ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 554 โดนเตะ
ตอนที่ 554 โดนเตะ
“คุณจะยังกลับบ้านอยู่ไหม?” เฉินเจียเหอถาม
“กลับค่ะ หู่จือคิดถึงปู่ทวดและย่าทวดขนาดนี้ และพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันจะให้เขานอนค้างที่ชุมชนบ้านพักทหารหนึ่งคืน”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “อืม อย่างงั้นก็ไปกันเลย”
หลังจากเรียกหู่จือ เฉินเจียเหอก็ขี่มอเตอร์ไซค์พาหลินเซี่ยและหู่จือไปที่ชุมชนบ้านพักทหาร
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็มีเพียงเฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่งอยู่ที่บ้านเพียงสองคนเท่านั้น
สองพี่น้องนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา บนโต๊ะกาแฟมีคุกกี้ น้ำอัดลม ขนมปัง เมล็ดแตงโม และขนมมากมายวางอยู่ ชีวิตของพวกเขาสุขสบายมากจริง ๆ
เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเฉินเจียซิ่ง ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะไม่มีอะไรร้ายแรง
เมื่อเห็นพี่ชายคนโตและครอบครัวกลับมาที่บ้าน เฉินเจียซิ่งก็ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น
จากนั้นรีบหาขนมมาให้พี่สะใภ้และหู่จือ
หู่จือรับขนมด้วยความสุขพลางขอบคุณอารองและขอบคุณเขา จากนั้นแบ่งคุกกี้ให้หลินเซี่ย “แม่ครับ อันนี้ของแม่”
“ปู่กับย่ายังไม่กลับมาเหรอ?” เฉินเจียเหอมองน้องชายทั้งสองพร้อมถาม
“ยังเลย พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับมาเหมือนกัน”
เฉินเจียเหอหันมองไปทางห้องครัว “อารองกับอาสะใภ้รองก็ไม่อยู่เหมือนกันเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งตอบ “พวกเขาบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติห่าง ๆ และน่าจะกลับมาหลังมื้อเย็น”
ในเมื่อเฉินเจิ้งกั๋วและวังซูเฟินไม่อยู่บ้าน พวกเขาจึงสามารถพูดคุยกันได้สะดวกขึ้น
“เจ้ารอง ดูเหมือนว่านายจะสบายดีแล้วนี่?” เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เฉินเจียซิ่งเหลือบมองหลินเซี่ยอย่างไม่รู้ตัว ก่อนกะพริบตาเล็กน้อยแล้วแกล้งทตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ผมสบายดี แค่เป็นไข้น่ะ ตอนนี้สบายดีแล้ว”
เพื่อพิสูจน์ว่าตนสบายดี เฉินเจียซิ่งจึงเก็บถุงขนมบนโต๊ะแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ หู่จือ นั่งลงก่อนสิ ผมจะโทรสั่งข้าวจากร้านอาหารหน้าชุมชนบ้านพักทหาร ผมรู้จักเจ้าของร้านดี แค่โทรไปกริ๊งเดียว พนักงานก็จะรีบมาส่งอาหารทันที”
เฉินเจียซิ่งวางแผนจะใช้เงินจำนวนมากเลี้ยงอาหารอร่อย ๆ ให้กับพี่ชายเพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขาในวันนี้
เนื่องจากเขาเคยเป็นหนุ่มเสเพล ดังนั้นเขาจึงมีเบอร์ติดต่อเจ้าของธุรกิจอาหารเดลิเวอรี่ทุกร้านที่อยู่รอบ ๆ ชุมชนบ้านพักทหาร
สิ่งสำคัญที่สุดคือเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คุ้นเคยกับอาหารที่พวกเขาชอบกิน ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน พวกเขาจึงมักซื้ออาหารจากข้างนอกแล้วแกล้งว่าทำอาหารด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องสั่ง เรามาทำอาหารกินเองดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก ผมคิดว่าวันนี้น่าจะไม่มีใครกลับมากินข้าวเย็นแน่”
เฉินเจียซิ่งหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วโทรหาเจ้าของร้านอาหาร จากนั้นสั่งอาหารสองสามจาน
