ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 526 นึกว่าเธอเป็นลูกสาวของเขาเสียอีก
ตอนที่ 526 นึกว่าเธอเป็นลูกสาวของเขาเสียอีก
ในเมื่อเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียยืนกรานที่จะตามพวกเฉินเจียเหอไปรับหู่จือ ดังนั้นทุกคนจึงขึ้นรถของเซี่ยไห่เพื่อให้เขาไปส่ง
เมื่อหู่จือเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสี่คนยืนรอเขาอยู่ ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน
ตั้งแต่เขาเข้าโรงเรียน นี่เป็นครั้งแรกที่อารองมารับเขากลับบ้าน
มากับอาสะใภ้รองคนใหม่ด้วย
ซึ่งอาสะใภ้รองคนใหม่อ่อนโยนมาก เขาจึงชอบหล่อนมากๆ ด้วย
หู่จือวิ่งออกมาแล้วโผเข้าสู่อ้อมแขนของหลินเซี่ย
เฉินเจียซิ่งอยู่ข้างกายเฉินเจียเหอพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ ดูสิว่าพี่สะใภ้กับหู่จือเข้ากันได้ดีแค่ไหน เหมือนแม่ลูกกันจริงๆ เลยนะ”
“พี่กับหู่จือก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆ”
เฉินเจียซิ่งพูดคำเหล่านี้ออกมา ก็ทำให้หยางหงเสียมองเขาด้วยความสงสัย
เฉินเจียเหอกำลังมองภรรยาและลูกชายด้วยสายตาที่อ่อนโยน แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเจียซิ่งแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที หันมาจ้องมองน้องชายด้วยสายตาเฉียบคม
เฉินเจียซิ่งตระหนักว่าตนพูดผิดไปแล้ว จึงร้อนรนแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ผมพูดผิดเองแหละ ก็เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ตั้งแต่แรกนี่นะ”
“สวัสดีครับคุณอารอง คุณอาสะใภ้รองคนใหม่” หลินเซี่ยอุ้มหู่จือกลับมา และหู่จือก็มองเฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสีย จากนั้นกล่าวสวัสดีด้วยเสียงดังฟังชัด
“เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ พูดเป็นหรือเปล่าเนี่ย? อาสะใภ้รองคนใหม่คืออะไร? นายมีอาสะใภ้รองแค่คนนี้คนเดียวนะ”
เฉินเจียเหอกล่าวว่า “ในฐานะที่นายเป็นผู้ใหญ่ นายควรรู้จักพูดก่อน แล้วค่อยสอนเด็กๆ นะ”
เฉินเจียซิ่งยกมือเขี่ยปลายจมูกพลางกระแอมไอเบาๆ แก้เขิน
“สวัสดีครับคุณอาสะใภ้รอง” หู่จือกล่าวสวัสดีอีกครั้งด้วยความเชื่อฟังมาก
หยางหงเสียก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีจ้ะหู่จือ”
“เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
คราวนี้ทุกคนขึ้นรถบัสกลับบ้านด้วยกัน
เนื่องจากรถติด กว่าจะกลับถึงบ้านก็เลยเวลา 18.00 น. แล้ว
ทันทีที่เดินเข้าประตูไป ก็เห็นชายและหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเฉิน
ผู้เฒ่าเฉินเห็นหลานชาย หลานสะใภ้และเหลนมาถึงล่าช้า เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่พวกเธอกลับมาด้วยกันเหรอ?”
