ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 512 คืนส่งตัวเจ้าสาว
ตอนที่ 512 คืนส่งตัวเจ้าสาว
หลิวกุ้ยอิงติดตามสมาชิกตระกูลเซี่ยกลับไปที่บ้านของพวกเขา
แต่การกลับไปบ้านตระกูลเซี่ยในคืนนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
จากนี้ไป หล่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้อย่างเป็นทางการ
ในฐานะสะใภ้คนโต
เมื่อเข้าไปในลานบ้าน เซี่ยไห่ก็บอกว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ รีบเข้าห้องไปพักผ่อนเถอะ”
“วันนี้เหนื่อยมากเลย รีบนอนกันเถอะ” คุณแม่เซี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณแม่ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ต้องรีบเข้านอนเหมือนกันนะคะ” หลิวกุ้ยอิงเปลี่ยนคำเรียกอีกฝ่ายเสียใหม่ในคืนนี้ เรียกคุณแม่เซี่ยอย่างเป็นธรรมชาติ
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในห้อง พวกเขาก็ต้องประหลาดใจกับการตกแต่งภายใน
เซี่ยเหลยงานยุ่งตั้งแต่ไปจดทะเบียนสมรสในตอนเช้า เซี่ยไห่จึงบอกว่าเขา เซี่ยอวี่ และเย่ไป๋ขอรับหน้าที่ทำความสะอาดห้อง และขอให้เขาไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายในระหว่างนั้น
เขาแอบเห็นว่าแม่ผู้ชราของเขาและเซี่ยอวี่ซื้อผ้าห่มสีแดงที่ปักข้อความมงคลมา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้พวกเขาทำความสะอาดและตกแต่งห้องอย่างใจเย็น
เวลานี้ เซี่ยเหลยก็เหลือบไปเห็นเครื่องใช้อื่น ๆ ที่พวกเขาจัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ
นี่ใช่ห้องเดิมของเขาอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
เมื่อก่อนผ้าม่านของเขารวมทั้งผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มนวมล้วนเป็นสีเข้ม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ มีเพียงโต๊ะและตู้เสื้อผ้าอย่างละหนึ่งตัวเท่านั้น
แต่ห้องตรงหน้า กลับเต็มไปด้วยสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์ของความรื่นเริง
แม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่หลายชิ้นก็ถูกเพิ่มเข้ามา
เซี่ยไห่ยิ้มเผล่เมื่อเห็นพี่ใหญ่เอาแต่ยืนอึ้งอยู่ที่หน้าประตู เขาเดินเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกคุณพอใจกับผลงานการจัดห้องของเราหรือเปล่า?”
เขาชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “นั่นลูกเขยพวกคุณซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ”
เซี่ยอวี่บอกว่าหล่อนซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้หลิวกุ้ยอิงเยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่มีที่วางอย่างเพียงพอ
เซี่ยไห่กำลังจะออกไปซื้อ แต่เพราะเขาเคยสัญญากับเฉินเจียเหอก่อนหน้านี้ว่าอารองจะเป็นคนจัดหาเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านหลังใหม่ให้เขา
ดังนั้นเขาจึงโทรหาเฉินเจียเหอ ถามเขาว่าเขามีเวลาไปดูเฟอร์นิเจอร์ด้วยกันหรือเปล่า
ยิ่งซื้อมากเท่าใดราคาก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น
เมื่อเฉินเจียเหอรู้ว่าเซี่ยไห่กำลังจะซื้อโต๊ะเครื่องแป้งให้แม่ยาย เขาก็บอกว่าเขาจะเป็นคนซื้อโต๊ะเครื่องแป้งให้หล่อนเอง
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงรู้สึกสะท้อนใจมากเมื่อได้ยินว่าลูกเขยใช้จ่ายเงินเพื่อพวกเขาอีกแล้ว
“อย่าลืมพักผ่อนล่ะ”
เห็นพี่ชายของเขายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เซี่ยไห่ก็หงุดหงิดในความทึ่มทื่อของอีกฝ่าย ออกแรงผลักเขาเข้าไปและกระซิบข้างหู “พี่ใหญ่ เอาแต่ยืนตะลึงอยู่ได้ คืนนี้เป็นคืนแต่งงานของพี่นะ อย่าทำตัวน่าเบื่อเกินไป”
“ออกไปซะ”
เซี่ยเหลยเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าน้องชาย หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อย