หลังจากสั่งอาหารแล้ว เฉินเจียซิ่งก็เตรียมชาและน้ำให้พวกเขาอย่างกระตือรือร้น
พูดได้ว่าเขาไม่หยุดนิ่งเลย
ไม่แม้แต่จะพูดคุยกับพวกเขา
ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวคนอื่นรู้ความผิดของตัวเอง เขาจึงทำตัวยุ่งเพื่อปกปิดมัน
หลินเซี่ยรอให้เขาต้มน้ำจนเสร็จแล้วยกน้ำชาออกมา เธอมองเขาแล้วพูดว่า “เจียซิ่ง วันนี้หงเสียมาหาฉัน หล่อนเป็นห่วงเพราะนายไม่ได้ไปทำงาน และยังฝากฉันบอกนายว่าพ่อแม่ของหล่อนไม่ต้องการเงินสินสอดเพิ่มจริง ๆ สิ่งที่หล่อนพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเรื่องตลกทั้งเพ ฉะนั้นอย่าเครียดเลย”
“จริงเหรอ?” เฉินเจียซิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าจะยืมเงินจากพี่ ตอนนี้ผมก็ไม่จำเป็นต้องยืมแล้ว”
เฉินเจียซิ่งรู้สึกละอายใจต่อหยางหงเสียมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินว่าพ่อตาแม่ยายของเขาไม่ต้องการเงินสินสอดเพิ่ม
ละอายใจกับความโง่เขลาของตนเอง
ตอนนี้เขาต้องทนทุกข์กับความผิดพลาดที่น่าอาย และหวังว่ามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าหลินเซี่ยจะรู้ความจริง แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
หู่จือนั่งอยู่กับเฉินเจียวั่งและกินขนมอย่างบ้าคลั่ง คุกกี้หนึ่งคำ น้ำอัดลมหนึ่งคำจนเต็มปาก
“หู่จือ อย่ากินเยอะ ลูกต้องกินข้าวอีกนะ”
“แม่ครับ ผมชอบคุกกี้อันนี้”
เฉินเจียซิ่งลูบหัวหลานชายด้วยความเอ็นดูพร้อมแสดงท่าทางตามใจอีกฝ่าย “เดี๋ยวอารองจะซื้อให้เอง อย่าลืมเอากลับไปด้วยล่ะ”
หู่จือรู้สึกภูมิใจกับความมีน้ำใจของอารองมาก
อาหารจากร้านอาหารถูกจัดส่งอย่างรวดเร็ว
เฉินเจียซิ่งเดินถือมันเข้ามาแล้ววางไว้บนโต๊ะอาหาร
“มาๆ อารองจะเอาขาไก่ให้หู่จือ”
เฉินเจียซิ่งมีน้ำใจมาก เขาผลักจานไก่ไปตรงหน้าหลินเซี่ย “พี่สะใภ้ก็กินด้วยกันสิ”
“ขอบใจนะ”
แม้เฉินเจียซิ่งจะแสดงออกอย่างกระตือรือร้น แต่หลินเซี่ยก็ยังมีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเจียซิ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ถึงพวกเขาจะพยายามไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ต่อหน้าเขา วันนี้อารมณ์ของเขาคงไม่พ้นสวิงขึ้น ๆ ลง ๆ
ไอ้เด็กคนนี้โง่มากเกินไป
โง่จนไม่มีขอบเขตใด ๆ เลย โชคดีที่เขาเกิดเป็นผู้ชาย ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงคงถูกขายให้คนอื่นไปนานแล้ว
“พี่ใหญ่ เอ่อ…” เฉินเจียซิ่งรู้สึกว่าหลินเซี่ยเย็นชากับตนมาก แต่ก็ไม่หัวเราะเยาะ เขาจึงไม่แน่ใจว่าเธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้หรือไม่
เขาทำได้เพียงมองเฉินเจียเหอเพื่อขอความช่วยเหลือและทดสอบความสนใจของเขา
เฉินเจียเหอเมินเขาและง่วนอยู่กับการตักอาหารให้ภรรยาและลูกชาย
“กินกันเถอะ”
หัวใจของเฉินเจียซิ่งเต็มไปด้วยความกังวลและรู้สึกผิดเกินกว่าจะมองหลินเซี่ย
ขณะที่ทุกคนใกล้อิ่มแล้ว เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ผู้เฒ่าเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับคุณย่าเฉิน เฉินเจิ้นเจียง และโจวลี่หรง
“คุณปู่ คุณย่า เพิ่งกลับมาถึงเหรอคะ?” หลินเซี่ยลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปทักทายอีกฝ่าย ก่อนถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เที่ยวสนุกไหมคะ?”