เฉินเจียเหอตอบว่า “ใช่ครับคุณปู่ บังเอิญว่าพวกเราไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยกัน”
ทว่าสีหน้าของอารองเฉินเจิ้งกั๋วและอาสะใภ้รองวังซูเฟินของเฉินเจียเหอนั้นดูไม่สู้ดีนัก
เพราะทั้งสองมาถึงตั้งแต่ 14.00 น. แล้ว แต่ก็ไม่มีใครมารับเลย พอมาถึงบ้านก็เจอแค่ผู้เฒ่าทั้งสองคนและไม่เจอใครอีกเลย
ส่วนพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่กลับจากเลิกงานก็เดินเข้าครัวทันที ไม่แม้แต่จะคุยกับพวกเขาสักนิด
แม้รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาวันนี้ แต่ไม่มีหลานชายคนใดกลับบ้านมารอต้อนรับเลยสักคน
ปกติแล้วหู่จือมักจะวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของคุณปู่ทวดทันทีที่เข้าบ้าน แต่วันนี้เมื่อเขาเห็นปู่รองและย่ารองนั่งอยู่ที่นี่ เขาก็ยืนเหนียมอายและกล้าๆ กลัวๆ อยู่ข้างหลินเซี่ย
หลินเซี่ยบอกเขาว่า “ไปหาคุณปู่ทวดสิจ๊ะ”
“ครับ”
หู่จือทักทายคุณปู่รองและคุณย่ารองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นจึงไปนั่งข้างผู้เฒ่าเฉินด้วยความเชื่อฟัง
“อารองกับอาสะใภ้รองมาแล้วเหรอครับ?” น้ำเสียงของเฉินเจียเหอราบเรียบมาก เมื่อได้เห็นญาติที่ห่างกันไปนาน ไม่มีทั้งแววประหลาดใจหรือการตั้งตารอคอยใดๆ
วังซูเฟินสวมชุดกี่เพ้าและผ้าคลุมไหล่ ดูราวกับผู้หญิงร่ำรวยและดูทันสมัยมาก ขณะนี้ใบหน้าเย่อหยิ่งเชิดขึ้นพลางจ้องมองไปที่หลินเซี่ย
เฉินเจียเหอแนะนำว่า “นี่คือหลินเซี่ยคนรักของผม ทักทายอารองกับอาสะใภ้รองสิครับ”
หลินเซี่ยก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยความสุภาพ “สวัสดีค่ะคุณอารอง คุณอาสะใภ้รอง”
วังซูเฟินเพียงหรี่ตาลงและมองจ้องหลินเซี่ยไม่วางตา
“นี่คือสะใภ้จากชนบทของเธอเหรอ?” หล่อนหันไปพูดกับเฉินเจียเหอว่า “หล่อนดูเด็กมาก คงอายุน้อยกว่าเธอมากใช่ไหม?”
จากนั้นก็พูดติดตลกแต่ความหมายคลุมเครือว่า “มองเผินๆ นึกว่าหล่อนเป็นลูกสาวของเธอซะอีก”
เฉินเจียเหอมีผิวสีเข้ม และมักจะสวมเสื้อผ้าสีเข้มไปด้วย ส่วนหลินเซี่ยเป็นคนผิวขาวและผุดผ่อง เมื่อสวมกางเกงยีนส์แล้วดูเหมือนนักเรียนมัธยมปลายอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าทั้งสองจะมีช่วงอายุที่แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่การบอกว่าเหมือนลูกสาวก็ออกจะน่าเกลียดเกินไป
ทำให้คนตระกูลเฉินเกือบทั้งหมดมีใบหน้ามืดมนทันที
เฉินเจียซิ่งอยากพาหยางหงเสียหนีไปด้วยซ้ำ
กระทั่งพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเขายังได้รับบาดเจ็บจากฝีปากอาบยาพิษของอาสะใภ้รอง แล้วเขากับหยางหงเสียจะถูกเล่นงานอย่างไรบ้าง?
ขณะที่เฉินเจียซิ่งกำลังนึกกังวล เขาก็ได้ยินหลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “อาสะใภ้รองมีลูกตอนอายุสิบขวบเหรอคะ?”
ใบหน้าของวังซูเฟินพลันย่นยู่ “เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง?”
หลินเซี่ยเอ่ยว่า “เฉินเจียเหออายุมากกว่าฉันแค่เก้าปี แล้วฉันจะเป็นลูกสาวของเขาได้ไง? คำพูดของคุณไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอคะ”
หลินเซี่ยดูสงบและไม่โกรธเลย แค่อธิบายเบาๆ เท่านั้น แต่ก็ทำให้วังซูเฟินจนแต้ม เมื่อหาคำโต้แย้งไม่ได้ หล่อนจึงเลือกที่จะไม่พูดด้วยอีก
ดวงตาของหล่อนมองผ่านหลินเซี่ยและเฉินเจียเหอ แล้วไปหยุดอยู่ที่เฉินเจียซิ่งกับหยางหงเสียที่อยู่ข้างหลัง
“เจียซิ่ง ฉันได้ยินมาว่าเธอหย่าแล้วไปเจอคนใหม่เหรอ? ทำไมไม่แนะนำให้รู้จักบ้างล่ะ?”
