ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 529 การแต่งงานครั้งนี้ต้องไม่หลุดมือไป
ตอนที่ 529 การแต่งงานครั้งนี้ต้องไม่หลุดมือไป
วังซูเฟินอดหันไปมองทางเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงด้วยความโกรธไม่ได้ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกคุณดูสิว่าเจียซิ่งกลายเป็นคนแบบไหนไปแล้ว? ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้อาวุโสของเขานะ เราเจอกันแค่ปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้น และฉันยังกรุณาเตือนเขาให้ใส่ใจแฟนคนใหม่นี้ด้วย แต่เขามีทัศนคติต่อฉันแบบนี้ได้ยังไง?”
“สิ่งที่เจียซิ่งพูดในวันนี้ถูกต้องแล้ว” ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสง่างาม “ในฐานะผู้อาวุโส เธอก็ควรประพฤติตนให้เหมือนผู้อาวุโสสิ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเธอล้วนเป็นคนเก็บตัวและคิดก่อนพูด ทั้งสองจึงไม่อยากโต้เถียงกับเธอในเรื่องจุกจิกแบบนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ควรพูดจาเหน็บแนมและว่าร้ายคนในครอบครัวไปกว่านี้อีก เธอเองก็จะเป็นแม่สามีแล้ว เธอจะเข้ากับลูกสะใภ้ที่มีบุคลิกเหมือนเธอได้เหรอ? ลองเก็บไปคิดให้มากนะ”
พ่อสามีออกปากอบรมสั่งสอนด้วยความจริงจัง ทำให้ใบหน้าของวังซูเฟินดูแทบไม่ได้ หล่อนโกรธมากจนอยากจะลุกออกจากโต๊ะ ทว่าก็ถูกเฉินเจิ้นกั๋วดึงลงมา
ด้านเฉินเจียซิ่งกลัวว่าความขัดแย้งจะรุนแรงขึ้น เขาจึงพูดกับทุกคนว่า
“คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ ผมขอพาหงเสียกลับบ้านก่อนนะครับ”
ถ้าไม่รีบกลับไป เฉินเจียซิ่งก็เกรงว่าหยางหงเสียจะกลัวจนไม่อยากแต่งงานกับเขาอีก
ตอนนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่า หากต้องการหาคู่แต่งงานและใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ จะต้องไม่หาคนที่เหลวไหลและขี้อิจฉาเด็ดขาด
ดูอารองซึ่งอายุห้าสิบปีแล้วคนนั้นสิ ได้แค่นั่งนิ่งและไม่พูดสักคำ นั่นก็เพราะถูกกดหัวไว้จนลืมตาอ้าปากไม่ขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นเฉินเจียซิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก
เขาดีใจที่ตัวเองตาสว่างและหย่าได้ทัน
แน่นอนว่าเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญในอดีตนั้น เขาก็สมควรได้รับมันทั้งหมดแล้ว
เพราะใครใช้ให้เขาทำตัวเหลวไหลได้ขนาดนั้น
ผู้เฒ่าเฉินโบกมือให้เฉินเจียซิ่งพลางเอ่ย “ไปเถอะ รีบไปส่งหงเสียกลับบ้านเถอะ”
เมื่อเฉินเจียเหอเห็นเช่นนี้ เขาก็พูดว่า “พวกผมก็จะกลับเหมือนกันครับ”
เฉินเจียเหอจึงพาหลินเซี่ยและหู่จือออกไปพร้อมกับพวกน้องชาย
ทันทีที่ออกไปข้างนอก เฉินเจียซิ่งก็มองเฉินเจียเหอราวกับว่าจะขอความดีความชอบ “พี่ใหญ่ ฝีมือของผมเมื่อครู่นี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เลว” เฉินเจียเหอซึ่งปกติไม่ค่อยชมเขาก็ชื่นชมด้วยใจจริง
หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจียซิ่ง ถ้าในอนาคตมีโอกาสอีก ก็พูดให้มากกว่านี้เลยนะ”