“คุณเอาเงินอั่งเปาทั้งหมดที่ได้รับในคืนนี้เก็บไว้เถอะ”
เซี่ยเหลยหยิบซองแดงหลายซองออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทของเขา
ทั้งหมดมาจากตระกูลเฉินและพ่อแม่ของเย่ไป๋
“คุณเก็บไว้เองเถอะค่ะ” หลิวกุ้ยอิงวางซองแดงทั้งหลายที่เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ มอบให้ไว้บนโต๊ะอย่างไม่ไยดี เช่นเดียวกับกุญแจที่เซี่ยอวี่มอบให้
เมื่อเห็นการกระทำของเธอ เซี่ยเหลยขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงความไม่พอใจ
“อิงจื่อ จากนี้ไปเราจะกลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว อำนาจทางการเงินของครอบครัวเราอยู่ในมือคุณ ตามหลักแล้วภรรยาควรดูแลเรื่องเงินภายในบ้านหลังนี้”
เมื่อเขาพูดคำว่า ‘ภรรยา’ ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบายใจ
เขามองหล่อนด้วยสายตาลึกซึ้งเป็นเวลานาน แล้วพูดว่า “ต่อจากนี้เรามามีชีวิตที่ดี เป็นกำลังใจซึ่งกันและกันตลอดชีวิตที่เหลือของเรา และสนับสนุนลูกหลานของเราให้มีความเป็นอยู่ที่มั่นคงกันเถอะ”
“ค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงนั่งอยู่บนผ้าปูที่นอนสีแดง มองดูคำว่า สุข ที่ติดกระจายไว้ทั่วห้อง รวมถึงลูกโป่งสีสันสดใสที่จัดแต่งไว้เหนือศีรษะ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน
“หลังจากผ่านไปยี่สิบปี ในที่สุดผมก็ได้แต่งงานกับคุณ ผมดีใจมากเหลือเกิน”
เซี่ยเหลยอดไม่ได้ที่ขยับเข้าไปกอดหล่อนไว้
ร่างกายของหลิวกุ้ยอิงแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหล่อนก็ยกมือขึ้นแตะหลังเขา
ในห้องหลัก คุณแม่เซี่ยยังคงนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้า
เซี่ยไห่เดินเข้ามาหา พอเห็นหญิงชรายิ้มกว้างไม่หยุดก็ถามว่า “แม่ ทำไมยังไม่เข้าไปนอนอีก?”
“แม่มีความสุขน่ะสิ นึกแล้วก็นอนไม่หลับ” คืนนี้เป็นคืนแต่งงานของลูกชายและลูกสะใภ้ นางดีใจมากเมื่อคิดว่าลูกชายคนโตในวัยสี่สิบได้แต่งงานและมีภรรยาอย่างเป็นทางการ ทั้งยังได้แต่งงานกับหญิงสาวผู้เป็นรักแรก และมีลูกสาวด้วยกันอีกหนึ่งคน
เซี่ยไห่เหลือบมองหญิงชราที่ยิ้มเหมือนคนโง่เขลา
“อย่าเอาหูแนบกำแพงฟังเสียงแปลก ๆ เชียวล่ะ”
“ไอ้ลูกเวร พูดเรื่องบ้าอะไร เห็นฉันเป็นคนอย่างนั้นเรอะ?”
คุณแม่เซี่ยมองเซี่ยไห่ด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ไล่เขาออกไป “ไปทำงานของตัวเองได้แล้วไป”
“ดึกดื่นแบบนี้ผมควรทำงานอะไรล่ะ? ผมอยากนอนมากกว่า” เซี่ยไห่นั่งบนโซฟาแล้วรินน้ำใส่แก้วให้ตัวเอง
คืนนี้เขาดื่มเหล้าหนักไปหน่อย สมองจึงเริ่มมึนงง
“ไม่กลับไปคุมงานที่ห้องเต้นรำเหรอ?” คุณแม่เซี่ยถาม
“แม่ ผมเป็นเจ้าของนะ ไม่มีผมสักคนห้องเต้นรำก็เปิดตามปกติ ไม่ต้องไปคอยเฝ้าทั้งวันซะหน่อย”
เซี่ยไห่ยังรินน้ำใส่แก้วให้หญิงชราด้วย
เซี่ยไห่มีความสุขพอ ๆ กับผู้เป็นแม่เมื่อนึกภาพพี่ใหญ่ของตัวเองแต่งงาน
“เสี่ยวไห่ พี่ใหญ่ของลูกก็แต่งงานแล้ว พี่สาวก็อาจจะแต่งในเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้เหลือแค่ลูกคนเดียวแล้วนะ”
เซี่ยไห่สบตากับหญิงชรา คราวนี้เขาไม่คิดจะหลบเลี่ยงอีกต่อไป “แม่ ไว้ผมจะเร่งมือแล้วกันนะ”
คืนนี้เซี่ยไห่แทบไม่หลีกเลี่ยงหัวข้อนี้เลย
ดูเหมือนเขาจะคิดออกแล้วว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่น่าหวาดกลัวอะไร ขนาดเฉินเจียซิ่งที่เคยหย่าร้างแล้วยังแต่งงานใหม่ได้ ทุกคนมีช่วงปลอดความรัก สหายพี่น้องรอบตัวเขาที่อายุน้อยกว่ายังกล้าหย่ากับภรรยาเลย
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของแม่มีความสุขแค่ไหน ก็ดูเหมือนเขาจะต่อต้านการแต่งงานไม่ได้อีกต่อไป
เพียงแต่ คนที่เต็มใจจะแต่งงานกับเขาอยู่ไหนกันล่ะ?