เฉินเจียซิ่งจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพาหยางหงเสียไปข้างหน้าเพื่อแนะนำให้พวกเขารู้จักกับหล่อน
หยางหงเสียเป็นเด็กผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดา เมื่อมาเยือนบ้านตระกูลเฉินครั้งแรก หล่อนก็รู้สึกกังวลมากพออยู่แล้ว
ยิ่งในตอนนี้ได้มองผู้หญิงท่าทางเย่อหยิ่งร่ำรวย ก็รู้สึกกังวลมากกว่าปกติ
หล่อนก้าวไปข้างหน้าแล้วทักทายเสียงอ่อน
“สวัสดีคุณอารอง คุณอาสะใภ้รอง ฉันชื่อหยางหงเสียค่ะ”
“สวัสดีหงเสีย” เฉินเจิ้งกั๋วตอบรับด้วยท่าทางอบอุ่น
วังซูเฟินมองหญิงสาวหน้าตาบ้านๆ และดูเชื่อฟังตรงเบื้องหน้า แม้ว่าดวงตาจะเต็มไปด้วยความดูแคลน แต่คำพูดกลับมีน้ำใจยิ่งนัก
“เจียซิ่ง ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเธอนะ ฉันไม่คิดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจะเป็นภรรยาที่ดี เพราะเธอจัดการหล่อนไม่ได้เลย ลุงใหญ่ของหล่อนเป็นนายทหารระดับสูง ญาติผู้พี่ของหล่อนก็เป็นผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักร หล่อนมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีและหน้าตาดีก็ดี เรียกว่าเธอกับหล่อนไม่เหมาะสมกันเลย”
ความหมายของวังซูเฟินนั้นชัดเจนมากว่าเฉินเจียซิ่งไม่คู่ควรกับเสิ่นเสี่ยวเหมย
ในตอนที่เฉินเจียซิ่งแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวเหมย วังซูเฟินก็รู้สึกอิจฉามาก
หล่อนต้องคอยเงยหน้ามองเสิ่นเสี่ยวเหมย และรู้สึกว่าเฉินเจียซิ่งไม่มีหน้าที่การงานดีๆ ด้วยซ้ำ ตอนนั้นหล่อนยังแนะนำเด็กสาวในชนบทให้เฉินเจียซิ่งด้วย
พูดตามตรงก็คือ ทั้งสองแค่กลัวว่าครอบครัวของพี่ใหญ่จะได้ดีกว่า
โชคดีที่โจวลี่หรงมาจากชนบท ด้วยเหตุนี้วังซูเฟินจึงมีความรู้สึกเหนือกว่าเป็นพิเศษ
วังซูเฟินมองหยางหงเสียและเฉินเจียซิ่ง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “นี่คือผู้หญิงที่คู่ควรกับเธอแล้วจริงๆ”
หลังจากนั้นหล่อนก็ไม่ลืมที่จะอวดลูกชายของตนว่า “เจียหมิงก็จะหมั้นปีนี้แหละ คนรักของเขาทำงานในสถานีโทรทัศน์ พ่อตาของเขาเปิดโรงงานและเป็นนักธุรกิจ สภาพครอบครัวไม่เลวเลย และเขาจะแต่งงานปลายปีนี้ เชิญทุกคนไปร่วมงานที่เมืองหนานเฉิงด้วยนะ”
ผู้เฒ่าเฉินตอบด้วยความไม่ใส่ใจ “อืม ทุกคนจะไปแล้วกัน”
หลินเซี่ยเห็นว่าโจวลี่หรงกำลังยกอาหารขึ้นโต๊ะ จึงรีบเข้าไปช่วยงาน
“แม่คะ ให้ฉันช่วยดีกว่า”
หยางหงเสียก็ตามไปช่วยงานด้วยความกระตือรือร้น
สักพักอาหารก็พร้อมแล้ว วังซูเฟินและเฉินเจิ้งกั๋วจึงเดินตามผู้เฒ่าไปที่ห้องรับประทานอาหาร
เมื่อวังซูเฟินมองอาหารสีสันน่ารับประทานบนโต๊ะ จึงชื่นชมว่า
“ฝีมือการทำอาหารของพี่สะใภ้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วสินะคะ จำได้ว่าสมัยสาวๆ พี่ทำอาหารรสเค็มมาก คุณแม่สอนเท่าไรก็ไม่พัฒนา เพราะพี่รู้แต่วิธีปรุงโจ๊กข้าวฟ่างเท่านั้น แต่พอได้ฝึกฝนมาหลายปี ในที่สุดพี่ก็เก่งขึ้น และอาหารในวันนี้ก็ดูดีมากเลย”
