ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 520 มีฉากล่องเรือจริงๆ ด้วย
ตอนที่ 520 มีฉากล่องเรือจริงๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้เซี่ยไห่จึงนั่งอยู่คนเดียวในห้องคาราโอเกะ ฟังเพลงจากแผ่นเสียงพลางดื่มเหล้าอย่างโดดเดี่ยว
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาเซี่ยตงซึ่งไม่ได้ติดต่อมาเป็นเวลานาน
เมื่อเซี่ยตงได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยไห่ก็เกิดความยินดีขึ้นมา
และเมื่อได้ยินเซี่ยไห่ชวนออกมาดื่ม เขาก็รีบมาหาทันที
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นเหล้ายี่ห้อต่างประเทศสองขวดวางอยู่บนโต๊ะเล็กเบื้องหน้าของเซี่ยไห่ นอกจากนี้ยังมีผลไม้ เมล็ดแตงโมและกับแกล้มอื่นๆ คลอไปด้วยเสียงคาราโอเกะดังกระหึ่ม
เซี่ยไห่ส่ายแก้วเหล้าในมือ เหนือศีรษะของเขามีแสงไฟหลากสีส่องประกายอยู่ ทำให้ใบหน้าของเขามีแสงกะพริบตามไปด้วย
เซี่ยตงเกือบจะท้อแท้กับภาพตรงหน้านี้แล้วจริงๆ
“เหล่าเซี่ย นี่จะไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปเหรอ? ฉันเป็นข้าราชการ จะทำผิดพลาดไม่ได้เลยนะ”
เซี่ยไห่เหลือบมองที่ประตูและพูดเย็นชาว่า “งั้นพี่ก็ออกไปเลยสิ”
กระนั้นเซี่ยตงยังเดินเข้ามาแล้วนั่งลง แม้ว่าเขาไม่ดื่ม แต่ก็รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว
“แล้วเป็นอะไรไปเหรอ? กำลังเจอปัญหาอยู่หรือเปล่า?” เขาถามด้วยความเป็นกังวล เพราะสังเกตเห็นว่าเซี่ยไห่กำลังอารมณ์ไม่ดี
“ผมเป็นเถ้าแก่ แล้วจะเจอปัญหาอะไรได้อีก?”
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยไห่ก็ดื่มเหล้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ของผมแต่งงานแล้ว”
เซี่ยตงได้ยินแล้วจึงมองเขาด้วยความตกใจ “นี่เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ แล้วทำไมนายไม่บอกกันเลยล่ะ? พวกเราจะได้แวะมาร่วมงานและแสดงความยินดีกับสหายเซี่ยเหลยด้วย”
“แค่จดทะเบียนกันน่ะ เพราะพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของผมเป็นคนติดดิน ไม่ได้จัดงานหรอก”
เซี่ยไห่ยังพูดเสริมว่า “พี่สาวของผมก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน”
“หมายถึงเย่ไป๋เหรอ?” เซี่ยตงเลิกคิ้วถามและมองเซี่ยไห่เพื่อยืนยัน
เซี่ยไห่พยักหน้า
เซี่ยตงนึกถึงใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับหยกของเย่ไป๋ ชายคนนั้นทั้งอ่อนเยาว์และหล่อเหลา จากนั้นเขาก็จิบน้ำแล้วถอนหายใจพลางเอ่ย “เซี่ยอวี่กลายเป็นคนชอบกินเด็กสินะ เฮ้อ”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หล่อนไม่เคยชายตามองเขาตั้งแต่ยังเด็กๆ
เซี่ยตงยกมือลูบหน้าลูบตาของตัวเองที่เหมือนจะแก่กว่าวัยตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ
“แล้วพี่สาวของนายจะแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ?” เซี่ยตงพูดว่า “ถ้าหล่อนแต่งงาน นายจะต้องบอกให้ฉันทราบนะ ฉันจะต้องมาร่วมอวยพรหล่อน”
“เพิ่งเริ่มคบกันเอง”
เซี่ยไห่รินเหล้าอีกแก้วให้ตัวเองแล้วยกดื่ม ก่อนจะพูดต่อ “เจียเหอและเซี่ยเซี่ยก็กำลังจะจัดงานแต่งแบบเป็นทางการแล้วด้วย”
“ยังมีไอ้เด็กเหลือขอจินซานนั่นอีก เขาวิ่งไปที่ร้านเสริมสวยทุกวัน มองแวบเดียวก็รู้ว่ามีจุดประสงค์ไม่บริสุทธิ์”
“จวิ้นเฟิงกับเจิ้งอวี่ ผมก็เดาว่าไม่น่าจะโสดแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของเซี่ยไห่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่ไล่นับคนรู้จักรอบตัวภายในลมหายใจเดียว
“จริงเหรอเนี่ย?” เซี่ยตงกำลังจะบอกว่านี่เป็นเรื่องดี แต่แล้วก็ได้ยินเซี่ยไห่บ่นด้วยความโกรธว่า
