ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 551 ในอนาคตมันจะส่งผลต่อความสุขในชีวิตไหม
ตอนที่ 551 ในอนาคตมันจะส่งผลต่อความสุขในชีวิตไหม
น้องชายไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เอาแต่เยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม เฉินเจียซิ่งเจ็บปวดทั้งกายและใจจึงตัดพ้อด้วยความเสียใจว่า “พี่ตัวเองบาดเจ็บเกือบตาย แต่นายไม่รู้สึกเสียใจเลยเหรอ ทำไมถึงเอาแต่ทับถมฉันอยู่ได้?”
เฉินเจียวั่งยังคงเหน็บแนมต่อ “ถ้าเรามาไม่ทัน ตอนนี้พี่คงได้เป็นขันทีไปแล้ว และก็คงไม่มีแรงมาตัดพ้ออย่างนี้หรอก”
“ถูกต้อง เจียซิ่ง… ตอนที่ฉัน น้องเขย แล้วก็เจียวั่งได้ยินว่าติดต่อนายไม่ได้ พวกเราก็เป็นห่วงมากเลยออกไปตามหานายทุกที่กลางดึก ตอนกลางวันน้องเขยต้องทำงาน พอเลิกงานก็ต้องวิ่งวุ่นตามหานายอีก พวกเราสมควรบ่นแล้วไม่ใช่เหรอ”
เฉินเจียซิ่งหยุดพูดทันที
หลินจินซานเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในหมู่พวกเขา
คำพูดของจึงดูคร่ำครึและมีท่าทางเหมือนกับคนแก่ไม่มีผิด
เฉินเจียซิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด
เมื่อเห็นท่าทางของพี่น้อง เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ในช่วงเวลายากลำบาก ก็ยังมีพี่น้องที่ยังคงไว้วางใจได้
หากพวกเขาไม่มาช่วยได้ทันเวลา ผลที่ตามมาอาจจะเลวร้ายเกินกว่าจินตนาการได้
เสิ่นเสี่ยวเหมยบ้าไปแล้ว เซลล์สมองของหล่อนต้องต่างจากผู้หญิงทั่วไปแน่ ๆ
หล่อนจงใจทำให้เขาหมดสติก่อนพาไปนอนบนเตียงแล้วเปลื้องผ้าออกจนหมด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ล่วงเกินหรือบีบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่กลับใช้กรรไกรตัดความเป็นชายของเขาและต้องการเปลี่ยนให้เขาเป็นขันทีแทน
เส้นขนทั่วร่างกายของเฉินเจียซิ่งลุกชันทันที
เขานอนร่วมกับคนวิกลจริตอย่างนี้มานานกว่าครึ่งปีได้อย่างไร
โชคดีมากที่เขายังอยู่รอดปลอดภัยจนถึงตอนนี้
เฉินเจียซิ่งไม่รู้จะพูดอะไร “พวกนายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่โรงแรมไห่เฉิง?”
“ตอนนี้พี่ถึงยังไม่ชะตาขาด แต่ถ้าพวกเราไปช้า พี่ได้นอนในโลงแน่”
เฉินเจียวั่งเหลือบมองเฉินเจียซิ่งพร้อมแสดงสีหน้าเยาะเย้ย
เฉินเจียวั่งมองพี่รองแล้วรู้สึกว่าเขาทั้งน่าสงสารและน่าขบขันมาก
เฉินเจียเหอโทรหาเย่ไป๋ขณะอยู่บนรถ เพราะอีกฝ่ายต้องทำงานกะกลางคืน เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียซิ่งได้รับบาดเจ็บ เขาก็บอกให้เฉินเจียเหอพาน้องชายไปหา เพราะเตรียมเตียงฉุกเฉินไว้แล้ว
หลังจากลงจากรถ เฉินเจียซิ่งก็กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแล้วยืนตัวตรง ก่อนเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยตนเอง
เย่ไป๋เห็นว่าร่างกายของเขายังครบสามสิบสอง ไม่มีบาดแผลหรือคราบเลือดจึงมองเฉินเจียเหอด้วยความงุนงง “เขาบาดเจ็บที่ไหน?”
