่ยอวี่กล่าวว่า “ลุงเย่ คุณป้า เชิญนั่งก่อนค่ะ”
“เสี่ยวอวี่ ช่วงนี้งานคงเหนื่อยมากใช่ไหม? ฉันได้ยินจากเย่ไป๋ว่าเธอไปถ่ายทำโฆษณาที่ปินเฉิง ดูเหมือนช่วงนี้จะผอมลงกว่าเดิมซะอีก ไว้ฉันจะทำซุปมาฝากเธอทีหลังนะ” หลี่เหม่ยเฟิงจับมือเซี่ยอวี่แล้วเริ่มถามคำถาม
“คุณป้า ไม่ผอมหรอกค่ะ ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอด”
เธอรักษาน้ำหนักให้คงที่อยู่ที่เก้าสิบสองชั่ง*มาโดยตลอด อาจจะมีความผันผวนบ้างแต่ก็น้อย
(*92 ชั่ง = ประมาณ 46 กิโลกรัม อิงตามมาตรวัดน้ำหนัก 1 ชั่งเท่ากับ 500 กรัม)
เย่เชี่ยนอธิบายจากด้านข้าง
“แม่ พี่เซี่ยอวี่อ้วนไปกว่านี้ไม่ได้ ถ้าน้ำหนักขึ้นแล้วจะออกหน้ากล้องได้ยังไง?”
“จริงด้วย ไว้ฉันจะไปขอคำปรึกษาจากนักโภชนาการ ทำอาหารที่ไม่ทำให้เธออ้วน”
ความห่วงใยอย่างกระตือรือร้นของหลี่เหม่ยเฟิงที่มีต่อเซี่ยอวี่นั้นแตกต่างอย่างมากกับความสัมพันธ์ระหว่างโจวลี่หรงกับหลินเซี่ย
โจวลี่หรงต้องการคุยกับหลินเซี่ยเช่นกัน แต่หลินเซี่ยยุ่งอยู่กับการช่วยพ่อแม่ของเธอทักทายแขก ส่วนโจวลี่หรงมีบุคลิกที่เงียบขรึมและน่าเบื่อ ไม่รู้ว่าจะเข้าหาลูกสะใภ้ด้วยความกล้าหาญและเป็นธรรมชาติได้อย่างไร ขณะที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดคุยสนิทสนมกับว่าที่ลูกสะใภ้ หล่อนก็ได้แต่ยืนอยู่ที่นั่นและมองตามหลินเซี่ย
ผู้ใหญ่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน คนหนุ่มสาวก็นั่งแยกออกมาอีกโต๊ะ
เซี่ยไห่และเย่ไป๋ถือเป็นผู้อาวุโส จึงต้องนั่งร่วมกับเซี่ยเหลยและคนอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้อาวุโสมากเกินจำนวนเก้าอี้รอบโต๊ะ
จนพวกเขาต้องแยกออกมานั่งกับเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ
คนเดียวที่สามารถนั่งข้างผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ก็คือหู่จือ
วันนี้หู่จือสวมชุดสูทตัวเล็ก ผูกหูกระต่าย ดูเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลา เมื่อนั่งอยู่ข้างผู้เฒ่าเฉินแบบนี้ เขาก็ดูเหมือนเป็นคุณชายตัวน้อยไม่ปาน
สถานะของเย่ไป๋ก็ชัดเจนมาก เขากำลังจะกลายเป็นอาของทุกคนในอนาคต
ดังนั้น หลินจินซานจึงพูดจาสุภาพนุ่มนวลมาก เรียกอีกฝ่ายว่าอาทุกครั้งที่เจอเขา
เย่ไป๋ไม่มีความรู้สึกเคอะเขินหรือถ่อมตัวแต่อย่างใด ยืดอกยอมรับสรรพนามนั้นไว้แต่โดยดี
หลังจากเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแล้ว คุณแม่เซี่ยก็ยืนขึ้นและเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ว่า “วันนี้เป็นวันที่เซี่ยเหลย ลูกชายคนโตของฉัน และกุ้ยอิงได้จดทะเบียนสมรสกัน พวกเขามีเหตุให้ต้องพรากจากกันมานานยี่สิบปี กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนับไม่ถ้วนเหล่านั้นมาได้ และได้กลับมาพบกันอีกครั้งในไห่เฉิง นอกจากนี้เซี่ยเหลยยังได้ฟื้นความทรงจำกลับคืนมา จดจำได้ว่ากุ้ยอิงคือใคร นี่จึงถือเป็นพรที่แท้จริงหลังจากข้ามผ่านความทุกข์ทรมาน
เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาไปที่เทศมณฑลจินซาน เพื่อเผากระดาษต่อหน้าหลุมศพของพ่อหลิน เพื่อที่จะได้อธิบายเกี่ยวกับอดีตของกุ้ยอิงให้ชัดเจน เด็ก ๆ เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี และสนับสนุนการแต่งงานใหม่ของกุ้ยอิง เดิมทีฉันต้องการจัดงานแต่งงานให้พวกเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นกุ้ยอิงที่ไม่ต้องการทำให้เอิกเกริกและฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลเซี่ยของเรามากที่สุด ดังนั้นฉันขอเชิญพวกคุณทุกคนมารับประทานอาหารร่วมกัน เพื่อให้ทราบถึงความยากลำบากของพวกเขาทั้งสองก่อนจะมาถึงจุดนี้ หวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ราบรื่น และมีความสุข”
