ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 548 เลียจนไม่เหลืออะไรเลย
ตอนที่ 548 เลียจนไม่เหลืออะไรเลย
เสิ่นเสี่ยวเหมยบอกว่า “ฉันอยากกินเลี้ยงอำลามื้อสุดท้ายในสถานที่ดี ๆ หน่อย ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
ในเมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยบังคับให้เฉินเจียซิ่งเข้าไปข้างใน ท้ายที่สุดเฉินเจียซิ่งจึงต้องเข้าไปในโรงแรมอย่างไม่เต็มใจ
หล่อนพาเขาเข้าไปในร้านอาหารซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่หรูหราและเงียบสงบ
ได้ยินมาว่าโรงแรมแห่งนี้เน้นต้อนรับและให้บริการแก่เจ้าหน้าที่รัฐ แขกชาวต่างชาติ และนักธุรกิจที่มาเพื่อพูดคุยธุรกิจเท่านั้น
ไม่มีคนธรรมดาคนไหนกล้าเข้ามาใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย
เสิ่นเสี่ยวเหมยสั่งอาหาร ทั้งยังสั่งไวน์หนึ่งขวด
เฉินเจียซิ่งมองเสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งทำตัวเหมือนเศรษฐี อดไม่ได้ที่จะถามว่า “สั่งของมาเต็มโต๊ะขนาดนี้ มีเงินจ่ายเหรอ? อย่าขอให้ฉันช่วยออกล่ะ ฉันไม่มีเงิน”
“ไม่ต้องกังวล คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักแดงเดียว” เสิ่นเสี่ยวเหมยกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ จึงเปิดกระเป๋าสตางค์ออกเพื่อแสดงเงินสดในนั้นให้เขาดู
เสิ่นเสี่ยวเหมยทำท่าภูมิใจ “ลุงฉันเคยเป็นทหารเก่า เขาไม่มีวันยอมให้ฉันอดตายหรอก ต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานสักสองสามเดือน”
“ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรเอาเงินลุงตัวเองมาผลาญเล่นแบบนี้”
“พี่ชายฉันโดนจับเข้าคุก ได้ยินมาว่าเขาอาจถูกตัดสินจำคุกนานกว่าสิบปี นังแพศยาเสิ่นอวี้อิ๋งนั่นก็หลบลี้หนีหน้าไปเลี้ยงลูกตัวเองอยู่ที่อื่น วันข้างหน้าลุงฉันไม่สามารถพึ่งพาใครได้ คงไม่พ้นพึ่งพาให้ฉันเลี้ยงดูเขาตอนแก่เหรอ? ทรัพย์สินของเขาทั้งหมดควรเป็นของฉันอยู่แล้ว”
เฉินเจียซิ่งมองหล่อนด้วยน้ำเสียงดูถูก “ทหารที่เกษียณอายุแล้วจะมีเงินสักแค่ไหนกันเชียว? เว้นแต่ตอนที่ยังไม่เกษียณลุงของคุณจะโลภมาก”
ปู่เขาเองก็เป็นทหารเกษียณอายุราชการ ก่อนหน้านี้เคยเป็นอดีตผู้บังคับการด้วยซ้ำ นอกเหนือจากสวัสดิการดี ๆ หลังเกษียณ เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยมีเงินเก็บมากมายอะไร
ดวงตาเสิ่นเสี่ยวเหมยแทบลุกเป็นไฟเมื่อได้ยินแบบนั้น “อย่าพูดเรื่องไร้สาระนะ เงินพวกนี้เป็นเงินบำนาญของลุงฉันทั้งนั้น เขาเป็นคนดีและซื่อสัตย์”
หล่อนพูดเสริม “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในฐานะอดีตเจ้าหน้าที่ทหารของรัฐ อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า(1) จากนี้ไปบ้านของเขาก็จะกลายเป็นของฉันเหมือนกัน”
เฉินเจียซิ่งมองดูท่าทางต่ำช้าของเสิ่นเสี่ยวเหมย ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับหล่อนต่อ “กินเถอะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะแนะนำว่าคนเราควรพึ่งพาความพยายามของตัวเอง อย่าเอาแต่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้าเสมอไป
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนไม่ใช่ทายาทคนแรกหรือคนที่สองที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้เฒ่าเสิ่นด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันแล้ว เฉินเจียซิ่งไม่อยากเปลืองวาจาอีกต่อไป
เขาแค่อยากรีบกินให้เสร็จ ๆ เพื่อที่จะรีบไปเสียที
เสิ่นเสี่ยวเหมยรินไวน์ให้พวกเขาทั้งคู่
เฉินเจียซิ่งมีท่าทีระแวดระวังและต่อต้าน “ผมไม่ดื่ม”
“ดื่มนิดหน่อยสักแก้วสองแก้วเถอะค่ะ” เสิ่นเสี่ยวเหมยพูด “เราจะบอกลากันโดยไม่ดื่มไวน์ได้ยังไง?”