ทุกคนต่างอับอายและไม่มีใครกล้าตอบเขาโดยตรง
เย่ไป๋สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางน่าสงสัย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพาไปห้องรักษาพยาบาล
เฉินเจียซิ่งกระแอมเล็กน้อยด้วยความเขินอาย “ไปนอนที่เตียงก่อนเถอะ”
พยาบาลเข้ามาในห้องและเตรียมอุปกรณ์ทำแผล ขณะเดียวกันเฉินเจียซิ่งอยากกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอดก่อนพูดว่า “พี่เย่ให้พยาบาลออกไปก่อนได้ไหม พี่ทำแผลผมคนเดียวก็พอ”
เขาต้องไม่ให้พยาบาลรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน มิฉะนั้นคงต้องถูกหัวเราะเยาะไปจนตายจริง ๆ
เย่ไป๋ขอให้พยาบาลออกไปก่อน ขณะที่เฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่งรออยู่ข้างนอกเช่นกัน
“บอกฉันมาเถอะว่านายบาดเจ็บตรงไหม? จะได้ประเมินว่ารักษาได้ไหม”
เฉินเจียซิ่งค่อย ๆ ถอดกางเกงออก
เย่ไป๋ “?”
เขาถอดกางเกงออกแล้วชี้ไปที่บาดแผล
เย่ไป๋สวมถุงมือพลางกลืนคำถามมากมายลงคอ จากนั้นตรวจสอบบาดแผลของเขา
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายถูกแทงด้วยกรรไกร เย่ไป๋ก็เริ่มคิดถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บ
เฉินเจียซิ่งรู้สึกเหมือนกับเวลาผ่านไปหนึ่งปี หลังจากประเมินบาดแผลเสร็จ เขาก็รีบสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งใส่กางเกงนะ” เย่ไป๋พูด “บาดแผลถูกกรรไกรแทงไม่ร้ายแรง แต่นายต้องกินยาฆ่าเชื้อและทายาอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ”
ในฐานะศัลยแพทย์ด้านประสาท นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ไป๋ต้องรักษาอาการบาดเจ็บประเภทนี้
เขาพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาหยิบสำลีก้านยาวจุ่มแอลกอฮอล์มาเช็ดฆ่าเชื้อโรคบริเวณรอบบาดแผลอย่างรวดเร็วโดยไม่มองหน้าเฉินเจียซิ่ง เขาเอาแต่ก้มหน้าด้วยความเขินอายก่อนพูดว่า
“เสร็จแล้ว สองสามวันนี้อย่าให้บาดแผลโดนน้ำ เพราะมันจะค่อย ๆ สร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา แล้วก็อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ”
หลังจากทำแผลแล้ว เย่ไป๋ก็เดินจากห้องแล้วถอดถุงมือทิ้งก่อนเงยหน้ามองเฉินเจียเหอ สุดท้ายแล้วเขาก็ทนไม่ได้และอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเจียซิ่ง
ถ้าเขาบังเอิญทำกรรไกรบาดตัวเองขณะตัดผมจริง ทำไมสามพี่น้องและหลินจินซานถึงมากันพร้อมหน้า?