“อาสะใภ้รองนับวันยิ่งน่าตลก ควรมีคนกำราบหล่อนบ้าง พ่อแม่ของผมเคยบอกว่าเราควรเคารพผู้ใหญ่ อย่าพูดจาก้าวร้าวเกินไป แต่พี่ก็เห็นว่าตอนนี้หล่อนเริ่มอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อหล่อนทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าเคารพ แล้วทำไมผมต้องสุภาพด้วย”
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ เฉินเจียซิ่งจึงหมายมั่นว่าจะเป็นกระบอกเสียงแทนครอบครัวเพื่อต่อสู้กับวังซูเฟินในวันข้างหน้า
“พวกเราไปก่อนนะครับ”
เฉินเจียซิ่งแยกไปส่งหยางหงเสียกลับบ้าน
ครอบครัวของหยางหงเสียอาศัยอยู่ในตรอกหนึ่ง
พ่อแม่ของหล่อนเป็นลูกจ้างธรรมดาในโรงงานสิ่งทอ ทว่าปีนี้โรงงานสิ่งทอตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา จึงมีวันหยุดติดต่อกันสองสามวัน และหล่อนยังมีน้องชายที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วย
ครอบครัวนี้เบียดเสียดกันอยู่ในลานบ้านเก่าขนาดสองห้องนอนของตรอกนี้มาหลายปีแล้ว
เมื่อแม่ของหยางหงเสียเห็นเฉินเจียซิ่งกำลังเข้ามา หล่อนก็รีบยกน้ำชาและน้ำมาให้เขาเพื่อแสดงการต้อนรับอันอบอุ่น
เฉินเจียซิ่งนั่งบนเก้าอี้ตัวเก่าพลางมองว่าที่แม่ยายซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับขับสู้ เขารีบพูดว่า “คุณป้าครับ ไม่ต้องลำบากหรอก ผมไม่หิวน้ำเลยครับ”
“ถ้าไม่กระหายก็ดื่มได้” หลังจากที่แม่หยางนำชามาต้อนรับแล้ว หล่อนก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจียซิ่ง หงเสียเด็กคนนี้มีข้อบกพร่องมากมาย หลังจากที่พวกเธอแต่งงานกันแล้ว ก็ช่วยอดทนกับหล่อนหน่อยนะ”
เฉินเจียซิ่งหันไปมองหยางหงเสียแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้าครับ หงเสียทั้งเก่งทั้งดี หล่อนไม่มีข้อบกพร่องเลยครับ”
“เจ้าเด็กคนนี้ ช่างพูดจริงๆ เลยนะ” แม่หยางหันไปมองหยางหงเสียที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง “เจียซิ่งน่ะเข้าตำราที่ว่าในสายตาคนรักแลเห็นไซซี* แต่ลูกห้ามได้ใจเด็ดขาด เมื่อแต่งงานกับเจียซิ่งแล้ว ลูกต้องเกรงใจเขา ให้เกียรติพ่อแม่สามี และอยู่ร่วมกับครอบครัวของเจียซิ่งโดยไม่ทำตัวเหมือนนางมารร้ายเด็ดขาด”
(*ในสายตาคนรักแลเห็นไซซี หมายถึง เมื่อรักใครแล้ว จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดีไปหมด)
หยางหงเสียพยักหน้าเชื่อฟัง “ฉันเข้าใจแล้วค่ะแม่”
เฉินเจียซิ่งมาที่บ้านของหยางหงเสียหลายครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งแม่ของหยางหงเสียมักจะสอนบทเรียนให้ลูกสาวเสมอ จนถึงขั้นลงมือตีหล่อนด้วย เมื่อเฉินเจียซิ่งมองหยางหงเสียที่ยืนอยู่ตรงนั้นพลางตอบเสียงแผ่ว เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
หญิงสาวผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ บัดนี้กลายเป็นคนที่ยอมจำนนต่อหน้าครอบครัวของตน
โชคดีที่ตอนหยางหงเสียทำงานร่วมกับพวกเขา หล่อนจะมีบุคลิกค่อนข้างร่าเริง หากเผชิญกับปัญหา หล่อนก็ไม่เคยหันหลังเดินหนี
เช่นเดียวกับการได้เผชิญหน้ากับเสิ่นเสี่ยวเหมยเมื่อวานนี้ หล่อนยังมีคารมคมคายที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