หล่อนยืนกรานที่จะรินไวน์สองแก้ว จากนั้นก็กำลังจะดื่มอวยพรให้กับเฉินเจียซิ่ง
เฉินเจียซิงมองแก้วไวน์ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“เฉินเจียซิ่ง อย่าทำตัวไร้มารยาทนักเลย แม้แต่งานฉลองการเลิกราของเราก็ไม่คิดจะดื่มเชียวเหรอ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยผลักแก้วไวน์ไปอยู่ตรงหน้าเฉินเจียซิ่ง ก่อนจะดื่มอวยพรให้เขา “ฉันขอให้ชีวิตคุณนับจากนี้มีแต่ความสุข”
“ขอบคุณ” เฉินเจียซิ่งหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและมีกระดกดื่มตอบรับคำอวยพร
จากนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยก็คีบอาหารให้กับเฉินเจียซิ่งอย่างกระตือรือร้น เฉินเจียซิ่งไม่คุ้นเคยกับความกระตือรือร้นของเธอเลย “ผมทำเองได้”
เขาแค่กินนิดหน่อยพอเป็นพิธีทั้งที่ไม่ได้มีความอยากอาหาร เมื่อมองดูใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมย เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มใจเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ
ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็คืออดีตภรรยาของเขา โดยที่เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าอีกฝ่ายมาเห็นเขานั่งกินข้าวอยู่ที่นี่กับเสิ่นเสี่ยวเหมย เขาคงไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้เลย
เฉินเจียซิ่งเริ่มอยากจบมื้ออาหารอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรจะพูดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยอีก เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินเงียบ ๆ
กินหมดเร็วก็ยิ่งหนีห่างได้เร็ว
เสิ่นเสี่ยวเหมยพยายามหาหัวข้อสนทนามาคุยอยู่เนือง ๆ เมื่อเห็นว่าเฉินเจียซิ่งไม่สนใจที่จะพูดคุยกับตัวเอง หล่อนจึงรินไวน์อีกแก้ว
“มาค่ะ ดื่มแก้วสุดท้าย แล้วมาบอกลาชีวิตเก่าของเรากันเถอะ”
เฉินเจียซิ่งหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา มองหน้าเสี่ยวเหมยแล้วพูดว่า “ผมหวังว่าคุณจะได้เจอกับคนที่คุณรักโดยเร็วที่สุด จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่สักที”
เสิ่นเสี่ยวเหมยยิ้มพร้อมพูดว่า “ขอบคุณ ฉันจะพยายามแสวงหาความสุขใส่ตัวอย่างเต็มที่”
หล่อนเติมไวน์อีกครั้งและพูดว่า “ฉันขอให้คุณกับหยางหงเสียมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข เต็มไปด้วยความรักใคร่ปรองดองกันในอนาคต”
เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยพูดคำดังกล่าว ดวงตาของเฉินเจียซิ่งก็เปลี่ยนไปเมื่อเขามองไปที่หล่อน
น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งนุ่มนวลขึ้น ท่าทางป้องกันตัวลดน้อยลง “เสิ่นเสี่ยวเหมย ผมดีใจมากที่คุณสามารถปล่อยวางอดีตได้ จากนี้ขอให้คุณปรับนิสัยไปในทางที่ดี สลัดความนิสัยเสียทั้งหมดทิ้งไป ได้เจอกับใครสักคนที่พร้อมจะแต่งงานด้วย ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขกับรักครั้งใหม่ที่ดีเช่นกัน”
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองดูเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมาย “แล้วถ้าฉันไม่อยากแต่งงานกับคนอื่นล่ะ?”
เมื่อหล่อนพูดแบบนี้ เฉินเจียซิ่งก็เหมือนโดนกดกริ่งสัญญาณเตือนภัย ลุกขึ้นยืนทันที “เสิ่นเสี่ยวเหมย เราตกลงกันแล้วว่านี่เป็นงานเลี้ยงเลิกรา ถ้าคุณยังพูดจาน่าเบื่อกับเรื่องเดิม ๆ อีก ผมคงต้องไป”
เสิ่นเสี่ยวเหมยหยุดเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันล้อเล่นน่า ดูท่าทางหวาดกลัวของคุณสิ
อย่างที่คุณเพิ่งบอกไป ตอนนี้ชีวิตฉันกำลังเป็นไปด้วยดี ดีกว่าผู้หญิงน่าสงสารที่คุณกำลังจะแต่งงานด้วยมาก ๆ มีผู้ชายต่อคิวตามจีบฉันเยอะแยะ ฉันแค่อยากให้โอกาสคุณเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ของเราในฐานะสามีภรรยาให้กลับคืน แต่ในเมื่อคุณไม่ยินดีรับไว้ก็ช่างมัน ระวังอีกหน่อยจะมานึกเสียใจ”
เฉินเจียซิงนั่งลงอีกครั้ง “ล้อเล่นกันหรือเปล่า”
ที่ผ่านมาเขาเสียใจมากพอแล้ว เสียใจที่ตัวเองคล้อยตามคนอย่างเสิ่นเสี่ยวเหมยสุ่มสี่สุ่มห้า
เหมือนสุนัขรับใช้ที่คอยเลียแข้งเลียขา
เลียจนไม่เหลืออะไรเลย
