ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 532 พ่อตาเตรียมหักขา
ตอนที่ 532 พ่อตาเตรียมหักขา
เมื่อเฉินเจียเหอส่งหู่จือเสร็จแล้วกลับบ้าน เขาก็แนะนำหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ช่วงบ่ายพวกเราไปหาหมอแผนจีนเย่กันเถอะ”
“แล้วทำไมจู่ๆ จะไปที่บ้านของหมอแผนจีนเย่ล่ะคะ?” หลินเซี่ยเพิ่งกินมื้อเช้าเสร็จและกำลังเก็บโต๊ะ เธอจึงถามด้วยท่าทางสบายๆ
เฉินเจียเหอตอบว่า “ไม่ได้เจอเอ้อร์เลิ่งนานแล้ว ไปหาเขากันเถอะ”
“คุณมีเวลาไปด้วยเหรอ?” หลินเซี่ยถามต่อ “คุณไม่ไปที่โรงงานใหม่เหรอคะ?”
“ไปสิ เช้านี้ผมจะไปดูการติดตั้งเครื่องจักรที่โรงงานใหม่ และน่าจะเสร็จงานเร็ว ถ้างั้นคุณรอผมอยู่ที่ร้านอาหารของพ่อแม่คุณนะ ผมค่อยเริ่มงานกะบ่ายช้าหน่อย แบบนี้ก็มีเวลาให้เราสองคนไปที่นั่น ยังไงก็ทัน”
“ตกลงค่ะ ไปก็ไป”
หลินเซี่ยมองเขาด้วยสายตามีความหมาย
เกรงว่าการที่เขาจะพาเธอไปที่บ้านของอาวุโสเย่นั้นไม่ง่ายแค่การไปหาเอ้อร์เลิ่งเด็ดขาด
แน่นอนว่าความคิดของเฉินเจียเหอเหมือนหลินเซี่ยไม่ผิดเพี้ยน เพราะเขายังต้องการทราบว่าเธอตั้งครรภ์จริงหรือเปล่า
การไปตรวจที่โรงพยาบาลนั้นยุ่งยาก แต่ถ้าปล่อยให้อาวุโสเย่จับชีพจรก็จะทราบผลง่ายและไวกว่า
หลินเซี่ยหยิบชามแล้วเดินเข้าไปในครัว เฉินเจียเหอที่จะไปทำงานพลันรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะหลังจากที่สร่างเมาหมดแล้ว เขาจึงพบว่าพฤติกรรมของตัวเองเมื่อคืนนี้ดูเด็กและเสแสร้งเกินไปจริงๆ
เดิมทีเขาไม่อยากออกไปข้างนอก แต่หลังจากรออยู่ที่ประตูเป็นนานสองนาน เธอก็ไม่แม้แต่จะออกจากประตูห้องนอนเลย เขาจึงโกรธมากจนลงไปชั้นล่าง แต่เจอพวกสหายเก่าหลายคนอยู่ที่นั่นและถามเขาว่าจะไปไหน เขาจึงหาข้ออ้างโดยบอกว่าจะไปโรงงาน หลังจากออกประตูหน้าตึกแล้ว เขาก็เดินไปหาเซี่ยไห่
ในอดีต ทุกครั้งที่เขาอารมณ์ไม่ดีก็มักจะไปหาเซี่ยไห่ ซึ่งมันกลายเป็นปฏิกิริยาเคยชินไปแล้ว
เขาวิ่งเข้าไปในครัว และกอดเธอจากทางด้านหลัง จากนั้นยอมรับผิดด้วยเสียงแผ่ว “คุณภรรยา เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นความผิดของผมเอง และในวันข้างหน้าผมจะไม่ทำตัวเสแสร้งอีก”
หลินเซี่ยถามด้วยท่าทางผ่อนคลาย “แล้วคุณไปดื่มกับใครเหรอ?”
“เหล่าเซี่ย”
หลินเซี่ยแค่นเสียงเย็นชา ปรากฎว่าเขาไปที่ห้องเต้นรำนั่นเอง
เธอมองเขาด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟพลางถามว่า “เต้นรำด้วยเหรอ?”