คุณย่าเฉินตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “สนุกมากเลยจ้ะ วันนี้พวกเราไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ มากมาย แถมยังได้ขึ้นไปบนหอคอยสันติภาพด้วย พวกเราถ่ายรูปไว้เยอะมาก มันน่าจะถูกส่งมาถึงภายในไม่กี่วันนี้”
“ย่าของฉันแล้วก็ทุกคนกลับบ้านหรือยังคะ?”
“กลับแล้ว” ผู้เฒ่าเฉินตอบ “เราส่งคุณย่าของเธอที่ประตูหน้าบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว”
ผู้เฒ่าเฉินฉีกยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวันนี้เหล่าผู้เฒ่ามีความสุขกับการไปเที่ยวมากแค่ไหน
ผู้ร่วมเดินทางคือสิ่งสำคัญมาก ถ้าพวกเขาออกไปเที่ยวกับคนหนุ่มสาวก็อาจจะไม่ได้สนุกและมีความสุขขนาดนี้
“ทุกคนกินข้าวหรือยังครับ?” เฉินเจียเหอถาม “เจียซิ่งสั่งอาหารจากร้านอาหารข้างนอกหมู่บ้าน แต่ถ้าทุกคนยังไม่ได้กิน ผมจะไปทำให้”
“พวกเรากินที่ร้านอาหารมาแล้ว และก็พาคุณปู่ไปดื่มชาที่ร้านน้ำชาอยู่พักหนึ่งก่อนกลับบ้านน่ะ”
เดิมทีเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงวางแผนจะไปรับประทานอาหารกับโจวเจิ้นกั๋วและภรรยาหลังเลิกงาน แต่ผู้เฒ่าเฉินโทรเรียกพวกเขากลับก่อน
พวกเขาตั้งใจที่จะกลับไปสั่งสอนเฉินเจียซิ่งพร้อมกัน
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงกลับบ้านด้วยความโมโหหลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเฉินเจียซิ่งให้พวกเขาฟัง
ในตอนนี้ใบหน้าของเฉินเจิ้นเจียงน่าเกลียดมาก ขณะที่สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่เฉินเจียซิ่ง
เมื่อเฉินเจียซิ่งถูกพ่อจ้องเขม็ง เขาก็หาข้ออ้างว่าต้องไปล้านจานในครัวก่อนที่จะส่งมันคืนร้านอาหาร
“หยุด” เฉินเจิ้นเจียงตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงเฉียบคม
เฉินเจียซิ่งตัวสั่นงันงก
หัวใจของเขาแทบกระดอนหลุดจากอก…
เมื่อมองตาผู้เป็นพ่อ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะถูกทุบตี
“อารองกับอาสะใภ้รองของพวกแกยังไม่กลับมาเหรอ?” เฉินเจิ้นเจียงถามเฉินเจียวั่ง
ก่อนที่เฉินเจิ้นเจียงจะปลดปล่อยความดิบเถื่อน เขาก็ยังไม่ลืมที่จะถามหาน้องชายและน้องสะใภ้แสนรักของเขา
เฉินเจียวั่งรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ยังไม่กลับมาครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฉินเจิ้นเจียงก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีก
เขาเดินเข้าไปหาลูกชายและเตะไปที่ก้นของเฉินเจียซิ่งโดยตรง
เมื่อเฉินเจียซิ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วถูกพ่อเตะอย่างแรงจึงล้มไปข้างหน้า แต่ด้วยความเฉื่อย เขาจึงพอจะทรงตัวไว้ได้
“พ่อ… แม่…”
“เรียกฉันทำไม?” เฉินเจิ้นเจียงเตะลูกชายอีกครั้ง “ไอ้ลูกสารเลว แกเคยมีสมองบ้างไหม? เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วใครใช้ให้แกเข้าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีก?”
