ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 530 เฉินเจียเหอหนีออกจากบ้าน
ตอนที่ 530 เฉินเจียเหอหนีออกจากบ้าน
ครอบครัวเฉินเจียเหอสามคนกลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน เมื่อส่งหู่จือไปนอนที่ห้องส่วนตัว หลินเซี่ยก็ล้มตัวลงนอนที่เตียงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและบ่นว่า “ทำไมอาสะใภ้รองถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ? อายุปูนนี้แล้วยังไม่มีความน่านับถือ ถ้าไม่เห็นแก่สถานะในครอบครัวของหล่อน ฉันคงจะสู้กับหล่อนสักตั้ง”
เฉินเจียเหอถอดรองเท้าให้หลินเซี่ยตามปกติและพูดว่า “ตอนนี้หล่อนควบคุมตัวเองไว้มากแล้วนะ เพราะตอนสาวๆ หล่อนก้าวร้าวกว่านี้เยอะ”
“ในสมัยนั้นหล่อนถือตนว่ามาจากเมืองใหญ่ หลังจากแต่งงานกับอารองแล้วย้ายเข้าบ้าน หล่อนก็มักจะรังแกแม่ของผมเสมอ ต่อมาคุณปู่กลัวว่าจะกระทบต่อความสามัคคีในครอบครัว ท่านจึงหาทางโอนย้ายงานของอารองให้ไปประจำที่เมืองหนานเฉิง ซึ่งครอบครัวมารดาของอาสะใภ้รองอยู่ที่เมืองหนานเฉิง และถือว่าเป็นชนชั้นนายทุนน้อย หลังจากที่หล่อนได้แต่งงานกับอารอง ก็ได้เพลิดเพลินกับช่วงเวลาพิเศษ แต่เพราะอาสะใภ้รองเป็นลูกสาวของนายทุน จึงทำให้ตระกูลเฉินเกือบจะโดนหางเลขไปด้วย และนั่นคือตอนที่ผมถูกคุณตาคุณยายพากลับไปที่บ้านเกิดนั่นแหละ
ต่อมาทั้งครอบครัวของอารองรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนั้นมาได้เนื่องจากเส้นสายของคุณปู่ และไม่คาดคิดว่าในสถานการณ์นั้น ทรัพย์สินบางส่วนยังถูกส่งคืนครอบครัวพวกเขาด้วย และเมื่อไม่กี่ปีก่อนน้องชายคนเดียวของหล่อนก็ประสบเคราะห์ร้าย ทำให้อาสะใภ้รองได้รับมรดกเป็นร้านค้าพวกนั้นแทน และหลังจากนั้นหล่อนก็ไม่เห็นหัวใครอีก”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเฉินเจียเหอแล้ว หลินเซี่ยก็ทอดถอนใจพลางเอ่ย “คุณปู่เป็นคนฉลาดจริงๆ มิฉะนั้นลูกชายทั้งสองจะต้องแตกหักกันแน่”
“ใช่ ในฐานะผู้นำตระกูล คุณปู่ตัดสินใจได้กล้าหาญจริงๆ”
พ่อเฒ่านับว่าเป็นคนใจกว้างมากคนหนึ่ง เพราะไม่ได้วางท่าเผด็จการยามเอ่ยถึงเรื่องของคนรุ่นหลังแบบพวกเขาเลย
เฉินเจียเหอถอดเสื้อผ้าของตนออกแล้วนอนลงข้างๆ หลินเซี่ย ก่อนยกมือแตะท้องของหลินเซี่ยพลางถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง “ที่รัก ในนี้จะมีสิ่งมีชีวิตน้อยๆ อยู่หรือเปล่านะ?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง ยังไม่ได้ไปตรวจเลยนะคะ”
เฉินเจียเหอไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้ เขาใช้ศอกข้างหนึ่งยันกายขึ้นมองเธอ จากนั้นถามความคิดเห็นของเธอว่า “พรุ่งนี้เราไปตรวจที่โรงพยาบาลดีไหม?”
