ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 555 เชื่อก็โง่แล้ว
ตอนที่ 555 เชื่อก็โง่แล้ว
สิ่งที่ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ กังวลมากที่สุดในตอนนี้ คือถ้าหยางหงเสียรู้เรื่องนี้เข้า หล่อนอาจเกิดความเข้าใจผิดต่อเฉินเจียซิ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อการแต่งงานของพวกเขา
ความจริงแล้วในเรื่องอุปนิสัยของลูกหลาน ผู้ใหญ่อย่างพวกเขารู้ดีที่สุดว่าอีกฝ่ายโง่จริง ๆ
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันเหยียบเรือสองแคม
เฉินเจียซิ่งพูดอย่างอ่อนแรง “วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ได้บอกเธอหรือยัง”·
หลินเซี่ยบอกว่า “เรายังไม่ได้พูดอะไร”
“ถ้างั้นหล่อนก็คงยังไม่รู้หรอก”
ผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองดูสมาชิกในครอบครัวแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับหงเสียในตอนนี้ เจียซิ่งเองก็กลับไปไตร่ตรองตัวเองให้ดี ถ้ายังทำตัวไม่รู้จักถูกผิดแบบนี้อยู่ก็อย่าแต่งงานเลย เดี๋ยวจะไปทำร้ายผู้หญิงดี ๆ คนอื่น”
“ปู่ครับ ผมรู้แล้วว่าผมผิด” ถึงจุดนี้ เฉินเจียซิงทำได้เพียงแค่ระงับความโกรธของผู้อาวุโส โดยยอมรับความผิดพลาดอย่างเชื่อฟัง
คุณย่าเฉินมองดูเขาและคร่ำครวญ
“โธ่ เด็กน้อยเอ๋ย เธอต้องผ่านอุปสรรคอีกเยอะแค่ไหนกว่าจะเติบโต ดูพี่ใหญ่กับน้องชายของเธอสิ ทำไมถึงไม่หัดเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตให้ดีแบบพวกเขาบ้าง”
เฉินเจียซิ่งก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “ผมจะเรียนรู้จากพวกเขาให้มากขึ้นครับ”
นอกจากนี้เขายังต้องการแต่งงานกับภรรยาที่ดีเหมือนพี่ชาย เขาถึงเลือกหยางหงเสีย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเช่นกันที่เสิ่นเสี่ยวเหมยจะยังตามรังควานเขาไม่เลิก
“เอาเถอะ หลังเธอแต่งงานแล้ว ก็ย้ายออกไปใช้ชีวิตร่วมกันแค่สองคนเถอะ เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตพวกเธอไม่ว่าจะดีหรือร้าย โตแล้วต้องหัดรับผิดชอบชีวิตตัวเอง”
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินพูดจบ เขาก็มองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เซี่ยเซี่ย ขอบคุณที่ให้เงินพวกเราติดตัวไปด้วยในวันนี้ เรามีช่วงเวลาที่ดีกันมาก ๆ เงินที่เธอมอบให้นอกจากจะใช้ไปกับการซื้อเครื่องดื่มและขนมแล้ว เรายังใช้บริการถ่ายรูปด้วย ไว้จะส่งรูปถ่ายไปให้เธอได้ดูนะ”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินเปลี่ยนมาคุยกับหลินเซี่ย เขาเปลี่ยนสีหน้าต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลังจากได้เห็นว่าอดีต ‘หลานสะใภ้’ อย่างเสิ่นเสี่ยวเหมยนั้นชั่วร้ายและมีความคิดบิดเบี้ยวแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งพอใจกับหลินเซี่ยมากขึ้น และรักเธอมากกว่าเดิม
“คุณปู่ ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันต้องการให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