เฉินเจียซิ่งชอบนิสัยนี้ของหล่อน ยังมีอ่อนโยน มีน้ำใจและไม่จู้จี้จุกจิกจนเกินไปด้วย
“คุณป้า ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
เมื่อเฉินเจียซิ่งกำลังจะกลับ แม่หยางก็ยืนขึ้นและส่งเขาออกไปด้วยความอบอุ่น
หล่อนดึงหยางหงเสียให้เดินออกไปส่งเฉินเจียซิ่งจนถึงปากทางเข้าตรอก
มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี แม่หยางจึงหยุดเดินแล้วทักทายว่า “วันนี้คนรักของหงเสียไปซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน และจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันนี้แหละ”
เพื่อนบ้านหันไปมองร่างที่ค่อยๆ เดินหายไปจากในตรอกแล้วยิ้มเอ่ย “จริงเหรอ? เขาดูดีมีอนาคตมากเลยนะนั่น”
“เขาเป็นเพื่อนร่วมงานกับหงเสีย แต่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ทหาร และงานปัจจุบันของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก” แม่หยางแนะนำว่าที่ลูกเขยราวกับพูดคุยเรื่องทั่วไป
เมื่อเพื่อนบ้านได้ยินว่าหยางหงเสียพบคนรักที่เป็นลูกหลานทหาร พวกเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ
หญิงสาวที่มักจะดูเก็บตัวและขี้อาย จะสามารถพบคนแบบนี้ได้จริงหรือ?
เพื่อนบ้านจึงยืนยันกับเจ้าตัวว่า “หงเสีย คนรักของเธออยู่ในลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ทหารจริงเหรอ?”
“จริงค่ะ” หยางหงเสียตอบตามตรง
“ไอหยา ยัยเด็กหงเสียคนนี้มีศักยภาพมากเลยนะเนี่ย นี่นับว่ามีชีวิตแต่งงานดีที่สุดในตรอกนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? และในอนาคตเมื่อเธอแต่งงานและย้ายไปอยู่ลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ทหาร เธอห้ามลืมเพื่อนบ้านแบบพวกเรานะ ต้องยื่นมือช่วยเหลือเมื่อเรามีปัญหา เพราะตอนที่เธอยังเด็ก ก็ได้เพื่อนบ้านทุกคนช่วยดูแล”
เมื่อเพื่อนบ้านได้ยินว่าหยางหงเสียกำลังจะแต่งงาน ก็รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าแม่หยางเสียอีก
หยางหงเสียไม่ได้พูด แต่แม่หยางเห็นด้วยทันทีว่า “อาของหงเสียไม่ต้องห่วง เพราะหงเสียของเราไม่ใช่คนแบบนั้น หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นในอนาคต ก็มาบอกฉันได้เลยนะ”
เมื่อกลับบ้าน หยางหงเสียก็ใช้สายตาตำหนิและโกรธเคืองมองไปที่แม่ของตน
“แม่คะ แม่ไปสัญญาแบบนั้นกับคนนอกได้ไง? เฉินเจียซิ่งเป็นแค่ผู้ดูแลฝ่ายการตลาดเหมือนฉัน เขาไม่มีอำนาจขนาดนั้น อย่าเที่ยวไปโอ้อวดสิคะ”
แม่หยางไม่ได้คิดจริงจังเลย “ถ้าเขาช่วยไม่ได้ แต่เขายังมีครอบครัวไม่ใช่เหรอ?”
เพราะในความคิดของชาวบ้านในตรอกเหล่านี้ คำว่าทหารคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจ
หยางหงเสียให้เหตุผลด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “ครอบครัวของแม่ติดหนี้เพื่อนบ้านจนต้องคอยเป็นธุระให้เพื่อนบ้านเหรอคะ? สำหรับการแต่งงานครั้งก่อนของเจียซิ่ง มันจบลงเพราะผู้หญิงคนนั้นทำตัวเลวร้าย แม่โปรดอย่าทำร้ายฉันเลยค่ะ”
“ฉันเป็นแม่ของแกนะ ฉันจะทำร้ายแกได้ยังไง?”
