ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 511 ฉันโชคไม่ดีใช่ไหม?
ตอนที่ 511 ฉันโชคไม่ดีใช่ไหม?
เฉินเจียซิ่งกลอกตาอย่างไร้คำพูด “ทำไมผมต้องหึง? จะหึงคนบ้าแบบนั้นให้มันได้อะไร? ผมก็แค่ถามด้วยความอยากรู้ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะห้ามไม่ให้คุณกระโดดลงไปในกองไฟ แต่ได้ยินมาว่าหลังจากนั้นไม่มีประกายไฟใด ๆ ทั้งนั้นเกิดขึ้น ผมเลยโล่งใจ”
ในโอกาสเฉลิมฉลอง พอได้ยินเฉินเจียซิ่งพูดถึงผู้หญิงอัปมงคล เฉินเจียเหอก็ขัดจังหวะอย่างสงบ “ตอนนี้นายหย่ากับหล่อนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับหล่อน หยุดคุยเรื่องนี้เถอะ”
“พี่ชาย ที่ผมพูดก็เพื่อประโยชน์ของเพื่อนพี่หรอกนะ”
“เอาล่ะ มาดื่มกันดีกว่า”
เฉินเจียซิ่งกลายเป็นคนช่างพูดกว่าเมื่อก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง เขามองไปที่เซี่ยอวี่และพูดอย่างกระตือรือร้น “อาเซี่ยอวี่ แฟนผมชอบคุณมาก ถ้ามีโอกาสผมอยากพาหล่อนมาถ่ายรูปกับคุณได้ไหมครับ?”
“วันไหนล่ะ?” เซี่ยอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถาม
เฉินเจียซิ่งแตะจมูกของเขาอย่างเชื่องช้าแล้วตอบว่า “เร็ว ๆ นี้แหละครับ”
“ได้ ไว้วันหลังค่อยนัดกัน”
“เจียซิ่ง นายเริ่มใหม่ได้เร็วดีแท้ รอบนี้จะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ?” ถังจวิ้นเฟิงถามอย่างสงสัย
เฉิยเจียซิ่งมองไปที่เฉินเจียเหอ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้กำลังจะแต่งงานกันนี่ แต่งพร้อมกับเขาก็เป็นความคิดที่ดีนะ”
“พร้อมกันเหรอ?” เฉินเจียเหอมองไปที่เฉินเจียซิ่งด้วยความตกตะลึง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความคิดแบบนี้
เฉินเจียซิ่งพยักหน้าและพูดเสียงดัง “ใช่ พี่เองก็แต่งงานรอบสอง ฉะนั้นเรามาจัดงานพิธีพร้อมกันทีเดียวเลยดีกว่า หลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองทรัพยากรด้วย”
ทัศนคติของเฉินเจียเหอแสดงความไม่แยแส “ใครๆ เขาก็อยากฉายเดี่ยวกันทั้งนั้น”
การแต่งงานครั้งที่สองของเขา เหมือนกับการแต่งงานครั้งที่สองน้องชายเขาหรือไง?
“เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ทำไมถึงได้ใจแคบนักล่ะ? เราจะได้เชิญญาติมาทีเดียวพอ ประหยัดเวลา! ถึงยังไงนี่ก็เป็นการแต่งงานครั้งที่สองของผม คงน่าอายเกินไปที่จะส่งคำเชิญอย่างเอิกเกริกอีกครั้ง แต่งพร้อมพี่เลยน่าจะดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอวางทีท่าเฉยเมยต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ยอมเห็นด้วยกับเขา เฉินเจียซิ่งก็โกรธขึ้นมา “พี่ใหญ่ หมายความว่าไง? พี่กำลังดูถูกฉันงั้นเหรอ? หรือคิดว่าการแต่งงานครั้งที่สองของผมถือเป็นลางไม่ดี?”
เฉินเจียเหอ “…”
จะพูดได้ไหมล่ะ?
บางทีมันอาจจะเป็นลางไม่ดีจริง ๆ ก็ได้
ไม่แน่ น้องชายเขาอาจจะแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สามในอนาคต
แน่นอนว่าเฉินเจียเหอกล้าบ่นเรื่องนี้เพียงในใจเท่านั้น
คนอื่น ๆ ต่างก็กลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่เมื่อเฉินเจียซิ่งร้อนตัวว่าการแต่งงานครั้งที่สองของเขาถือเป็นลางไม่ดี
หลินจินซานอดกลั้นไม่ได้ถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา
จากนั้นเขาก็ตกใจมากจนต้องรีบปิดปาก
บรรยากาศหลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นอึดอัดเล็กน้อย
ผู้อาวุโสทุกคนเริ่มมองมาทางนี้
หลินเซี่ยรีบมองไปที่เฉินเจียซิ่งและเปลี่ยนเรื่อง “น้องเขยรอง ตอนนี้ร้านเราได้ช่างภาพแล้ว นายจะพาแฟนมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งที่ร้านของเราก่อนก็ได้นะ ฉันคิดว่าวันนั้นหล่อนชอบและหมายตาชุดแต่งงานในร้านไว้แล้ว หงเสียเป็นคนสวย ถ้าถ่ายรูปออกมาจะต้องดูดีมากแน่”
คำพูดของหลินเซี่ยบรรเทาความขุ่นเคืองของเฉินเจียซิ่งได้สำเร็จ เขาถามว่า “งั้นพรุ่งนี้เราไปถ่ายเลยได้ไหมล่ะ?”