เธอมีหน้าที่เก็บเงินเดือนของเฉินเจียเหอไว้ โดยปกติเธอไม่ได้ซื้ออะไรให้ผู้สูงอายุทั้งสองบ่อยนัก วันนี้ถือเป็นเรื่องหายากสำหรับพวกเขาที่จะออกไปเที่ยวเล่นกันเป็นกลุ่ม ในฐานะคนรุ่นหลัง เธอแค่ให้เงินค่าขนมพวกเขาติดตัวไว้ เพื่อให้พวกเขาใช้จ่ายและได้อย่างสบายใจ ถือเป็นการกตัญญูกตเวทีอย่างหนึ่ง
“เสื้อผ้าแฟชั่นของย่าเธอใส่แล้วสวย เหมาะกับการถ่ายรูปมาก เธอน่าจะเป็นคนที่ถ่ายรูปเยอะที่สุดแล้ว” คุณย่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
สมแล้วที่ลูกสาวของนางกลายเป็นดาราดัง คุณแม่เซี่ยถ่ายรูปเก่งมาก หนำซ้ำยังรู้วิธีโพสท่า ไม่เหมือนพวกเธอหลายคนคนที่เอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนเสาไม้
เช่นเดียวกับยายของเฉินเจียเหอ นางออกปากบอกว่าไม่ต้องการถ่ายภาพหมู่ อ้างว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะถ่ายรูปเพราะไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แต่ทุกคนกลับบังคับให้นางถ่ายรูปหมู่
หู่จือกอดขาของผู้เฒ่าเฉิน เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “คุณปู่ทวดฮะ คืนนี้ผมอยากนอนกับคุณปู่ทวด”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเข้าไปนอนบนห้องกับปู่ทวดกันเถอะ”
ชายชราเดินเล่นจนเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงขอตัวพาหู่จือเข้าไปในห้อง
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็วางแผนที่จะกลับไปเช่นกัน
ความโกรธของเฉินเจิ้นเจียงยังไม่ลดลง เขายังคงสอนบทเรียนให้เฉินเจียซิ่งต่อไป
“ฉันคิดว่าแกยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานจริง ๆ จัง ๆ หรอก รอจนกว่าจะแก้ปัญหาคาราคาซังให้จบสิ้นก่อนแล้วค่อยแต่ง อย่าไปทำร้ายผู้หญิงซื่อสัตย์คนนั้นเลย”
เมื่อเฉินเจิ้นเจียงพูดแบบนี้ เฉินเจียซิ่งก็เริ่มกังวล “พ่อ ทำแบบนั้นไม่ได้ งานแต่งของผมกับหงเสียใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ถ้าจู่ ๆ มาเลื่อนการแต่งงานออกไปอย่างไม่มีกำหนดจะทำยังไง? รูปพรีเวดดิ้งก็ถ่ายแล้ว ถ้าไม่แต่งผมจะอธิบายให้หงเสียฟังยังไง แล้วหงเสียจะไปอธิบายให้ญาติและเพื่อน ๆ ของหล่อนฟังยังไง?“
“บอกความจริงไง” เฉินเจิ้นเจียงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งครัด
เมื่อเห็นว่าพ่อของเขาโกรธมาก เฉินเจียซิ่งทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากโจวลี่หรงเท่านั้น “แม่ ผมจริงจังกับหงเสีย สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ เสิ่นเสี่ยวเหมยมาตามรบกวนให้ผมไปกินข้าวด้วย ผมก็ยอมตกลงไปกินข้าวกับหล่อนเพื่อถือเป็นงานเลี้ยงเลิกรา ไม่งั้นหล่อนจะคอยรบกวนไม่ยอมจบ ทำลายชีวิตคู่ของผม ผมไปก็เพราะอยากตัดความรำคาญ ไม่ได้คาดหวังว่าหล่อนจะทำอะไรมิดีมิร้าย ผมเป็นเหยื่อ ทำไมพวกคุณถึงเอาแต่โทษผมล่ะ?”
“นายก็รู้ชัดเจนว่าแม่นั่นมีปัญหาทางจิต ความประพฤติสุดโต่ง แต่ยังกล้าไปกินดื่มกับหล่อนเนี่ยนะ? นายยังมีสมองอยู่หรือเปล่า?”