“ไม่เลย” เขายืนตัวตรงบอกปฏิเสธอย่างจริงจัง
หลินเซี่ยพูดจบก็เบี่ยงตัวหลบแล้วเดินออกจากครัว
เฉินเจียเหอเดินตามแล้วคอยสารภาพผิดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“ผมผิดไปแล้ว อย่าโกรธอีกเลยนะ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกเด็ดขาด”
หลินเซี่ยเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง หากเขาไปที่โรงงานแห่งใหม่ช้ากว่านี้ก็จะล่าช้าไปหมด และถ้าเธอไม่พูดสิ่งใด เขาคงจะถูกความกังวลเกาะกุมไปทั้งเช้า
และเพื่อไม่ให้กระทบต่องานของเขา เธอจึงต้องพูดด้วยความใจกว้างอ่อนโยน “ฉันก็ผิดเหมือนกัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดแทงใจดำคุณอีก”
คนมักพูดกันว่าผู้หญิงมีความอ่อนไหวต่ออายุ แต่เฉินเจียเหอชายผู้แข็งแกร่งซึ่งอยู่ในวัยเลขสาม จะมีความอ่อนไหวต่อเรื่องอายุมากกว่า
คงเป็นคำพูดของวังซูเฟินเมื่อวานนี้ที่บอกว่าเธอเหมือนลูกสาวของเขา จึงไปกระตุ้นอารมณ์นี้ของเขาออกมา
เฉินเจียเหอพูดว่า “คุณภรรยา ในที่สุดคุณก็เข้าใจผมแล้วสินะ หากว่าผมไม่โดนทำร้ายจิตใจอีก ก็จะไม่หนีออกจากบ้านแน่นอน”
“คุณได้ของถูกแล้วยังทำเป็นเชื่อฟัง*เหรอ?” หลินเซี่ยจ้องหน้าเขา ทำให้เฉินเจียเหอรีบแย้ง
(*ได้ของถูกแล้วยังทำเป็นเชื่อฟัง หมายถึง ตัวเองได้ผลประโยชน์แล้วยังทำเหมือนขาดทุน)
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมไปแล้วนะ”
เฉินเจียเหอหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ แล้ววิ่งหนีไปพร้อมกระเป๋าเอกสารของตน
ส่วนหลินเซี่ยก็ยุ่งอยู่กับร้านเสริมสวยตลอดทั้งเช้า
เธอขอให้ชุนฟางแขวนป้ายไว้ที่ประตูโดยระบุว่า เถ้าแก่เนี้ยจะเข้าร้านทุกวันอังคารและวันศุกร์
สำหรับวันพุธและวันอาทิตย์ เธอจะเข้าร้านเช่าชุดแต่งงาน
สำหรับวันเวลาที่เหลือ เธอวางแผนจะเปิดคลาสสอนทำผม
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว เธอก็ไปกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหาร เดิมทีเซี่ยเหลยอยากทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอ แต่หลินเซี่ยสั่งแค่บะหมี่ซุปเปรี้ยว (ต้มยำ) หนึ่งชามเท่านั้น
ขณะที่นั่งกินบะหมี่ เซี่ยไห่ก็เดินเข้ามา
ทันทีที่เขามาถึงประตู เขาก็ส่งเสียงไอไม่หยุด และบอกว่าคอแห้งมาก อยากซดน้ำซุปบะหมี่สักหน่อย
“อาเพิ่งตื่นเหรอคะ?” หลินเซี่ยมองดวงตาที่บวมจากการเพิ่งตื่นของเขาแล้วกลอกตาถาม
เซี่ยไห่อ้าปากหาวแล้วตอบว่า “ใช่ ฉันเพิ่งตื่นน่ะ เพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย ทั้งปวดหัวและคอแห้งจากการสูบบุหรี่ด้วย”
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจียเหอนั่นแหละ เขาอารมณ์ไม่ดี แต่รินเหล้าให้ฉันไม่หยุด”
หลังจากที่เซี่ยไห่พูดจบ ก็หันมาถามหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย เธอทะเลาะกับเจียเหอใช่ไหม?”