ปากของหลินเซี่ยกระตุกทันที “ได้สิ”
“ขอบคุณมากพี่สะใภ้”
เฉินเจียซิ่งเรียกหลินเซี่ยว่า ‘พี่สะใภ้’ อย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากผ่านเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง เขาก็ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับหลินเซี่ยเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
นอกจากนี้ หยางหงเสียแฟนสาวของเขายังชื่นชอบในตัวหลินเซี่ยมาก ดังนั้นเขาจึงอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินเซี่ยมากยิ่งขึ้น
ด้วยการแต่งงานที่ล้มเหลวครั้งก่อนหน้า เขาตระหนักว่าตราบใดที่พี่สะใภ้ แม่สามี และภรรยาของเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดอง มันจะช่วยบรรเทาความปวดหัวของผู้ชายไปได้มากจริง ๆ
ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องทนฟังเสียงบ่นจากคนในบ้านจนหูชา
เซี่ยไห่ถามเซี่ยอวี่และเย่ไป๋ว่า “พวกคุณสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ? ว่าง ๆ ก็แวะไปถ่ายรูปแต่งงานที่ร้านของเซี่ยเซี่ยบ้างสิ พี่สาว ถ้ารูปของเธอถูกอัดใส่กรอบแล้วแขวนโฆษณาไว้ที่ประตู กิจการของหลานเราต้องเฟื่องฟูมากแน่”
“พวกเรายังไม่รีบร้อนหรอก”
เย่ไป๋มองเซี่ยอวี่ด้วยสายตาอ่อนโยน ยอมจำนนต่อหล่อนอย่างเห็นได้ชัด “ฉันเคารพการตัดสินใจของเสี่ยวอวี่”
ที่โต๊ะถัดไป ครั้นหลี่เหม่ยเฟิงแอบได้ยินเซี่ยอวี่และเย่ไป๋บอกว่าพวกเขาไม่ได้รีบร้อน หล่อนก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีก
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูมั่นคงมาก แต่ทำไมยังไม่รีบร้อนคุยเรื่องแต่งงานล่ะ?
หลี่เหม่ยเฟิ่งเคยเคารพความปรารถนาส่วนตัวของเย่ไป๋ แต่ตอนนี้เมื่อได้เจอว่าที่สะใภ้ที่ดีพร้อมแบบนี้ หล่อนก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หวังว่าพวกเขาจะลงเอยกันได้ในไม่ช้า
หลังอาหารเย็น เมื่อทุกคนทยอยแยกย้ายแล้ว ในที่สุดโจวลี่หรงก็มีโอกาสได้พูดคุยกับหลินเซี่ยตามลำพัง
“เซี่ยเซี่ย ตายายว่ายังไงบ้าง? พวกเขาเต็มใจที่จะมางานแต่งเธอไหม?” โจวลี่หรงกังวลมากเกี่ยวกับการที่พ่อแม่ของตนจะเข้ามาที่ไห่เฉิง
หลินเซี่ยตอบกลับ “คุณแม่ พวกเขาสัญญากับฉันแล้วค่ะว่ามาแน่ มาพร้อมคุณลุงกับน้าสะใภ้”
“เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ” โจวลี่หรงจับมือหลินเซี่ยและร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อได้ยินคำตอบรับในเชิงบวกของพ่อและแม่
เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้วนับตั้งแต่พ่อแม่มาที่ไห่เฉิงครั้งล่าสุด ตอนนี้ หลินเซี่ยทำให้พวกเขายอมมาเหยียบเมืองใหญ่อีกครั้ง
นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจเปิดใจบ้างแล้ว
เมื่อเห็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งอย่างโจวลี่หรงหลั่งน้ำตา หลินเซี่ยก็ปลอบหล่อนเบา ๆ
“แม่คะ อย่าเสียใจไปเลย พวกเขาคิดถึงคุณมากและอยากเข้าเมืองมาเยี่ยมตั้งหลายครั้ง เพียงแต่คุณยายค่อนข้างเมารถ ท่านเลยไม่ค่อยอยากเดินทางไกลเท่าไหร่”
“ฉันรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงฉัน เพราะอย่างนั้นถึงไม่อยากมาเพื่อสร้างปัญหาให้ฉันเพิ่ม”
เฉินเจิ้นเจียงเห็นโจวลี่หรงเช็ดน้ำตา เขาก็เหลือบมองหล่อน “เป็นอะไรไป?”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่ดีใจ ในที่สุดพ่อแม่ฉันก็เต็มใจจะมาที่ไห่เฉิงแล้ว”
หลังจากได้ยินสิ่งที่โจวลี่หรงพูด เฉินเจิ้นเจียงก็มีความสุขมากเช่นกันเมื่อได้ยินข่าวนี้
