ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 525 ทะเยอทะยานเกินตัว
ตอนที่ 525 ทะเยอทะยานเกินตัว
เดิมทีเฉินเจียซิ่งก็กังวลว่าหยางหงเสียจะเข้าใจเขาผิดอยู่แล้ว พอมาได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่อีกครั้ง เขาก็พูดด้วยท่าทางอ่อนแรง “เถ้าแก่เซี่ย ตอนนี้คุณช่วยหยุดราดน้ำมันลงกองไฟก่อนได้ไหม?”
เพราะเฉินเจียซิ่งก็เสียใจสุดๆ แล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อต้องโฆษณาร้านเช่าชุดแต่งงานของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้อยู่แล้ว รูปพรีเวดดิ้งของเขากับหยางหงเสียก็ดีมากเช่นกัน สามารถใช้เป็นป้ายโฆษณาได้จริง
จึงเสนอให้นำไปแขวนไว้ข้างนอกเพื่อสนองความฝันไร้สาระของตน
“หงเสีย ได้โปรดอย่าเข้าใจผมผิดเลยนะ ที่ผมเสนอให้แขวนรูปถ่ายของเรา เพราะคิดว่ารูปที่เราถ่ายก็ดูดีมากเช่นกัน และผมแค่อยากจะโฆษณาร้านให้พี่สะใภ้ด้วย”
หยางหงเสียพูดด้วยความใจกว้าง “ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันไม่ได้เข้าใจผิดเลย”
ในตอนที่หล่อนและเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน หล่อนก็เคยได้ยินเรื่องระหว่างเฉินเจียซิ่งกับเสิ่นเสี่ยวเหมยแล้ว
ปีนี้หล่อนเพิ่งได้รับมอบหมายให้ย้ายมาที่นี่ และได้ยินจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ว่าเฉินเจียซิ่งเคยปฏิบัติต่อคนรักราวกับว่าหล่อนเป็นบรรพบุรุษของเขา
แต่ท้ายที่สุดฝ่ายหญิงก็ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
หล่อนทราบมาด้วยว่าเฉินเจียซิ่งทรุดโทรมและมักจะทำงานพลาดบ่อยครั้งเพียงใดในระยะเวลาหลังจากการหย่าร้าง
การแต่งงานครั้งล่าสุดนี้สร้างผลเสียอย่างหนักต่อเฉินเจียซิ่ง และในวันนี้หล่อนก็ได้เห็นแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นใจร้ายมากแค่ไหน
รูปลักษณ์ที่เย่อหยิ่งและก้าวร้าวของหล่อน ก็ตรงกับที่เฉินเจียซิ่งได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ทุกประการ
และไม่รู้ว่าความรู้สึกเหนือกว่านั้นมาจากที่ใด
เฉินเจียซิ่งมองหยางหงเสียด้วยสายตาอ่อนโยนและพูดด้วยความจริงใจว่า “หงเสีย ขอบคุณที่เชื่อในตัวผมนะ”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว ควรไว้วางใจซึ่งกันและกันนะ”
ทั้งสองคนรักกันจริงๆ และความรู้สึกของหยางหงเสียที่มีต่อเฉินเจียซิ่งก็หนักแน่นมาก
ทำให้อีกหลายคนที่นั่งฟังอยู่ก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน
แม้แต่เซี่ยไห่ที่เห็นว่าเฉินเจียซิ่งซึ่งแต่งงานเป็นครั้งที่สองกลับได้พบผู้หญิงที่ทุ่มเทให้มากขนาดนี้ เขาเองก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
“ไปเถอะ ไปดูเฟอร์นิเจอร์กันดีกว่า”
เสิ่นเสี่ยวเหมยจากไปแล้ว เซี่ยไห่จึงขับรถพาทั้งสี่คนไปที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์กันต่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขามาซื้อโต๊ะเครื่องแป้งที่นี่ และเฉินเจียเหอได้อธิบายถึงเฟอร์นิเจอร์ที่เขาต้องการกับทางเถ้าแก่ไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า โซฟาและโต๊ะเครื่องแป้ง ล้วนมาจากที่นี่