“พี่คิดว่าการตกหลุมรักและแต่งงานเป็นเรื่องดียังไง? ทำไมพวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะมีกันนะ”
“ก็ทุกคนโตกันหมดแล้ว ถึงเวลาเริ่มต้นสร้างครอบครัวแล้วไง”
ที่เซี่ยตงเอ่ยเช่นนั้นได้ เพราะเขาอายุมากกว่าเซี่ยไห่สองปี แถมลูกชายก็อยู่ในโรงเรียนมัธยมต้นแล้ว
ไม่ใช่ว่าคนอื่นใจร้อน แต่เป็นเซี่ยไห่ที่ยังย่ำอยู่กับที่ต่างหาก
เซี่ยไห่ทอดถอนใจด้วยความเศร้าโศก “จริงสินะ ถึงเวลาสร้างครอบครัวแล้ว เหลือผมคนเดียวจริงๆ”
เมื่อฟังน้ำเสียงของเซี่ยไห่แล้ว เซี่ยตงก็รู้ได้เลยว่าเขากำลังอิจฉาคนอื่น จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเวลาที่นายจะต้องคิดเรื่องส่วนตัวได้แล้วนะ”
“คิดเรื่องส่วนตัวเหรอ?” ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็เปลี่ยนสีหน้า เขากระแทกวางแก้วเหล้าบนโต๊ะ และมองเซี่ยตงด้วยสายตาเย็นชา “คิดเรื่องส่วนตัวงั้นเหรอ? แล้วผมจะคิดยังไงดีล่ะ? ผมจะไปมองหาใครที่ไหน?”
ท่าทางเหมือนแมวถูกเหยียบหางของเซี่ยไห่ทำให้เซี่ยตงตกใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงแบบไม่มีที่มาที่ไปของเขามาก
“พี่รู้ไหมว่าผมเคยแอบชอบใครคนหนึ่งมาก่อน?”
เซี่ยไห่หันไปมองเซี่ยตงแล้วพูดเสียงเย็นชาแกมเย้ยหยัน “ในตอนที่ผมถูกพี่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและบดขยี้มันลงกับพื้น หล่อนก็ยืนมองอยู่ข้างๆ พี่เห็นบ้างไหม?”
เซี่ยไห่ดื่มเหล้าด้วยความรู้สึกหดหู่และยิ้มขมขื่น “ผมอยากจะตายไงล่ะ”
“เซี่ยไห่ ฉันขอโทษ ฉันคิดว่านายยกโทษให้ฉันแล้ว”
เซี่ยตงมองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าเจ็บปวดและรู้สึกผิด เสียใจสุดซึ้งต่อพฤติกรรมสิ้นคิดของตัวเองเมื่อครั้งเยาว์วัย
เขารู้อยู่เสมอว่าเซี่ยไห่โกรธเพราะเหตุการณ์นั้นมาก แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลร้ายแรงต่อเซี่ยไห่จนกระทั่งปิดกั้นหัวใจตัวเอง แต่เซี่ยไห่ก็แสดงออกเหมือนคนที่ไร้กังวล และมักจะบอกว่าไม่อยากแต่งงานเพราะไม่ชอบถูกควบคุม ทำให้เขาคิดว่าเซี่ยไห่เป็นผู้ชายเสเพล
“เซี่ยไห่ ฉันไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจะทิ้งแผลใจไว้กับนายขนาดนี้ ฉันเสียใจมากจริงๆ”
เซี่ยตงรินเหล้าให้พวกตนทั้งสองคน จากนั้นลุกขึ้นยืนและขอโทษอีกฝ่ายขณะถือแก้วเหล้าเอาไว้ เพราะนอกเหนือจากนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าสามารถทำสิ่งใดได้อีก
ก่อนหน้านี้เขาได้ขอโทษเซี่ยไห่นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เซี่ยไห่ก็ยกโทษให้เขา และเขาคิดว่าเรื่องนี้จบลงไปนานแล้วเช่นกัน
“พี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะผมให้อภัยพี่ตั้งนานแล้ว”
เขาดื่มเหล้าอีกพลางฟังเพลงจากแผ่นวีซีดี และไม่ได้พูดต่ออีกนาน
เขายกโทษให้เซี่ยตงนานแล้วจริงๆ แต่ก็ตามที่เซี่ยตงพูด คือเขากลายเป็นคนมีแผลใจ
แม้ว่าเขาจะแต่งตัวดีมากแค่ไหน แต่เขากลับรู้สึกเหมือนสวมแค่กางเกงชั้นในลายดอกไม้เท่านั้น
เพราะความยากจน ความอับอายและความภาคภูมิใจในตนเองต่ำในตอนเด็กๆ ทำให้เขาขาดความมั่นใจ
ทั้งสองเงียบไปนานแล้วอยู่ๆ เซี่ยตงก็พูดก่อนว่า “อันที่จริงแล้ว หลังจากนั้นฉันได้พบกับผู้หญิงที่นายแอบชอบคนนั้นด้วยนะ”
“พี่ว่าไงนะ? ไม่สิ แล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมแอบชอบใครอยู่?” เซี่ยไห่ได้ยินคำพูดของเซี่ยตงแล้วจึงมองเขาด้วยความตกตะลึง
เซี่ยตงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ก็ต้องรู้สิ เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ?”