โจวลี่หรงตอบเสียงเย็นชาว่า “คนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาน่ะ”
“แล้วอาสะใภ้รองทำงานอะไรเหรอคะ?” หลินเซี่ยถามด้วยความสงสัย
วังซูเฟินใช้นิ้วเขี่ยสร้อยข้อมือของตนเล่นพลางเอ่ย “ฉันไม่ได้ทำงาน เพราะพ่อของฉันทิ้งร้านสองสามแห่งไว้ให้ที่เมืองหนานเฉิง ฉันแค่เก็บค่าเช่าร้านเหล่านั้น ส่วนใหญ่มักเล่นไพ่นกกระจอกหรืออะไรทำนองนั้นแหละ”
หลินเซี่ยได้ยินแล้วกลับโล่งใจ
ที่แท้การกลับชาติมาเกิดใหม่ของเธอทำให้อาสะใภ้รองคนนี้เปลี่ยนไปด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจที่หยิ่งผยองได้ขนาดนี้
ในขณะที่รับประทานอาหารกันนั้น ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่พวกเฉินเจียเหอแล้วถามว่า “วันนี้พวกเธอไปทำอะไรกัน ทำไมถึงกลับมาด้วยกันได้?”
เฉินเจียเหอตอบว่า “ไปซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านหลังใหม่ครับ”
“ผมซื้อตู้เสื้อผ้ามาหนึ่งหลังด้วยครับ” เฉินเจียซิ่งกล่าวเสริม
เมื่อเฉินเจิ้นเจียงได้ยินว่าพวกเขาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ จึงถามเฉินเจียเหอว่า “ซื้อเตียงแล้วหรือยัง? มีเงินพอไหม?”
“พ่อตาของผมเป็นคนจ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เขาบอกว่าถือเป็นสินเดิมของเซี่ยเซี่ยครับ ส่วนผมซื้อเตียงเอง ตอนนี้พร้อมทุกอย่างแล้ว”
เดิมทีเฉินเจียซิ่งอยากบ่นว่าทำไมพ่อไม่ถามว่าเขามีเงินพอบ้างหรือเปล่า
ทว่าตอนที่เขาจะถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง แม่ก็ให้เงินมาก้อนหนึ่งแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็กระดากอายเกินกว่าจะพูดหรือรู้สึกอิจฉา
“เซี่ยเซี่ย ช่วงนี้ธุรกิจร้านอาหารของพ่อแม่เธอเป็นยังไงบ้าง?” ผู้เฒ่าเฉินมองหลินเซี่ยพลางถามด้วยความกังวล
“ค่อนข้างดีเลยค่ะ ห้องเต้นรำของอารองก็โด่งดังมาก และตอนนี้เขากำลังมองหาสถานที่เหมาะสมสำหรับเปิดห้องเต้นรำและคาราโอเกะอีกแห่งค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าพลางเอ่ย “ดีจริงๆ นะ”
เขาเคยคิดว่าเซี่ยไห่ไม่ได้เรื่อง ทว่าตอนนี้เหมือนจะมีหัวทางด้านธุรกิจดีมาก
กล้าที่จะคิดและลงมือทำ จึงสามารถทำเงินได้มหาศาล
“สมกับเป็นเถ้าแก่เซี่ยผู้มั่งคั่งแห่งเมืองเชินเฉิง”
เมื่อได้ยินว่าอารองของหลินเซี่ยร่ำรวยมาก ดวงตาของวังซูเฟินก็วาวโรจน์ด้วยความอิจฉา มองโจวลี่หรงแล้วถามว่า “เจียวั่งอยู่ไหน? ทำไมไม่เห็นเขากลับมาล่ะ? เด็กคนนั้นมีสุขภาพไม่ดี อย่าปล่อยให้ไปเดินเล่นตามลำพังข้างนอกสิ ถ้าล้มป่วยขึ้นมาจะเป็นอันตรายได้นะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อาสะใภ้รองคนนี้แปลกๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหู่จือถึงกลัว
แต่แปลกแค่ไหนอย่ามาระรานครอบครัวหลานแล้วกัน สองหลานสะใภ้แต่ละคนฝีปากก็แรงใช่ย่อยนะคะ ระวังจะหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ
ไหหม่า(海馬)