ทั้งเซี่ยไห่และเฉินเจียเหอปล่อยให้หลินเซี่ยเป็นคนเลือก และเห็นพ้องต้องกันกับการเลือกของเธอทุกอย่าง
“เซี่ยเซี่ย ซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่เธอชอบได้เลย ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินนะ เพราะพ่อของเธอจะเป็นคนจ่ายเอง”
หลินเซี่ยเลือกตู้เสื้อผ้าสีเหลืองครีม โซฟาผ้าและมีตู้วางโทรทัศน์
จากนั้นก็ซื้อโต๊ะและเก้าอี้เด็กให้หู่จือด้วย
แล้วก็มองหาเตียงอีกสองหลัง
ห้องนอนเล็กไม่ได้มีขนาดเล็กตาม ในห้องของหู่จือจึงใช้เตียงสูง 1.5 เมตรได้
บ้านเก่านั้นมีขนาดเล็กเกินไป และเตียงของหู่จือก็แคบด้วย
เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียไม่ได้ซื้อของมากนัก
เพราะทั้งสองไม่มีบ้านของตัวเองและยังคงอาศัยอยู่กับพวกผู้ใหญ่หลังแต่งงาน เฉินเจียซิ่งจึงซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่สำหรับห้องนอนของตนเท่านั้น
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ทางโรงงานเฟอร์นิเจอร์จะจัดส่งสินค้าให้พรุ่งนี้
เฟอร์นิเจอร์ที่หลินเซี่ยเลือกนั้นมีราคารวมหลายพัน เพราะเป็นเฟอร์นิเจอร์หรูหราที่สุดในโรงงานเฟอร์นิเจอร์แห่งนี้
เซี่ยไห่จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทันที
“อารอง ให้พวกเราจ่ายเองครึ่งหนึ่งดีกว่า เอาแบบนี้ดีไหม?”
“นี่เธอกำลังดูถูกใครอยู่? เราจะมอบสินเดิมให้เธอครึ่งเดียวได้ยังไง? พวกเราตระกูลเซี่ยไม่ใช่คนที่กดปุ่มแล้วจะหาเจอง่ายๆ นะ พี่ใหญ่ของฉันก็จ่ายไหว ฉันก็เหมือนกัน”
เซี่ยไห่ค่อนข้างดื้อรั้น เขาโบกมือยกใหญ่แล้วเริ่มนับเงินปึกหนึ่ง
เฉินเจียเหอก็หยิบเงินออกมาด้วย “เราจ่ายค่าเตียงเอง เพราะการให้สินเดิมเป็นเตียงดูจะไม่มีเหตุผลไปหน่อย”
เฉินเจียเหอยืนกรานที่จะจ่ายเงินค่าเตียงสองหลังเอง
เฉินเจียซิ่งก็กัดฟันซื้อตู้เสื้อผ้า 1 หลังที่ราคาแสนแพง
นี่คือเฟอร์นิเจอร์ขายดีอันดับ 1 ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์
เขาจ่ายเงินมัดจำ แล้วบอกว่าจะจ่ายส่วนที่เหลือในวันจัดส่งสินค้า
เฉินเจียซิ่งแอบเห็นเงินมากมายในกระเป๋าของเซี่ยไห่ และเห็นว่าพี่ใหญ่ของเขาจ่ายเงินโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย
ทำให้เขาอิจฉามาก
คนอื่นมีรายได้เยอะจริงๆ
เมื่อคิดถึงงานปัจจุบันของตน กลับได้เงินเดือนเพียงเดือนละร้อยหยวนเท่านั้น
ไม่มีจังหวะให้ใช้ฟุ่มเฟือยเลย
เพราะเงินไม่พอ
ซึ่งหลังจากแต่งงานแล้ว ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นด้วยแน่นอน
ดังนั้น หลังออกจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์แล้ว เฉินเจียซิ่งก็อาศัยจังหวะที่หยางหงเสียไปคุยกับหลินเซี่ยที่ด้านหลัง แล้วรีบเดินตามมาพูดคุยกับเฉินเจียเหอ
“พี่ใหญ่ ผมอยากเปลี่ยนไปทำงานที่ได้เงินเยอะขึ้น พี่ช่วยหาให้ผมหน่อยได้ไหม?”
เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียซิ่งอยากเปลี่ยนงานอีกแล้ว ใบหน้าของเฉินเจียเหอก็มืดลง
“นายจะทำนิสัยเดิมๆ อีกแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอมองเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ถ้านายยังทะเยอทะยานเกินตัวและเที่ยวไปไหนมาไหนอย่างไม่ยี่หระอยู่แบบนี้ ก็อย่าแต่งงานดีกว่า”
เฉินเจียซิ่งตอบโต้ด้วยความไม่พอใจ “นี่คือสิ่งที่คนเป็นพี่ใหญ่สมควรพูดเหรอ? พี่จัดงานแต่งงานแบบมีความสุข แต่สั่งห้ามผมแต่งงานเหรอ?”
เฉินเจียเหอมองเขาด้วยท่าทางสง่างาม ขณะพูดอบรมสั่งสอน “นายยังไม่รู้ว่าความรับผิดชอบคืออะไรเลย ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ นายเปลี่ยนงานไปกี่งานแล้วล่ะ? นายไม่ตระหนักในความสามารถของตัวเองเลยเหรอ? ไม่มีใครที่กินข้าวคำเดียวแล้วกลายเป็นคนอ้วนได้หรอก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนๆ หนึ่งคือการตระหนักรู้ในตัวเอง และเมื่อผู้หญิงอยู่กับนาย หล่อนจะต้องการมีชีวิตที่มั่นคง ซึ่งไม่เกี่ยวว่านายจะอยู่สูงหรือต่ำ สัจธรรมนี้ใช้ได้ทั้งเรื่องการงานและความรัก นายสามารถทุ่มเทกับมันบ้างได้ไหม?”
เมื่อเฉินเจียซิ่งถูกเฉินเจียเหอตำหนิ เขาจึงเม้มปากแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ คิดซะว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน”
เขาแค่อยากได้เงินเดือนสูงๆ เพื่อมีอิสรภาพทางการเงินเท่านั้น
แต่ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่ต้องการช่วย การเปลี่ยนงานจึงเป็นเรื่องยาก
เฉินเจียซิ่งจึงกล่าวกับทุกคนว่า
“พวกเรากลับบ้านด้วยกันเถอะ คุณปู่บอกว่าคืนนี้ต้องกินข้าวด้วยกัน ตอนนี้อารองกับอาสะใภ้รองคงจะมาถึงแล้วด้วย”
เฉินเจียเหอพูดว่า “พวกนายกลับไปก่อน เดี๋ยวพวกฉันต้องไปรับหู่จือ แล้วจะตามไปทีหลัง”
เฉินเจียซิ่งไม่อยากกลับบ้านเพื่อไปทักทายอารองและอาสะใภ้รองเร็วๆ เช่นกัน เพราะครั้งแรกที่เขาแต่งงานนั้น เมื่ออารองกับอาสะใภ้รองเห็นว่าเขาได้แต่งกับลูกสาวตระกูลเสิ่น ก็มองเขาด้วยสายตาทึ่งๆ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองกลับมาแล้วพบว่าเขาหย่าร้าง จึงไม่รู้ว่าอาสะใภ้รองจะเย้ยหยันเขาอย่างไรบ้าง
เขาจึงรีบเสนอว่า “ถ้าเช่นนั้นหงเสียกับผมจะไปรับหู่จือกับพวกพี่ด้วย เราไม่รีบกลับบ้านหรอก หลังจากไปรับหู่จือแล้ว พวกเราค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โชคดีที่ผู้หญิงคนนี้มีเหตุผลมากพอ ไม่งั้นได้เลิกกันทั้งยังไม่แต่งแน่เจียซิ่ง
ในเมื่อย้ายงานไม่ได้ก็ต้องหางานเสริมล่ะค่ะ แล้วก็ลดละเลิกพฤติกรรมฟุ่มเฟือยบางอย่าง
ไหหม่า(海馬)