ก่อนหน้านี้ตอนพ่อตาและแม่ยายของเขามาถึงในเมือง ทว่าพวกเขาก็กลับไปเพราะความไม่พอใจบ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าเขาอธิบายหลายครั้งในตอนหลังว่าเขาไม่เคยดูถูกคนที่มาจากชนบทเลย ไม่อย่างนั้นเขาจะแต่งงานกับโจวลี่หรงได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรก็ตาม พ่อตาและแม่ยายกลับบอกว่าเชื่อถือในอุปนิสัยใจคอของเขา บอกด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจผิด ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยมาที่ไห่เฉิงอีกเลย
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาปลีกตัวไปเยี่ยมผู้ใหญ่ทั้งสองเลย
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพวกเขายอมมาที่ไห่เฉิงแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงเองก็เป็นปู่ เขาใส่ใจมากว่าคนรุ่นลูกรุ่นหลานคิดอย่างไรกับเขา
“กลับไปเราจะจัดบ้านให้เรียบร้อย ซื้อของใช้ประจำวันให้พวกเขาล่วงหน้านะ”
เฉินเจิ้นเจียงมองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย ขอบใจนะ เธอทำให้แม่คลายความกังวลไปได้มากเลยล่ะ”
ทุกคนกล่าวคำอำลาต่อกัน และออกไปอยู่ที่หน้าประตูร้านอาหาร บรรดาผู้ชายต่างก็ดื่มแอลกอฮอล์กันในระดับที่แตกต่างกันออกไป
ตระกูลเฉินมีคนขับมารับถึงที่ เซี่ยไห่เองก็เรียกรถมารับทุกคนกลับบ้าน
หลินจินซานต้องไปทำงาน หลินเยี่ยนจึงต้องกลับไปที่บ้านเช่าเพียงลำพัง
เซี่ยเหลยคาดหวังว่าหลินเยี่ยนจะยอมตามพวกเขามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน แต่หลินเยี่ยนกลับปฏิเสธ
คุณแม่เซี่ยจับมือหลินเยี่ยนแล้วพูดด้วยความกังวลว่า “เสี่ยวเยี่ยน กลับบ้านกับพวกเราเถอะ เราเป็นห่วงที่เด็กสาวอย่างเธอต้องอยู่ตามลำพัง”
“คุณย่า ไม่เป็นไรเลยค่ะ พวกเราอยู่ที่นั่นกันมาตั้งนาน ฉันเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนั้นแล้ว แถมทำเลยังอยู่ใกล้กับร้านและที่ทำงานด้วย”
หลิวกุ้ยอิงมองลูกสาวของหล่อนทั้งน้ำตา รู้สึกอึดอัดอย่างมากในใจเมื่อตัวเองต้องแต่งงานแล้วแยกบ้านไปอยู่อีกที่ “เสี่ยวเยี่ยน แม่เป็นห่วง”
หลินเยี่ยนกลั้นน้ำตา แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรและพูดว่า “แม่ ฉันโตแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงหรือกังวลเลย พวกคุณควรกลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ฉันขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” “
ลู่เจิ้งอวี่โพล่งขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันไปส่ง”
เขาอยากทำหน้าที่ในฐานะผู้ไล่ตาม
“ไม่เป็นไร ฉันไปส่งน้องสาวของฉันเองได้”
หลินจินซานเหลือบมองลู่เจิ้งอวี่อย่างระมัดระวัง ขัดความตั้งใจอีกฝ่าย
“อารอง ผมจะกลับมาทำงานหลังจากส่งเสี่ยวเยี่ยนถึงบ้านเรียบร้อยแล้วนะครับ”
ลู่เจิ้งอวี่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของเซี่ยไห่ แม้ว่าเขาจะอาวุโสกว่า และเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากแค่ไหนก็ตาม หลินจินซานก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับการปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“ได้ แล้วแต่พวกนายเลย ใครจะไปส่งก็ตามใจ”
เซี่ยไห่ให้สัญญากับพ่อแม่ของลู่เจิ้งอวี่มานานแล้ว ว่าเขาจะพยายามหาแฟนให้กับลู่เจิ้งอวี่
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขารู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มผู้ซื่อสัตย์คนนี้เริ่มแสดงออกถึงความสนใจในตัวหญิงสาว
ที่จริงนี่ถือเป็นโอกาสอันดี แต่เนื่องจากหลินจินซานกระตือรือร้นที่จะปกป้องน้องสาว ทำให้เขาไม่กล้าจับคู่ทั้งสองอย่างบุ่มบ่าม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เหอไม่อยากแย่งซีนเด่นกับคู่น้องชายสินะคะ เลยกันท่าไว้ก่อน
เสี่ยวเยี่ยนเริ่มมีพี่คอยหวงแล้วล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)