เขาไม่มีวันลืมสายตาที่หญิงสาวคนนั้นมองเขาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่เซี่ยตงถอดกางเกงเขาออกต่อหน้าหญิงสาวที่เขาหลงรัก จนกางเกงชั้นในผู้หญิงที่มีรอยปะปรากฏเย้ยสายตาผู้คน…
ความรู้สึกอับอายและต่ำต้อยในครั้งนั้นกลายเป็นปมฝังลึก ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนมีเสน่ห์ขนาดไหนก็ตาม เขายังรู้สึกหายใจไม่ออกทุกครั้งเมื่อคิดถึงมัน
ความรักในหัวใจของเขาตายด้านไปตั้งแต่ตอนนั้น
ทันทีที่เซี่ยไห่ออกมาจากห้องโถง เขาเห็นว่าไฟในห้องนอนของพี่ใหญ่ปิดมืดแล้ว เขาหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ออกไปที่ห้องเต้นรำอีกครั้ง โดยไม่ได้กลับเข้าไปนอนพักในห้องตามที่พูดไว้เมื่อครู่
เขารู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งกับทุกสิ่งที่ทำให้พี่ใหญ่มาถึงจุดนี้ และขอบคุณพรแห่งโชคชะตา
ในคืนนั้น หลินเซี่ยก็เผชิญกับห้วงอารมณ์อันสวยงามเช่นกัน ทันทีที่กลับถึงบ้าน เธอก็แบ่งปันความสุขนี้กับเฉินเจียเหอ
ในที่สุดพ่อแม่ของเธอก็ได้นอนร่วมเรียงเคียงหมอนอย่างถูกต้องนับจากนี้เป็นต้นไป
ในที่สุดเธอก็ไม่ใช่คนที่ไร้ครอบครัวอีกต่อไป
“คุณบอกว่าที่ร้านได้ช่างภาพประจำแล้ว แปลว่าวันนี้มีคนมาสมัครงานเหรอ?” เฉินเจียเหอถาม
ถ้าที่ร้านมีช่างภาพ เขาก็อยากหาเวลาว่างไปถ่ายภาพแต่งงานกับหลินเซี่ย เพื่อที่จะได้เอารูปไปอัดใส่กรอบและแขวนผนังตกแต่งบ้านหลังใหม่
หลินเซี่ยตอบกลับ
“ใช่ เย่เชี่ยนเป็นคนแนะนำเขามา เขาหล่อมาก บุคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง ก่อนหน้านี้เคยทำงานในสำนักหนังสือพิมพ์ ฉันคิดว่าทักษะของเขาดีมากเลย ท่าทางตอนที่ถ่ายรูปดูเป็นมืออาชีพมากเหมือนกับศิลปินมืออาชีพ พรุ่งนี้เขาจะล้างรูปแล้วแวะเอารูปของพ่อแม่มาให้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเก็บเขาไว้”
“หล่อเหรอ? มีความเป็นตัวเองสูงด้วยเหรอ??” เฉินเจียเหอกอดเธอไว้แน่นแล้วถามว่า “เขาอายุเท่าไหร่ล่ะ?”
“ไม่ได้ถาม เย่เชี่ยนกับเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนมัธยมปลาย งั้นพวกเขาก็น่าจะอายุประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า”
“โอ้”
หลินเซี่ยไม่รับรู้ถึงความหึงหวงของชายคนนั้นเลย เธอถอดเสื้อผ้าออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง “เข้านอนกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้ฉันต้องพาหู่จือไปลงทะเบียนเรียนอีก”
ชายหนุ่มที่ดื่มเหล้าจนเมากรึ่มเล็กน้อยกลับเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด
ถ้าเขาไม่นอน เธอก็ไม่ควรนอนเหมือนกัน
เขาไม่เพียงแต่ดึงเธอเข้ามาคลอเคลียใกล้ชิดเท่านั้น ยังถามเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “เซี่ยเซี่ย สำหรับคุณแล้ว ใครคือผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่ๆ หนีไปแต่งงานกันหมด เหลือแต่นายแล้วนะเซี่ยไห่
พี่เหออย่าลืมปิดฝาขวดน้ำส้มสิคะ กลิ่นคลุ้งเชียว
ไหหม่า(海馬)