“รออีกสองสามวันเถอะค่ะ แล้วถ้าฉันไม่ท้องล่ะ?” หลินเซี่ยมองสายตาคาดหวังของเฉินเจียเหอแล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่กล้าไปตรวจ เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาดีใจเก้อ
แต่น้ำเสียงของเฉินเจียเหอกลับฟังผ่อนคลาย และเขาก็ยิ้มชั่วร้าย “ถ้าไม่ท้อง ผมก็จะทำงานหนักต่อไปไง”
“ถ้าไม่ตรวจก็จะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ และผมอาจทำผลงานดีๆ ได้ยากด้วย”
“ทำผลงานดีๆ ได้ยากคืออะไรคะ?” หลินเซี่ยมองสบดวงตาคล้ายหมาป่าของเขาและเผลอหลุดคำถามโดยไม่รู้ตัว
เฉินเจียเหอสัมผัสหน้าท้องของเธอพลางขยับตัวเข้าใกล้และพูดน้ำเสียงคลุมเครือ “กลัวจะทำให้เจ้าหนูบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจน่ะสิ”
เฉินเจียเหอนอนอยู่ริมสุดถูกเธอยกเท้าถีบจนกลิ้งตกจากเตียง
เขาปีนกลับขึ้นเตียงพร้อมใบหน้าหล่อเหลาที่มืดครึ้ม “คุณพูดว่าไงนะ?”
“ทำไม? คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเหรอ?” หลินเซี่ยถลึงตาใส่ น้ำเสียงกร้าวขึ้นอย่างไม่คิดเปิดโอกาส
ดวงตาของเฉินเจียเหอหรี่ลง และมองเห็นข้อกล่าวหาจากเธอซึ่งน่าคับข้องใจ “หลินเซี่ย คุณ…คุณทำเกินไปแล้วนะ”
“ทำเกินไปยังไง? คุณกล้าที่จะบอกว่าไม่คิดเหรอ?” หลินเซี่ยใช้หางตาเหลือบมองเขา “ไม่เรียกคุณว่าไอ้เวรตะไลก็ดีแค่ไหนแล้ว”
แต่เฉินเจียเหอคิดในใจว่าถูกเรียกว่าไอ้เวรตะไลอย่างไรก็ยังดีกว่าไอ้เฒ่าหัวงูเยอะ
แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่ผู้หญิงบนเตียงกลับไม่เข้าใจประเด็นของเขาเลย และเธอไม่มีทีท่าว่าจะเกลี้ยกล่อมเขา ขอโทษเขา ทั้งยังไม่ปรายตามองเขาด้วยซ้ำ
ส่งผลให้หัวใจที่เปราะบางของเฉินเจียเหอได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงหันหลังและเดินออกไปทางประตูโดยไม่พูดสักคำ
“เฮ้ คุณโกรธด้วยเหรอคะ? น่าจะชินได้แล้วนะ”
หลินเซี่ยไม่คิดว่าวันนี้ผู้ชายตัวโตจะเอาแต่ใจขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่สนใจที่จะง้อเขาเหมือนกัน
เมื่อเขาออกไปแล้ว เธอก็มีความสุขกับความเงียบสงบและขยับมานอนกลางเตียงเพื่อพักผ่อน
และคิดเรื่องอาชีพต่อไปที่จะทำ
ถ้าเธอตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ เธอก็คงไม่สามารถสัมผัสผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบ่อยเกินไปได้
เรื่องที่ร้านเสริมสวยตอนนี้คงทิ้งให้ชุนฟางกับอาจารย์หวังดูแลได้แล้ว
ด้านธุรกิจแต่งหน้าเจ้าสาวในร้านเช่าชุดแต่งงานนั้นไม่ได้มีเข้ามาทุกวัน ถ้าเป็นช่วงนอกเทศกาลแต่งงาน หลินเยี่ยนสามารถจัดการเรื่องเช่าชุดและแต่งหน้าเจ้าสาวได้ นอกจากนี้พวกเธอยังรับสมัครเด็กฝึกงานด้วย ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวัน
หลินเซี่ยคิดอยู่นาน แล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของเธอ
เธอวางแผนที่จะเปิดชั้นเรียนเสริมสวยและทำผมขึ้นมา
ในเบื้องต้นให้เริ่มจากคอร์สอบรมก่อน ถ้าสามารถพัฒนาต่อยอดได้และมีเงินทุนเพียงพอ ก็สามารถเปิดเป็นโรงเรียนสอนทำผมครบวงจร
เธอจำได้ว่า ในช่วงทศวรรษ 1990 จะมีวิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาผุดขึ้นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถขุดเจาะ เครื่องเชื่อมไฟฟ้า ร้านเสริมสวย ร้านทำผม ร้านบะหมี่เนื้อ ก็สามารถเรียนรู้ได้ทุกสิ่ง
เธอควรใช้จุดแข็งของตัวเองนี้ เพื่อคว้าโอกาสในการพัฒนาทักษะอาชีพของตนให้ก้าวหน้าขึ้นอีก
หลินเซี่ยไม่ง่วงนอนอีกต่อไปแล้ว เธอลุกขึ้นหยิบกระดาษปากกา ย้ายไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มเขียนแผนงาน
สำหรับการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ การหาสถานที่เปิดคอร์สอบรมและการรับสมัครนักศึกษาต้องใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อยครึ่งปี
หลินเซี่ยเขียนแผนคร่าวๆ และโดยสัญชาตญาณคือเธออยากปรึกษาเรื่องนี้กับเฉินเจียเหอ
แต่กลายเป็นว่าเฉินเจียเหอยังไม่กลับเข้าห้อง
เธอจึงเดินไปหาเขาที่ห้องนั่งเล่น พบว่าเขาไม่อยู่ที่นี่
เธอไปดูที่ห้องหู่จือ แต่พบว่าหู่จือกำลังนอนหลับสบาย และไม่มีวี่แววของเฉินเจียเหออยู่ในห้อง
หลินเซี่ยจึงสงสัยว่าคนๆ นี้หนีออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ?
เธอจึงล็อกประตูแล้วออกไปตามหาคน พอลงไปชั้นล่างก็มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเพียงไม่กี่คนกำลังพึมพำคุยกัน เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องที่ลุงหลี่จะไปรับภรรยามาอยู่ด้วย
เธอจึงเดินไปถามทุกคนว่าเห็นเฉินเจียเหอบ้างหรือเปล่า
ลุงหนิวบอกว่าเฉินเจียเหอออกไปแล้ว โดยบอกว่าจะไปดูที่โรงงาน
ทว่าท้องฟ้าตอนนี้มืดมิดไร้ดาว หลินเซี่ยจึงไม่กล้าออกจากบ้านแต่เพียงลำพัง
เมื่อรู้ว่าเฉินเจียเหอไปที่โรงงาน เธอจึงโล่งใจ
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะกลับบ้าน ลุงหนิวก็หยุดเธอไว้
“เสี่ยวหลิน คือว่าเหล่าหลี่จะไปรับภรรยาของเขาพรุ่งนี้ และเขาบอกว่าได้จองโต๊ะในโรงแรมของรัฐไว้แล้ว จึงเชิญเราไปกินข้าวด้วยกัน เขาบอกเสี่ยวเฉินแล้วล่ะ ยังไงพรุ่งนี้ตอนบ่ายพวกเธอก็มากินข้าวด้วยกันนะ”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินว่าลุงหลี่เชิญเธอจริงๆ จึงพูดด้วยความยินดีว่า “ตกลงค่ะลุงหนิว ช่วยบอกลุงหลี่ว่าพวกเราจะไปร่วมกินข้าวด้วยแน่นอน”