“หล่อนแต่งงานได้สิบกว่าปีแล้วล่ะ พอฉันพูดถึงนายให้ฟัง หล่อนก็ดูสับสนและคิดอยู่นานทีเดียว หล่อนบอกว่ามันผ่านมานานเกินไป และความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นในอดีตก็พร่ามัว จนหล่อนต้องใช้เวลานานในการนึกชื่อของนายออกมา”
“จำไม่ได้เลยเหรอ?” เซี่ยไห่ลดระดับสายตาลงพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ใช่ ฉันเองก็ไม่ค่อยมีความทรงจำเรื่องเพื่อนร่วมชั้นในอดีตมากสักเท่าไรหรอก เพราะหลังจากเรียนจบ ทุกคนล้วนไปมีวงจรชีวิตใหม่และเพื่อนใหม่ จะจำใครได้มากขนาดนั้นล่ะ”
“ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เป็นผมเองที่ไม่ปล่อยวางสินะ”
เมื่อตอนนี้ได้มาลองคิดดู ก็เหมือนว่าเขาจะจำใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นได้ไม่ชัดเจนนักแล้ว
สิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนก็คือ รูปลักษณ์ของหล่อนในเหตุการณ์นั้น
รูปลักษณ์ที่คอยตามหลอกหลอนในฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขามักจะฝันถึงสาวน้อยที่จ้องมองกางเกงชั้นในลายดอกไม้ที่เขาใส่และส่งเสียงหัวเราะล้อเลียน
“เซี่ยไห่ นายอาจจะรู้สึกอับอายมาก แต่ความจริงแล้วทุกคนรอบตัวนายก็แค่หัวเราะและเดินผ่านไป ไม่มีใครจำได้ว่าใครใส่ชุดอะไรหรือจะกินอะไรหรอก เพราะในสมัยนั้นชีวิตของทุกคนเต็มไปด้วยความยากลำบากและวุ่นวาย ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นจากยุคสมัย”
เซี่ยตงพูดเสริม “แต่อย่างน้อยในตอนนั้นนายก็ไม่ได้เปลือยล่อนจ้อนนะ”
เซี่ยไห่ยกเท้าเตะเขาตรงๆ พลางเอ่ยไล่ “พี่รีบไสหัวออกไปเลย”
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เปลือยล่อนจ้อน…พูดออกมาได้อย่างไร
เขาอยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเปลือยตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าถูกหัวเราะเยาะที่ใส่กางเกงชั้นในลายดอกไม้ของพี่สาวเมื่อตอนเป็นเด็กด้วยซ้ำ
แต่เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้เลย ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็รู้สึกว่าเขากลายเป็นคนคิดเองเออเอง
ถูกต้อง สำหรับคนอื่นก็แค่ยืนมองความสนุก และเห็นว่านั่นเป็นการทะเลาะกันของวัยรุ่นสองคน ซึ่งอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าเล็กๆ หลังมื้ออาหารเย็นของใครหลายคนเท่านั้น
วันนั้นได้เห็นแล้วก็แค่หัวเราะ แต่ใครจะสนใจหรืออยากจดจำว่าคนอื่นสวมกางเกงในลายอะไรไปตลอดชีวิต?