สิ่งสำคัญคือชายเสื้อของเฉินเจียซิ่งถูกตัดและมีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดอยู่
ขณะที่เฉินเจียซิ่งกำลังสวมกางเกง เขาก็ได้ยินเย่ไป๋ถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขา เฉินเจียซิ่งก็อยากพุ่งออกไปห้ามพี่ชายไม่ให้ตอบเย่ไป๋
เขาไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ต่อไปได้อย่างไร
ชื่อเสียงของเขาย่อยยับแล้ว
เมื่อสวมกางเกงเสร็จและเดินออกไปข้างนอก พี่ชายของเขาก็อธิบายให้เย่ไป๋ฟังอย่างกระชับและรัดกุมว่าใครคือผู้ลงมือ
เมื่อเย่ไป๋รู้ว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยจงใจใช้กรรไกรตอนเฉินเจียซิ่ง เขาก็แสดงสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
นิสัยเสียของเฉินเจียซิ่งเกือบต้องทำให้ชีวิตของเขาจบลง
เฉินเจียซิ่งเดินออกไปข้างนอกห้องพลางกระแอมเล็กน้อย ก่อนถามว่า “หมอเย่ อาการของผมร้ายแรงไหมครับ? แล้วผมต้องกินยาฆ่าเชื้อนานแค่ไหน?”
สีหน้าของเย่ไป๋เปลี่ยนไป เขาตอบด้วยรอยยิ้มว่า “แค่สองวัน”
“แล้วในอนาคต มันจะส่งผลต่อความสุขในชีวิตของผมไหม?” ยังไงก็ตามเฉินเจียซิ่งไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และมันคงเป็นการดีถ้าเขาสอบถามปัญหาต่าง ๆ ในครั้งเดียว
เย่ไป๋ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เอ่อ… เรื่องนั้นฉันก็ตอบไม่ได้”
เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินอย่างนั้น เขาก็ตกใจจนร่างกายสั่นเทาอีกครั้ง “คุณหมายความว่ายังตอบไม่ได้ว่ามันจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตหรือไม่ใช่ไหม? เอ่อ… มันไม่ควรจะมีอะไรอยู่ข้างใน นอกจากเนื้อหนังสินะ”
ถ้าถูกกรรไกรเฉือนผิวหนัง มันจะส่งผลต่อการใช้งานหรือไม่?
“ร่างกายของนายยังสบายดี” เย่ไป๋ตบบ่าเฉินเจียซิ่ง ซึ่งน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจและความกังวล “แต่นายต้องปรับความคิดใหม่ ถ้าจิตใจของนายป่วย ก็อาจทำเกิดอุปสรรคต่อชีวิตคู่ได้”
เฉินเจียซิ่งตอบ “ขอบคุณครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ตอนนี้เริ่มมีเงาดำผุดขึ้นในจิตใจเขาแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
หลังออกจากโรงพยาบาล หลินจินซานก็อาสาเป็นคนขับรถ
ทั้งสามพี่น้องยืนรออยู่ข้างถนน เฉินเจียซิ่งมองเฉินเจียเหอและพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “พี่ใหญ่ เจียวั่ง ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ไหม อย่าให้คนอื่นรู้เลย ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องอายจนแทรกแผ่นดินหนีแน่”
เฉินเสียเหอและเฉินเจียวั่งไม่ได้สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
เฉินเจียซิ่งยืนประจันหน้ากับพวกเขาก่อนโค้งคำนับ “พี่ใหญ่ น้องสาม ขอร้องล่ะ ฉันเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าพ่อแม่กับปู่ย่ารู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องดุด่าฉันจนตายแน่ แล้วอารองกับอาสะใภ้รองจะต้องหัวเราะเยาะแน่นอน”
เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สมควรโดนแล้ว เพราะนายโง่เอง”
เฉินเจียวั่งเห็นด้วย “ใช่ แล้วตอนที่พี่ไปกินข้าวกับเสิ่นเสี่ยวเหมย ทำไมไม่กลัวโดนทุกคนด่าบ้างล่ะ? ผมคิดว่าพี่ยังมีเยื่อใยกับหล่อนเสียอีก”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ แล้วก็อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าฉันด้วย” เฉินเจียซิ่งโต้ตอบทันควันด้วยสีหน้าจริงจังหลังจากได้ยินคำพูดของเฉินจียวั่ง
หลินจินซานขับรถออกมาจากลานจอดรถแล้วจอดรับพี่น้องทั้งสามคน
เฉินเจียซิ่งและเฉินเจียเหอลงจากรถให้ชุมชนบ้านพักทหาร ขณะที่เฉินเจียเหอและหลินจินซานกลับไปที่ห้องเต้นรำ
รถแล่นไปจอดที่หน้าทางเข้าห้องเต้นรถ หลินจินซานแยกย้ายไปทำงานขณะที่เฉินเจียเหอกลับบ้าน
ถ้าเฉินเจียเหอยังไม่กลับบ้าน หลินเซี่ยก็ไม่สามารถนอนหลับสนิท เธอจึงนั่งรอเขาอยู่นาน
เมื่อเห็นสามีกลับบ้านมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เธอจึงรีบถามว่า “เจอเฉินเจียซิ่งไหมคะ?”