ผู้อาวุโสเฉินรู้สึกประทับใจอย่างมากเมื่อได้ยินดังนั้น “พี่สาว เป็นสุนทรพจน์ที่ดีมาก”
เย่เจิ้งหัวก็คร่ำครวญเช่นกัน “พวกเราทุกคนเคยได้ยินเรื่องราวของพวกเขามาบ้างแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลับมาอยู่ร่วมกัน”
“มา ดื่มอวยพรให้พวกเขามีความสุขกันเถอะ”
หลังจากดื่มอวยพร ผู้เฒ่าเฉินก็กล่าวอวยพรอีกสองคำ คำพูดของเขาทั้งหมดแสดงถึงความเคารพและยกย่องต่อเซี่ยเหลย
ทุกคนในวันนี้ต่างแสดงความยินดีออกมาจากใจจริง
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงตอบรับคำอวยพรของทุกคน
เมื่อพวกเขามาถึงโต๊ะของคนรุ่นหลัง ทุกคนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตามลำดับอาวุโส พวกเขาดื่มให้กับเซี่ยอวี่ก่อนในลักษณะที่เป็นทางการมาก
“เสี่ยวอวี่ ถ้าวันนั้นไม่มีเธอ คงไม่มีฉันในวันนี้ เธอทำงานอย่างหนักเพื่อฉันมาหลายปีแล้ว”
เซี่ยเหลยมองเซี่ยอวี่ด้วยสายตาที่จริงใจ
หากไม่มีน้องสาวที่พาเขาย้ายไปฮ่องกงเพื่อเข้ารับการรักษา หากไม่มีน้องสาวที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูและคอยดูแลเขาทุกครั้งที่ว่าง ชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาคงจะหายไปตั้งแต่สิบปีก่อน
“พี่ใหญ่ จะลำเลิกถึงเรื่องในอดีตไปทำไมกัน? วันนี้วันสำคัญของพี่นะ อย่าดึงอารมณ์ให้เศร้าซะเปล่าเลย” เซี่ยอวี่ดื่มอวยพรอย่างมีความสุข จากนั้นก็ยัดกุญแจไว้ในมือของหลิวกุ้ยอิง
หลิวกุ้ยอิงสับสนกับการกระทำนี้
“ฉันซื้อบ้านหลังใหม่ให้พวกคุณ อยู่ตรงข้ามกับบ้านของเจียเหอและเซี่ยเซี่ยพอดี”
“นี่…”
“เอาล่ะๆ จากนี้ไปขอให้พวกพี่ให้เกียรติซึ่งกันและกันให้มากนะ”
เซี่ยอวี่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร พยายามเบี่ยงเบนความสนใจทันควัน
หลิวกุ้ยอิงจึงต้องเก็บกุญแจใส่กระเป๋าตัวเองเอาไว้ก่อน
คนที่นั่งถัดจากเซี่ยอวี่และดื่มอวยพรก็คือเย่ไป๋
นี่คือคนที่กำลังจะมาเป็นน้องเขยของเขาในไม่ช้า
“นับจากนี้เป็นต้นไป ปฏิบัติต่อเซี่ยอวี่ให้ดีนะ”
“พี่ใหญ่ ผมจะดีต่อหล่อนครับ” เย่ไป๋ถือแก้วเหล้าด้วยมือทั้งสองแล้วดื่มลงคอในอึกเดียว “ขอให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้อายุยืนยาว ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันจนผมหงอกขาว”
“เสี่ยวไห่ พี่ใหญ่ขอบคุณสำหรับการดูแลอย่างไม่เปลี่ยนแปลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา นายเองก็ทำงานหนักเหมือนกัน”
“พี่ใหญ่ คำพูดของพี่ทำให้ผมละอายใจจริง” เซี่ยไห่ดื่มเหล้าที่พี่สะใภ้ส่งมาและพูดว่า “จากนี้ไปครอบครัวของเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีชีวิตที่ดี”
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ผมขอให้พวกคุณโชคดี”
หลังจากที่เซี่ยไห่ดื่มเสร็จ เขาก็หยิบซองสีแดงปึกหนาออกมา และมอบมันให้กับหลิวกุ้ยอิงโดยตรง “พี่สะใภ้ ถ้าคุณไม่ยอมรับไว้ เท่ากับคุณทำให้ผมเสียน้ำใจ”
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่ซองจดหมายสีแดงปึกหนา แล้วมองเซี่ยไห่ด้วยความเขินอาย
“รับไว้เถอะ” เซี่ยเหลยพูดย้ำ หลิวกุ้ยอิงจึงต้องรับมันไว้อย่างไม่เต็มใจ
เซี่ยไห่ เย่ไป๋ และเซี่ยเหลยเป็นคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นการดื่มอวยพรให้กันจึงไม่มีอะไรน่าแปลก แต่ที่เหลือล้วนเป็นคนรุ่นลูกกันทั้งนั้น
หลินเซี่ยพูดว่า “พ่อ อยากพูดอะไรกับพวกเราหรือเปล่าคะ?”