แม่หยางมองลูกสาวและยกมือตีหล่อน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ช่วยเรื่องอื่นได้ไหมมันไม่สำคัญหรอก แต่จากนี้ไปแกต้องช่วยน้องชายของแก เพราะถ้าเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัย แกจะต้องช่วยให้เขาสอบได้ และหลังจากเขาเรียนจบ ก็ช่วยหางานดีๆ ให้เขาทำ เพื่อที่เขาจะเป็นผู้สนับสนุนแกในวันข้างหน้า”
หยางหงเสียมองหน้าแม่และพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ฉันจะช่วยเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไงคะ? มันขึ้นอยู่กับความพยายามของเขาเอง อย่าพึ่งพาฉันทุกเรื่องสิ แล้วพ่อแม่ไม่รู้เหรอว่าฉันมีความสามารถแค่ไหน? ตอนที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พวกแม่กลับไม่ให้ฉันเรียน ไม่งั้นฉันก็เป็นเสาหลักอันแข็งแกร่งให้พ่อแม่ได้แล้ว”
“นังลูกเวรคนนี้ พอเจอครอบครัวสามีที่ดีแล้วก็ไม่เห็นหัวแม่คนนี้อีกเลยใช่ไหม? ถ้าตอนนั้นเรามีปัญญาจ่าย ทำไมเราจะไม่ให้แกเรียนล่ะ? ถ้าแกยังจะกลัวนั่นกลัวนี่อีก พ่อและฉันจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของแกกับเฉินเจียซิ่งเด็ดขาด”
แต่หยางหงเสียไม่ใส่ใจกับคำข่มขู่ของแม่เลย ทำแค่พูดจาประชดประชันว่า
“ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะทุกวันนี้อดีตภรรยาของเฉินเจียซิ่งยังคอยตามขอคืนดีกับเขาอยู่ และถ้าแม่ไม่เห็นด้วย หล่อนก็จะยิ่งดีใจ”
แม่หยางได้ยินแล้วดูตกใจมาก “แกว่าไงนะ? แกบอกว่าผู้หญิงที่แกล้งท้องคนนั้นกลับมาขอคืนดีกับเฉินเจียซิ่งเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
แม่หยางดูร้อนรนขึ้นมาทันที “ถ้าเช่นนั้นแกกับเฉินเจียซิ่งควรแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แกต้องรีบหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก อย่าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด”
ถ้าอดีตภรรยาของเขาอยากกลับมาคืนดีกันจริงๆ เด็กผู้หญิงจากครอบครัวเล็กๆ ของหล่อนก็ไม่คู่ควรกับเขาแน่นอน
เพราะความจริงคือทั้งสองเคยอยู่ด้วยกัน ค่อนข้างมีความผูกพันมากกว่า
เมื่อหยางหงเสียได้ยินแม่หยางบอกให้หล่อนรีบหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ใบหน้าของหล่อนก็แดงก่ำ “แม่คะ อย่าให้คำแนะนำฉันอีกเลย แล้วเฉินเจียซิ่งก็ไม่ใช่คนแบบนั้นด้วย”
หยางหงเสียเดินเข้าห้อง แต่หัวใจของแม่หยางกำลังคิดเรื่องที่ไม่ปกติ
การที่ลูกสาวได้แต่งงานกับครอบครัวทหาร ย่อมเป็นโอกาสเดียวที่พวกหล่อนจะได้ข้ามชนชั้นขึ้นไป
แม้ว่าพวกหล่อนจะไม่ได้รับเกียรติมากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นผลดีกับลูกชายของพวกหล่อน เพราะในอนาคตการหางานจะง่ายกว่ามาก หากได้ครอบครัวพี่เขยช่วยเหลือทุกด้าน
ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ต้องไม่หลุดมือไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ครอบครัวหงเสียนี่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยแฮะ ดูหิวกระหายอยากเกาะครอบครัวลูกเขยมาก แต่งงานแล้วเมื่อไหร่ก็พยายามเลี่ยงนะคะ
ไหหม่า(海馬)