“เจอแล้ว” เฉินเจียเหอเดินเข้ามาในบ้านพลางถอดเสื้อคลุมออกแล้วถามเบา ๆ “ทำไมคุณยังไม่นอนอีกล่ะ นี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว”
“ถ้าคุณยังไม่กลับมา ฉันก็นอนไม่หลับหรอก”
“ไปพักผ่อนกันเถอะ”
หลังจากเดินเข้าไปในห้องนอนและล้มตัวลงนอนบนเตียง หลินเซี่ยก็ถามด้วยความสงสัย “คุณเจอเฉินเจียซิ่งที่ไหน? แล้วเขากำลังทำอะไรอยู่?”
“เขา…”
แม้เฉินเจียซิ่งไม่อยากให้เฉินเจียเหอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง แต่เขาไม่เคยมีความลับต่อภรรยา ดังนั้นจึงไม่สามารถเก็บซ่อนความลับให้รอดพ้นจากสายตาสงสัยของภรรยาได้เลย
ดังนั้นเฉินเจียเหอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกความจริง “เขาไปกินอาหารเย็นกับเสิ่นเสี่ยวเหมยและถูกหล่อนมอมเหล้าจนสลบไป”
“อะไรนะ?” หลินเซี่ยแทบจะกระโดดด้วยความตกใจ “มันเกิดขึ้นได้ยังไง? เฉินเจียซิ่งไปกินอาหารเย็นกับเสิ่นเสี่ยวเหมยเนี่ยนะ? เขาควรจะไปกับหยางหงเสียไม่ใช่เหรอ?”
หลินเซี่ยบ่นอุบว่าเธอไม่เข้าใจเลยว่าเฉินเจียซิ่งกำลังคิดอะไรอยู่
เขาก้าวลงไปในหลุมกับดักด้วยตนเอง แล้วหมดสติไป…
ทั้งสองคนควรแต่งงานกันใหม่อีกครั้งและหยุดทำร้ายคนอื่นสักที
“เขาบอกว่าแค่จะไปกินข้าวเฉย ๆ น่ะ”
เฉินเจียเหอไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เสิ่นเสี่ยวเหมยเกือบตัดอวัยวะที่บ่งบอกความเป็นชายของเฉินเจียซิ่งทิ้ง
เขาลำบากใจที่จะเล่าเรื่องไร้สาระอย่างนี้ต่อหน้าภรรยา
“นอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ”
เฉินเจียเหอเหนื่อยมาก เขานอนกอดหลินเซี่ยก่อนผล็อยหลับทันทีที่ล้มตัวนอน
แต่หลินเซี่ยนอนไม่หลับ
เธอไม่พอใจกับการกระทำของคนโง่อย่างเฉินเจียซิ่ง
แถมยังสงสัยว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยทำเรื่องน่าตกใจขณะที่เฉินเจียซิ่งหมดสติหรือไม่
ในเมื่อเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ไปถึงทันเวลา ดังนั้นไม่น่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นใช่ไหม?
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้บาดแผลครั้งนี้ไม่ส่งผลต่อการใช้งานแล้วกันค่ะ รอลุ้นต่อไปแล้วกันนะเจียซิ่ง
ไหหม่า(海馬)