แต่เขากลับติดอยู่กับเหตุการณ์นี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว
เซี่ยไห่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นตาแก่เจ้าทิฐิอย่างไรอย่างนั้น
เขาโบกมือไล่ “พี่ออกไปซะเถอะ ผมอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“นายลืมได้แล้วนะ จิ้งจิ้งแต่งงานแล้ว ลูกชายของหล่อนอายุสิบกว่าขวบแล้วด้วย”
เมื่อเซี่ยตงล้อเลียนเขาเช่นนี้ ในที่สุดเซี่ยไห่ก็เพิ่งจำได้ว่า ชื่อของสาวน้อยคนนั้นมีคำว่า ‘จิ้ง’ อยู่จริงๆ
ดูสิ ความจริงคือเขาลืมชื่อเต็มของอีกฝ่ายไปแล้วด้วยซ้ำ
เซี่ยไห่ไล่อีกฝ่ายออกไป แต่เซี่ยตงยังคงนั่งนิ่ง “ฉันก็อยากจะร้องเพลงเหมือนกันนะเนี่ย”
“ร้องเพลงบ้านพี่น่ะสิ พี่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถ้ามาทำตัวฟุ่มเฟือยแบบนี้ ระวังผมจะรายงานล่ะ”
“รีบออกไปซะเถอะ นายน้อยเซี่ยผู้ไม่เข้าใจความทุกข์ของโลกนี้”
เซี่ยตงถูกเซี่ยไห่ไล่ออกไปได้จริงๆ แล้วเขาก็ยืนอยู่นอกประตูพลางหรี่ตามองไปที่ประตูซึ่งปิดอยู่ด้วยความสงบ
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความทุกข์ของโลกนี้?
เขาไม่เพียงเข้าใจความทุกข์เท่านั้น แต่รู้ดีว่าการอับอายต่อหน้าผู้หญิงที่แอบชอบนั้นเป็นอย่างไร
เพราะเขาเองก็เคยแอบรัก
เขาเข้าใจอารมณ์ของเซี่ยไห่ดี ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ชอบ แม้ว่าฐานะครอบครัวของเขาจะไม่ยากลำบาก แม้ว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่จะไม่มีรอยปะ แต่เขาก็ยังมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ ซึ่งไม่ต่างจากที่เซี่ยไห่รู้สึกเลย
เขาเองก็มีความขี้ขลาด และไม่มีความกล้าที่จะมองหล่อนอีกครั้งด้วยซ้ำ
ดังนั้น การแอบรักฝ่ายเดียวจึงจบลงโดยไม่ได้เริ่ม
……
เย่ไป๋พาเซี่ยอวี่ออกไปชมภาพยนตร์ด้วยกัน
และยังเป็นการชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยเซี่ยอวี่เองด้วย
เย่ไป๋เคยดูมานานแล้ว ทั้งยังเฝ้ารอให้กำหนดฉายวนกลับมาอีกครั้ง
เพราะในยุคนี้ผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์มีไม่มากนัก ซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องจะถูกนำมาฉายซ้ำเรื่อยๆ
พวกละครโทรทัศน์ที่ฉายจากแต่ละสถานี ก็มักจะมีการฉายซ้ำ
เซี่ยอวี่มองใบหน้าของตัวเองบนหน้าจอขนาดใหญ่และพูดไม่ออก “เย่ไป๋ คุณนี่น่าเบื่อมากจริงๆ”
หล่อนแค่ทำหน้าที่แสดง แต่ไม่ค่อยได้ชมผลงานของตัวเอง
เย่ไป๋จับมือของหล่อนพลางกระซิบว่า “แต่ผมชอบดูที่สุดเลยนะ”
“คนโกหก ตอนที่เราพบกันครั้งแรก คุณจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยดูผลงานของหล่อนมาก่อน
“ก็ผมได้ดูหลังจากนั้นไง แล้วไม่เคยละสายตาได้อีกเลย”
เย่ไป๋มองด้วยความจริงจังและจมอยู่กับมันโดยสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจากเซี่ยอวี่ที่กำลังเกาฝ่ามือของเขาด้วยความเบื่อ
ในขณะที่เซี่ยอวี่กำลังง่วงนอน ทันใดนั้นเย่ไป๋ก็กระชับมือที่จับหล่อนไว้แน่น
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา หล่อนก็เห็นฉากเลิฟซีนที่ปรากฏบนหน้าจอขนาดใหญ่
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากล่องเรือ*ด้วย
(*เป็นความหมายโดยนัยของฉากเลิฟซีนหรือฉากอัศจรรย์ บทกวีเชิงรักๆใคร่ๆ มักเปรียบห้วงอารมณ์ในฉากนั้นเป็นเหมือนการล่องเรือ)
เดิมทีหล่อนเขี่ยฝ่ามือของเย่ไป๋ด้วยความเบื่อ แต่คราวนี้เป็นเย่ไป๋ที่จับมือหล่อนไว้แน่นมาก
แม้ว่ามือของเขาจะมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่หน้าจออยู่พักใหญ่ และไม่ละสายตาไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
……
เซี่ยอวี่มองฉากที่ตนกอดกับนักแสดงชายในภาพยนตร์ที่ร่วมแสดงเมื่อไม่กี่ปีก่อน และเมื่อมองผู้ชายที่จ้องหน้าจอด้วยความจริงจังข้างๆ หล่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ จะหาเรื่องทำร้ายจิตใจตัวเองทำไมกัน?