หลังจากถูกพี่ใหญ่และน้องสามตำหนิในประโยคเดียวกัน เฉินเจียซิ่งก็สารภาพว่า “ใช่ สมองผมน่าจะมีปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ”
เฉินเจียเหอกลัวว่าการแต่งงานของเฉินเจียซิ่งจะถูกทำลาย ดังนั้นเขาจึงเข้ามาช่วยสงบศึก “พ่อ เจียซิ่งโดนเสิ่นเสี่ยวเหมยหลอก ตำรวจเข้ามาจัดการในส่วนนี้แล้ว อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของเขาเลย หยางหงเสียเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ อย่าทำให้เขาต้องพลาดคนดี ๆ ไปเลย”
“ก็เพราะหล่อนเป็นเด็กดีนี่แหละ พ่อถึงไม่อยากให้หงเสียถูกไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้ทำให้เสียโอกาสในชีวิต” เฉินเจิ้นเจียงกลัวจริง ๆ ว่าเฉินเจียซิ่งจะต้องแต่งงานเป็นครั้งที่สาม
โจวลี่หรงบอกว่า
“เหล่าเฉิน เราหยุดเรื่องนี้กันแค่นี้ดีกว่า เจียซิ่งก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน เขาได้เรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้แล้ว”
เฉินเจียซิ่งรีบแสดงจุดยืนของเขาเช่นกัน “ใช่ ผมได้บทเรียนอย่างมากมายเลยล่ะ จากนี้ผมจะระวังตัวมากขึ้นในอนาคต”
“เชื่อคำพูดของแกก็โง่แล้ว”
ใบหน้าของเฉินเจิ้นเจียงเข้มคล้ำ จ้องมองไปที่เฉินเจียซิ่งเขม็ง แล้วกลับเข้าห้องไป
โจวลี่หรงวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อต้มน้ำ
เหลือเพียงพวกเขาสามพี่น้องและหลินเซี่ยอยู่ในห้องนั่งเล่น
เฉินเจียซิ่งมองไปที่เฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่งด้วยความโกรธทันที
“พวกนายไม่ได้สัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับหรอกเหรอ? ทำไมถึงเอาไปเล่าให้ปู่กับพ่อฟังล่ะ? จงใจให้ฉันโดนฆ่าหรือไง”
“ฉันไม่ได้พูด”
เฉินเจียเหอเป็นคนตรงไปตรงมา เขาไม่เคยโกหก
ถ้าเขาบอกว่าไม่พูด ก็แปลว่าเขาไม่พูดจริง ๆ
เฉินเจียซิ่งเลื่อนสายตาไปมองใบหน้าของเฉินเจียวั่งอีกครั้ง
เฉินเจียวั่งเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มองผมทำไม? ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ฉันออกไปเรียนตั้งแต่เช้า พวกเขายังไม่ตื่นกันสักคน จากนั้นฉันก็อยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปพูดไร้สาระล่ะ”
“งั้นใครเป็นคนบอกความลับ?”
การแสดงออกของเฉินเจียซิ่งเปลี่ยนไป พอล็อกเป้าหมายได้แล้วก็อยากคิดบัญชีทันที
“ต้องเป็นเจ้าคนปากพล่อยหลินจินซานนั่นแน่ ๆ”
น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งไม่พอใจ
หลินเซี่ยพูดด้วยเสียงทุ้ม “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะปิดบังจากพ่อแม่ไปได้ถึงไหน? พวกเราอุตส่าห์ไม่ไปบอกหยางหงเสียด้วยตัวเองก็ดีแค่ไหนแล้ว พี่ชายฉันต้องอดหลับอดนอนก็เพราะออกตามหานายเมื่อคืนนี้ ถ้านายกล้าไปรบกวนพี่ชายฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปบอกความจริงกับหยางหงเสียด้วยตัวเอง”
คำพูดของหลินเซี่ยข่มขู่เฉินเจียซิ่งได้สำเร็จ
“พี่สะใภ้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิจินซาน พี่เองก็คงเห็นแล้วนี่ พอผู้ใหญ่ในครอบครัวรู้เรื่องแล้วเห็นหน้าผมเข้า ทุกคนก็รุมด่ารุมตี ผมทนไม่ไหวจริง ๆ” แรงเตะของพ่อเขาช่างหนักหน่วงเหลือเกิน จนตอนนี้เขารู้สึกปวดไปทั่วทั้งร่างกาย
“ทีอย่างนี้ทำเป็นอับอาย รับไม่ได้เมื่อถูกพูดถึงการกระทำของตัวเอง? แค่ระวังตัวยังทำไม่ได้ หัดใช้สมองวิเคราะห์ซะบ้าง คิดจะใช้ชีวิตโดยที่พี่น้องต้องมาตามล้างตามเช็ดให้ไปถึงไหน?”