“อยากสิ”
เซี่ยเหลยว่าแล้วก็รินเหล้าให้หลินจินซาน
เขามองไปที่หลินจินซานด้วยสีหน้าจริงใจ “จินซาน ขอบใจเธอมาก ถ้าเธอไม่รังเกียจ จากนี้จะถือว่าเราเป็นพ่อลูกกันก็ได้”
“ลุงเซี่ย ผมไม่รังเกียจอยู่แล้วครับ ขอแค่ทำดีกับแม่ผม จากนี้ไปผมถึงจะสบายใจปล่อยให้หล่อนเป็นผู้หญิงของคุณอย่างสมบูรณ์”
หลินจินซานดื่มเหล้า ดวงตาของเขาแดงเล็กน้อย
ปกติเขาเป็นคนใจแข็ง แต่เมื่อเห็นแม่เลี้ยงที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กแต่งงานใหม่ เวลานี้เขาก็สงบสติอารมณ์ไม่ได้อีก
เซี่ยเหลยพูดอย่างจริงใจ “ฉันขอให้สัญญา ว่าฉันจะไม่มีวันทำให้แม่ของเธอเจ็บช้ำน้ำใจเด็ดขาด”
“มา ลูกสาว พ่อขอดื่มให้ลูกเช่นกัน พ่อล้มเหลวในการทำหน้าที่ในฐานะพ่อมาหลายปี ทำให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตัวเองไม่ควรเจอ” เซี่ยเหลยมองหลินเซี่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ในชีวิตของเขา เขาติดหนี้สองแม่ลูกมากมายเหลือเกิน
สิ่งที่ทำได้คือชดเชยความผิดเหล่านั้นด้วยหัวใจไปตลอดชีวิตที่เหลือ
“พ่อ คนที่ทุกข์ทรมานมากกว่าก็คือพ่อต่างหากค่ะ”
หลินเซี่ยรับแก้วเหล้า มองดูพ่อแม่ของเธอ ดวงตาของเธอเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา พร้อมกันนั้นหัวใจก็อวลไปด้วยสายธารความอบอุ่น
ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกันเสียที
“เจียเหอ ขอบคุณเช่นกันนะ”
“พ่อครับ ผมขอให้คุณกับแม่มีความสุขนะครับ”
เฉินเจียเหอยังเตรียมซองแดงให้พวกเขาด้วย
ที่จริงเขาอยากซื้ออะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เชื่อตามที่หลินเซี่ยแนะนำ เงินถือเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
“มาสิ จวิ้นเฟิง อาจะดื่มอวยพร”
เซี่ยไห่ได้ยินจากด้านข้างว่าพี่ใหญ่แทนตัวเองว่าอากับถังจวิ้นเฟิง เขาก็ล้อเลียนว่า “พี่ใหญ่ จวิ้นเฟิงเป็นสหายฉันเหมือนกัน เรียกเขาแบบนั้นเท่ากับเอาเปรียบฉันนะ”
เซี่ยเหลยตอบอย่างจริงจัง “เขายังเด็ก อายุของฉันเป็นอาของเขาได้”
เฉินเจียเหอไม่อยากให้เพื่อนของเขาแต่ละคนกลายเป็นผู้อาวุโสของเขาไปเสียหมด
ถังจวิ้นเฟิงถือแก้วเหล้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “คุณอาเซี่ย ผมดีใจมากที่ได้ยินคุณเรียกแทนตัวเองว่าอา คุณคือแบบอย่างของผม เป็นคนที่ผลักดันให้ผมมาสู่จุดที่เป็นอยู่”
“อดทนทำงานหนัก แล้วอนาคตของนายจะสดใส”
หลังจากที่เซี่ยเหลยให้กำลังใจถังจวิ้นเฟิง เขามองไปที่หลินเยี่ยน “เสี่ยวเยี่ยน ลุงขอดื่มอวยพร ถ้าไม่สะดวกใจจะดื่มเหล้าก็ใช้เครื่องดื่มอย่างอื่นแทนได้”
“เจิ้งอวี่ก็เหมือนกัน พวกเธอทั้งคู่เป็นเด็กดี ตั้งใจทำงานนะ”
เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงและดื่มอวยพรอีกฝ่ายด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง
ทุกคนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นบรรยากาศที่เรียบง่ายแต่อบอุ่นมากเลยค่ะ ฮือ ในที่สุดคุณพ่อคุณแม่ก็ได้แต่งงานแล้ว
ไหหม่า(海馬)