“ไม่ใช่นะคะ”
เซี่ยไห่มองหลินเซี่ยด้วยความเคลือบแคลง “เขาแค่อยากดื่มกับฉันตอนดึกงั้นเหรอ? แต่เขาดูหดหู่ใจมากเลยนะ”
เซี่ยเหลยบังเอิญยกชามซุปบะหมี่มาพอดี เขาวางชามไว้บนโต๊ะแล้วใช้สายตาคมกริบมองเซี่ยไห่ จากนั้นถามว่า
“นายพูดว่าไงนะ? เฉินเจียเหอออกไปดื่มกับนายตอนกลางคืนเหรอ? เขาทิ้งเซี่ยเซี่ยกับหู่จือไว้ที่บ้านเพื่อไปดื่มกับนายเนี่ยนะ?”
เซี่ยไห่ตระหนักว่าทำให้พี่น้องเดือดร้อนแล้ว เขาจึงหดคอด้วยความกลัว
จากนั้นเขาก็รีบอธิบายว่า “เปล่าหรอก ความจริงแล้วเขาไม่ได้ดื่มเยอะ เขานั่งสักพักแล้วก็กลับไปเลย”
เซี่ยเหลยเปลี่ยนไปมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าจริงจังพลางถามว่า “เซี่ยเซี่ย พวกลูกทะเลาะกันเหรอ?”
หลินเซี่ยรีบปฏิเสธเช่นกัน “ไม่ใช่ค่ะ แต่บังเอิญว่าฉันมีงานต้องทำ จึงขอให้เขาออกไปข้างนอกสักพัก เพราะฉันกลัวว่าเขาจะกวนสมาธิค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหลยไม่เชื่อคำพูดของหลินเซี่ย
เพราะสภาพจิตใจของเฉินเจียเหอเมื่อคืนนี้ไม่เหมือนกับการถูกหลินเซี่ยบอกให้ออกมานั่งเล่นสักนิด
หลินเซี่ยสบตาบิดาผู้ให้กำเนิดและอารอง จากนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองคนอย่าเดามั่วเลยค่ะ อีกไม่นานเขาจะมาที่นี่ด้วย ถึงตอนนั้นพวกคุณค่อยถามเขาว่าเราทะเลาะกันจริงไหม แล้วหลังกินข้าวเสร็จแล้วพวกเราจะไปพบเอ้อร์เลิ่งด้วยกัน”
เธอพูดถูกจริงๆ เพราะหากเฉินเจียเหอกล้าทำตัวเหมือนสัตว์ร้าย พ่อของเธอจะส่งเขาลงนรกแน่นอน
เมื่อเซี่ยเหลยเห็นว่าหลินเซี่ยอารมณ์ดีอยู่ และมีลูกค้ามารอสั่งอาหาร เขาจึงไม่พูดมากอีกและกลับไปที่ห้องครัว
หลินเซี่ยเบนสายตาไปทางเซี่ยไห่ “อารองช่วยปิดปากเพื่อฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนี่นา เพราะเมื่อคืนเขาอารมณ์ไม่ดีและบอกว่าเธอรังเกียจ ฉันจึงคิดว่าเธอสองคนทะเลาะกันน่ะ”
เซี่ยไห่ยังคิดอยู่เสมอว่าทั้งสองคนนี้ทะเลาะกัน
สาเหตุต้องเป็นเพราะหลานสาวของเขาพูดทำร้ายจิตใจ จนทำให้เฉินเจียเหอคนนั้นสูญสิ้นเกราะป้องกัน
เนื่องจากเฉินเจียเหอรักหลานสาวของเขาหมดหัวใจ จึงมีอารมณ์อ่อนไหวมาก มีความมั่นใจในตนเองต่ำและรู้สึกกลัวอยู่เสมอว่าหลินเซี่ยจะไม่ชอบหรือไม่ต้องการแล้ว
เซี่ยไห่ไม่เคยคาดหวังผลลัพธ์นี้ เพราะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพี่น้องของเขา ตอนนี้กลายเป็นคนอ่อนไหว บอบบางและช่างเสแสร้งไปแล้ว
ถึงขั้นหนีออกจากบ้านแล้วด้วย
หลินเซี่ยกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า
“ไม่มีการทะเลาะกัน และพวกเรารักกันมากค่ะ ดังนั้นอาอย่าเดามั่วๆ เลย”