เมื่อหลินเซี่ยเห็นว่าเฉินเจียเหอไม่ได้หายไป เธอจึงหันหลังและเดินกลับบ้าน
ขณะเดินผ่านบ้านของหวังซิ่วฟางนั่นเอง ทันใดนั้นหวังซิ่วฟางก็เปิดประตูออกมา
หลินเซี่ยสะดุ้งโหยง
“พี่สาวหวัง ดึกดื่นแล้วทำไมคุณไม่นอนล่ะ? มาเปิดประตูกะทันหันแบบนี้ทำให้ฉันตกใจหมด”
หวังซิ่วฟางยิ้มด้วยความรู้สึกผิด “ก็ฉันได้ยินเสียงของเธอไง ฉันเลยออกมาหาเธอนั่นแหละ”
“เซี่ยเซี่ย ทางโรงงานถูกกดดันลงมาจึงปฏิเสธที่จะให้บ้านฉันตอนนี้ และยืนกรานที่จะให้ฉันรอบ้านต่อไป แล้วเธอคิดว่าฉันควรทำยังไงดี? เหล่าเจียงก็เร่งเร้าให้ฉันแต่งงานเร็วๆ ตอนนี้ฉันกำลังขัดแย้งในใจมากเลย”
หวังซิ่วฟางขมวดคิ้ว เพราะกลัวว่าตัวเองจะผิดหวัง และพลาดโอกาสทั้งสองด้าน
หลินเซี่ยถามว่า “แต่ฉันได้ยินว่าปีหน้าจะมีบ้านชุดใหม่ไม่ใช่เหรอ?”
หวังซิ่วฟางตอบว่า “ก็ใช่ ยังไงปีหน้าฉันก็รอได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเหล่าเจียง เพราะเขาบอกว่าถ้าไม่ได้บ้านเขาก็ไม่เป็นไร และยินดีมอบให้คนที่ต้องการมากกว่า แต่เขาขอให้ฉันแต่งงานด้วยเร็วๆ และใช้ชีวิตมีความสุขด้วยกัน ตอนนี้หัวใจของฉันกำลังขัดแย้งไปหมด”
“พี่ซิ่วฟาง ชีวิตคนเรามีทั้งกำไรและขาดทุน คุณต้องคิดเอาเองนะคะว่าสำหรับคุณแล้วสิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับคุณ? มันคือการแต่งงานหรือบ้าน? นี่คือสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“พี่ลองพิจารณาให้รอบคอบนะ” หลังจากที่หลินเซี่ยพูดจบก็เดินขึ้นชั้นบนทันที
ในความเป็นจริงแล้ว หลินเซี่ยคิดว่าหากหวังซิ่วฟางแต่งงานกับเจียงกั๋วเซิ่งและสร้างครอบครัวโดยเร็วที่สุดนั้นจะดีกว่า เพราะตามนโยบายของโรงงานในปัจจุบันนี้ หากพวกเขาทราบถึงความสัมพันธ์ของหวังซิ่วฟางกับเจียงกั๋วเซิ่ง ก็อาจมีข้ออ้างในการตัดหล่อนออกจากการจัดสรรที่อยู่อาศัยชุดถัดไป เพราะถึงอย่างไรก็มีผู้คนจำนวนมากเข้าแถวรอรับที่อยู่อาศัย
การที่หญิงม่ายจะอาศัยอยู่ตามลำพังกับลูกในยุคนี้ถือเป็นเรื่องยากมากจริงๆ และเจียงกั๋วเซิ่งก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งอย่างน้อยเขาสามารถมอบบ้านที่สมบูรณ์ให้แก่เสี่ยวฮวาได้
เมื่อหลินเซี่ยกลับเข้าบ้านแล้ว เธอก็เข้านอนต่อ โดยไม่รอให้เฉินเจียเหอกลับมา
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โอ๊ย น่าสงสารคนแก่เขานะคะ โดนเมียว่าอะไรก็ไม่เจ็บเท่าโดนเมียบอกว่าแก่ เจ็บจนสะบัดก้นหนีออกจากบ้านไปเลย เซี่ยเซี่ยไปตามง้อยังไงดีเนี่ย
ไหหม่า(海馬)