เสิ่นเสี่ยวเหมยและเฉินเจียซิ่งดื่มกันต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็เริ่มพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่ทั้งสองได้เจอกันเป็นครั้งแรก
เฉินเจียซิ่งรู้สึกว่าหัวของเขาเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาพของผู้หญิงตรงหน้าเริ่มเกิดภาพซ้อนพร่าเลือน
มึนเมาจนสายตาเบลอแล้ว
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็อ่อนปวกเปียก เวียนหัวจนควบคุมไม่ได้ ก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ
“เฉินเจียซิ่ง? เฉินเจียซิ่ง?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยเขย่าเขาสองครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว ริมฝีปากของหล่อนก็ขดเป็นรอยยิ้มสมใจ หันมองไปยังทิศทางหนึ่งของร้านอาหาร
ไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดพนักงานเสิร์ฟของโรงแรมก็เดินเข้ามา
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเฉินเจียซิ่งนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ หล่อนก็มองไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมย เอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “คุณผู้หญิง ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่าคะ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยบอกว่า “ช่วยฉันประคองสามีขึ้นไปนอนพักบนห้องทีค่ะ”
“ได้ค่ะ คุณผู้หญิง”
พนักงานเสิร์ฟสาวและเสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้ากัน ทั้งสองคนช่วยกันหิ้วปีกเฉินเจียซิ่ง พาเขาขึ้นลิฟต์ แล้วเข้าไปในห้องพักของโรงแรม
เสิ่นเสี่ยวเหมยโยนร่างผู้ชายคนนั้นลงบนเตียง แล้วหันไปพูดกับผู้หญิงที่มาด้วยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “พี่หลิง ขอบคุณนะที่เต็มใจช่วยฉัน”
“ถ้าครั้งนี้เธอทำไม่สำเร็จ ต่อไปอย่าได้พูดเด็ดขาดว่ารู้จักฉัน”
ผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟพูดทิ้งท้าย “ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว”
…
หยางหงเสียพูดคุยเน้นย้ำกับพ่อแม่ตัวเองหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สร้างปัญหาอีกต่อไปหรือเปลี่ยนใจเรียกร้องสินสอดเพิ่มเติม พอแน่ใจแล้วหล่อนก็โล่งใจอย่างยิ่ง
หลังอาหารเย็น หล่อนออกไปจากซอยเพื่อส่งเพจเจอร์ให้เฉินเจียซิ่ง ขอให้เขาโทรกลับมาหาหล่อน
ปรากฏว่าหลังจากหล่อนส่งเพจเจอร์ไปสองข้อความ กลับไร้การตอบกลับ แถมเขายังไม่ยอมรับสาย
หยางหงเสียเริ่มกังวลและหวั่นวิตก หล่อนกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะเดือดร้อนจากการไปหาเงินห้าร้อยหยวนมาจ่ายค่าส่วนต่าง และกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะผิดหวังกับครอบครัวของหล่อนเพราะเรื่องเงิน จนทำให้การแต่งงานระหว่างทั้งสองชะงักงัน
หยางหงเสียยืนอยู่ที่หน้าตู้โทรศัพท์ มองไปยังทางเข้าตรอกมืด ๆ ด้วยสายตาอันแน่วแน่
หล่อนอยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ ไม่อยากเลิกรากับเฉินเจียซิ่ง นับประสาอะไรกับการพลาดงานแต่งในครั้งนี้
หยางหงเสียรวบรวมความกล้า โทรไปที่บ้านตระกูลเฉินเพื่อถามว่าเฉินเจียซิ่งอยู่ที่บ้านหรือไม่
หล่อนต้องรีบบอกข่าวนี้ให้เฉินเจียซิ่งรู้โดยด่วนก่อนที่เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับครอบครัว ว่าบ้านของหล่อนไม่ต้องการเรียกร้องสินสอดเพิ่มแล้ว
หล่อนไม่อยากให้ผู้อาวุโสในตระกูลเฉินต้องมองหล่อนหรือพ่อแม่ของหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ
พอหยางหงเสียกดโทรออก ก็เป็นผู้เฒ่าเฉินที่รับสาย เมื่อได้ยินมาปลายสายคือหยางหงเสีย ผู้เฒ่าเฉินก็พูดคุยกับหล่อนอย่างใจดี บอกว่าเฉินเจียซิ่งไม่ได้กลับมาที่บ้านเลยตั้งแต่เขาออกไปทำงานในตอนเช้า
………………………………………………………………………………………………………………
อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า ความหมายคือ ผู้ที่มีอำนาจบารมีในแขนงใดแขนงหนึ่ง แม้จะประสบอุปสรรค ก็ยังเหนือกว่าคนที่ไม่มีอะไรเลย
สารจากผู้แปล
เจียซิ่งแย่แล้ว ยัยเสี่ยวเหมยจะทำอะไรหรือเปล่า ขอให้มีคนไปช่วยออกมาด้วยเถอะ
ไหหม่า(海馬)