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากล่องเรือ*ด้วย
(*เป็นความหมายโดยนัยของฉากเลิฟซีนหรือฉากอัศจรรย์ บทกวีเชิงรักๆใคร่ๆ มักเปรียบห้วงอารมณ์ในฉากนั้นเป็นเหมือนการล่องเรือ)
เดิมทีหล่อนเขี่ยฝ่ามือของเย่ไป๋ด้วยความเบื่อ แต่คราวนี้เป็นเย่ไป๋ที่จับมือหล่อนไว้แน่นมาก
แม้ว่ามือของเขาจะมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่หน้าจออยู่พักใหญ่ และไม่ละสายตาไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
……
เซี่ยอวี่มองฉากที่ตนกอดกับนักแสดงชายในภาพยนตร์ที่ร่วมแสดงเมื่อไม่กี่ปีก่อน และเมื่อมองผู้ชายที่จ้องหน้าจอด้วยความจริงจังข้างๆ หล่อน ทันใดนั้นก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ จะหาเรื่องทำร้ายจิตใจตัวเองทำไมกัน?
หล่อนจึงพูดออกมาว่า “หยุดดูได้แล้ว ไปกันเถอะนะ”
แต่เย่ไป๋ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของหล่อนเลย เพราะเขายังคงจ้องมองตาไม่กะพริบ
เซี่ยอวี่ตกอยู่ในความทรมานใจ เพราะถ้าเป็นนิสัยก่อนหน้านี้ของหล่อน ในสถานการณ์แบบนี้จะลุกขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่ลังเล
แต่เมื่อเห็นท่าทางจดจ่อของเย่ไป๋ หล่อนก็ทำใจรบกวนเขาไม่ได้
กระนั้นหล่อนคือคนที่อยู่บนหน้าจอ และการที่เย่ไป๋ชมการแสดงของหล่อนด้วยท่าทางจริงจัง ก็ทำให้หล่อนรู้สึกว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ
โชคดีที่มีฉากแนบชิดสนิทสนมเพียงสองฉากเท่านั้น
ทันทีที่ฉากเปลี่ยนไป เซี่ยอวี่ก็ถอนหายใจและสงบลงได้ มองไปที่ทักษะการแสดงในภาพยนตร์เก่าของหล่อน และเริ่มมองหาจุดบกพร่องทางการแสดงโดยใช้มุมมองของผู้ชม
ดูเหมือนว่าทักษะการแสดงก่อนหน้านี้ของหล่อนยังดูไม่เป็นผู้ใหญ่มากนัก และในบางฉาก ถ้าให้หล่อนแสดงใหม่ตอนนี้ก็อาจจะดีกว่ามากด้วย
หลังจากภาพยนตร์ฉายจบแล้ว เย่ไป๋ก็จับมือของหล่อนแล้วพาเดินออกจากโรงหนัง แต่เขาไม่ได้ออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ทันที กลับดันหล่อนไปอยู่ตรงมุมกำแพงด้านหลังจัตุรัส และดึงหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ถอดหน้ากากออก แล้วเริ่มจูบหล่อนไปทั่ว
“คุณ…” เซี่ยอวี่พยายามผลักเขาออก “คุณทำอะไรเนี่ย? ถ้ามีคนมาเห็นแล้วจะทำยังไง?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่ไห่น่าจะฝังใจมาก เดี๋ยวเวลาก็จะเป็นตัวสมานเองล่ะนะ
มันคือการแสดงน่ะหมอเย่ ไม่ต้องหึงไปถึงในจอก็ได้
ไหหม่า(海馬)