หลินเซี่ยยิ่งโกรธเฉินเจียซิ่งเข้าไปใหญ่ เขารู้แก่ใจแท้ ๆ ว่าตัวเองผิด แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา
เขามองดูทุกคนแล้วขอร้องว่า “เอาน่า เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ อย่าบอกคนนอกอีกเลย ไม่งั้นฉันคงอับอายจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จริง ๆ”
“ทำไมถึงเล่าให้คนนอกฟังไม่ได้?” พวกเขาเพิ่งพูดคุยกันยังไม่ทันขาดคำ จู่ ๆ เสียงของวังซูเฟินก็แทรกเข้ามา
เมื่อได้ยินเสียงของหล่อน การแสดงออกของหลายคนก็เปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน
โดยเฉพาะเฉินเจียซิ่งที่รู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีด
คนที่ไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมากที่สุดก็คืออาสะใภ้รองนี่แหละ
ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะหัวเราะเยาะเขาจนตาย
“พวกเธอทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลยเหรอ?” เมื่อวังซูเฟินเดินเข้ามา เห็นพวกเขาสามพี่น้องและหลินเซี่ย จึงสังเกตสีหน้าของพวกเขา “กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่? หน้าตาแต่ละคนดูแย่มาก ทะเลาะกันรึ?”
เฉินเจียวั่งกำลังจะบอกว่าที่สีหน้าไม่ดีกันก็เพราะเห็นหน้าคุณไงล่ะ แต่เมื่อมองหน้าเฉินเจียเหอ เฉินเจียวั่งก็กลั้นคำพูดที่เกือบจะหลุดออกจากริมฝีปากไว้
“อารอง อาสะใภ้รอง กลับมากันแล้วเหรอ?” เฉินเจียเหอทักทายพวกเขา
“กลับมาแล้ว” เฉินเจิ้นกั๋วถือของมากมายกลับมาจากข้างนอก บอกว่าพวกมันเป็นของขวัญจากญาติ ๆ มีทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและของใช้ทั่วไป
“ดึกมากแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน”
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกำลังจะออกไป เฉินเจียซิ่งก็บอกว่าเขาจะออกไปส่งพวกเขา
เฉินเจียวั่งหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและขึ้นไปชั้นบน
“เจียวั่ง คุณเซี่ยอวี่กลับมาตั้งหลายวันแล้ว แฟนเธอก็คงกลับมาเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” วังซูเฟินมองตามสองขาที่แทบจะพันกันของเฉินเจียวั่ง พูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเธอไม่พาผู้หญิงคนนั้นกลับมา ฉันจะถือเสียว่าเธอโกหก แล้วจะจัดการจับคู่เธอกับลูกสาวลูกพี่ลูกน้องของฉันซะ หล่อนไม่ได้บกพร่องอะไร แค่หูดับไปหนึ่งข้าง แต่บ้านหล่อนรวยมากเลยนะ จากนี้ไปเธอไม่จำเป็นต้องทำงานแล้วก็ได้ อยู่อย่างสบายก็พอ เชื่อเลยว่าชีวิตนี้เธอคงไม่มีวันหาคู่ชีวิตที่ดีขนาดนั้นได้หรอก”
ได้แต่งเข้าบ้านหลังนั่นก็บุญโขเท่าไร…
ประโยคท้ายทำให้เฉินเจียวั่งโกรธขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนโดนดูถูก
เขากัดฟันแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ผมชอบทำงานหนัก ไม่ชอบเกาะผู้หญิงกิน”
“ถ้าเธอมีแฟนแล้วฉันก็คงไม่พยายามแนะนำหรอก แต่ถ้ายังไม่มี ฉันว่าพวกเธอสองคนติดต่อกันไว้ก็ไม่เสียหาย ยังไงซะเงื่อนไขของอีกฝ่ายก็ดีจนปฏิเสธไม่ได้”
เฉินเจียวั่งปิดหูแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป ราวกับพยายามหลีกหนีสุดชีวิต
หลินเซี่ยมองตามแผ่นหลังของเฉินเจียวั่ง รู้สึกเห็นใจเขา
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บางทีแรงกดดันจากวังซูเฟินอาจมีบทบาทในการเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟก็ได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เกือบซวยแล้วไง ดีที่อาสะใภ้รองไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ไม่งั้นก็เตรียมขุดหลุมฝังกันได้เลย
ไหหม่า(海馬)