เฉินเจียซิ่งอธิบายทั้งน้ำตา “พ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นหล่อนต่างหากที่คอยหลอกหลอนผม”
“หล่อนตามหลอกหลอนแกงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงทำตามที่มันสั่งล่ะ?”
เฉินเจิ้นเจียงมองลูกชายคนรองของเขาด้วยสีหน้าโมโหและทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมตนเองถึงให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ออกมา
เขาไม่เคยตั้งใจเรียนและชอบเปลี่ยนงานอยู่บ่อย ๆ
ในที่สุดเขากำลังจะแต่งงาน แต่ทั้งครอบครัวกลับตกอยู่ในความโกลาหล ไม่มีแม้แต่ความสงบสุข
เขาคิดว่าลูกชายคงได้บทเรียนแล้ว ในที่สุดก็ได้พบกับเด็กสาวที่ไร้เดียงสาและสามารถทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างดี ใครจะคิดว่าลูกชายของเขาจะโง่ขนาดนี้
ผู้เฒ่าเฉินเป่าเคราและมองหลานชายด้วยความโมโห “เจียซิ่ง แกกู่ไม่กลับแล้ว แกจะต้องเจ็บปวดอีกกี่ครั้งถึงจะได้บทเรียน?”
แม้ว่าผู้เฒ่าเฉินจะโมโห แต่เฉินเจิ้นเจียงลงโทษเฉินเจียซิ่งไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเฉินเจียซิ่งได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่สามารถทำร้ายหลานชายได้แม้จะโกรธมากแค่ไหนก็ตาม
“ปู่ พ่อ ผมผิดไปแล้ว”
เฉินเจียซิ่งก้มหน้ายอมรับความผิดพลาด ท่าทางดูน่าสงสารอย่างมาก น้ำเสียงของผู้เฒ่าเฉินจึงอ่อนลงเล็กน้อย
“เป็นอะไรมากไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แกนี่นะ พวกเราควรพูดยังไงกับแกดี? แกคิดดู…ถ้าโดนนังบ้านั่นทำร้ายจริง ๆ แกจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง?”
ชายชราเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
สำหรับชายหนุ่มแล้ว หากสิ่งที่บ่งบอกความเป็นชายถูกตัดออกไป ชีวิตของคนคนนั้นคงจบเห่ ไม่มีใครต้องการแต่งงานและอยากมีลูกด้วย บางทีคนคนนั้นอาจไม่กล้าใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้เลยก็ได้
เฉินเจียซิ่งมองดวงตาเศร้าโศกของชายชรา เขาก้มศีรษะลงยอมรับความผิดพลาดพร้อมแสดงสีหน้ารู้สึกผิด “ปู่ ย่า พ่อแม่ ผมผิดไปแล้ว ผมประมาทและเชื่อคนง่ายเกินไป ผมสัญญาว่าต่อจากนี้ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองครับ”
“หงเสียรู้เรื่องนี้ไหม?” ผู้เฒ่าเฉินมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจพร้อมถาม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีที่บ้านรองยังไม่รู้ ไม่งั้นชื่อเสียงเละเทะป่นปี้แน่เจียซิ่งเอ๊ย
ไหหม่า(海馬)