หลังจากเฉินเจียเหอมาที่ร้านอาหารแล้ว เซี่ยเหลยก็อยากจะพูดกับเขา และขอให้เขาอย่าออกไปดื่มตอนกลางคืนหรือทิ้งเซี่ยเซี่ยกับลูกไว้ที่บ้านอีก แต่เมื่อเห็นว่าเขาช่วยเช็ดมือให้หลินเซี่ยด้วยความเอาใจใส่ และทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรักความคิดถึงขนาดนี้ สุดท้ายเซี่ยเหลยจึงไม่ได้พูดคำใด และหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำบะหมี่ให้เขาอีกชาม
หลังมื้ออาหาร ทั้งสองก็ไปที่บ้านของหมอแผนจีนเย่ด้วยกัน
เมื่อรถจักรยานยนต์เข้ามาจอด ก็บังเอิญเห็นผู้เฒ่าเซี่ยกำลังตัดแต่งดอกไม้ต้นไม้ที่หน้าประตูพอดี
ทันใดนั้นหลินเซี่ยเพิ่งจำได้ว่า เสิ่นอวี้หลงและผู้เฒ่าเซี่ยย้ายมารับการรักษากับอาวุโสเย่
เมื่อไม่เจอกันหลายวันแล้ว ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยที่นี่
“คุณตาคะ” หลินเซี่ยก้าวไปข้างหน้าและทักทายผู้เฒ่าด้วยความเคารพ
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่หญิงสาวร่างผอมเพรียวตรงเบื้องหน้า และเมื่อได้ยินเธอทักทายตนด้วยความสุภาพ เขาก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนมาก แต่ยังทักทายตอบสั้นๆ ว่า ‘อืม’
เมื่อก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะโง่เขลา ผลการเรียนก็แย่และเขาไม่ชอบเธอนัก แต่เธอกลับเกาะติดเขามาก และมักกระโดดขึ้นขี่หลังของเขาทุกครั้งที่ได้เห็น โดยที่เขาไม่สามารถผลักเธอออกไปได้เลย
ตอนนี้ตัวตนได้เปลี่ยนไปแล้ว และอีกฝ่ายดูห่างเหินมากๆ
หลินเซี่ยมองเขาและถามด้วยความกังวลว่า
“คุณตาคะ ตอนนี้อวี้หลงเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“ช่วงนี้เริ่มดีขึ้นแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยถอนกรรไกรออกแล้วพูดว่า “เข้าไปสิ”
เฉินเจียเหอนำของที่ห้อยไว้ตรงรถจักรยานยนต์เดินมาและพูดกับผู้เฒ่าเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ยรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ จึงซื้อใบชามาฝากคุณโดยเฉพาะ นี่สำหรับคุณกับอาวุโสเย่คนละห่อครับ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอแล้ว ดวงตาของผู้เฒ่าเซี่ยก็อ่อนลงมาก “ขอบคุณนะ”
“ต้าเหอ สะใภ้ของต้าเหอ ไม่สิ…ต้องเรียกว่าพี่สะใภ้ พวกคุณมาทำไมเหรอครับ?”
เอ้อร์เลิ่งได้ยินเสียงในลานบ้าน เขาจึงวิ่งออกจากครัวโดยสวมผ้ากันเปื้อนไว้ด้วย
…………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โชคดีที่ไม่มีใครเล่าวีรกรรมเมื่อคืนให้ทางบ้านเซี่ยเซี่ยฟัง ไม่งั้นน่วมแน่พี่เหอเอ๊ย