ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 558 คุณจะมาเป็นอาสะใภ้สามของผมเหรอ?
ตอนที่ 558 คุณจะมาเป็นอาสะใภ้สามของผมเหรอ?
เฉินเจียซิ่งเข้าไปในบ้าน มอบดอกไม้ที่เขาเตรียมไว้ให้กับหยางหงเสีย
ในยุคนี้ ขั้นตอนการรับตัวเจ้าสาวไม่ได้ซับซ้อนและยุ่งยากมากอีกต่อไป หยางหงเสียไม่มีเพื่อนเจ้าสาวหรืออะไรทำนองนั้น หล่อนแค่นั่งอยู่เฉย ๆ รอเฉินเจียซิ่งมารับตัว แม้แต่ช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือของเฉินเจียซิ่งก็เพิ่งซื้อหลังจากที่หลินเซี่ยเตือนเขา
เฉินเจียซิ่งคำนับต่อหน้าป้ายชื่อบรรพบุรุษตระกูลหยาง กล่าวทักทายพ่อตาและแม่ยายของเขา
ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว เขาจึงพาหยางหงเสียออกไปข้างนอก
หลินเซี่ยกลัวว่าหยางหงเสียจะทำชุดแต่งงานสกปรกเมื่อเดินออกจากตรอก จึงขอให้เฉินเจียซิ่งอุ้มหล่อน หรือไม่ก็แบกขึ้นหลัง
“จะให้เจ้าสาวเดินเท้าออกไปด้วยตัวเองได้ยังไงกัน?”
“ได้ พี่สะใภ้ ผมจะอุ้มหล่อนออกไป”
เฉินเจียซิ่งอุ้มหยางหงเสียออกไปในท่าเจ้าหญิง ขณะเดินผ่านตรอก หลินจินซานโปรยกลีบดอกไม้หลากสีจากเหนือศีรษะอย่างกระตือรือร้น แม้แต่เพื่อนบ้านที่ปกติไม่ชอบออกมาสุงสิงกับใครยังแย้มหน้าออกมาดูความแปลกใหม่
เฉินเจียวั่งและหลินจินซานช่วยกันจัดระเบียบญาติ ๆ และเพื่อนฝูงให้ขึ้นรถคันอื่น
ผลก็คือ เพื่อนบ้านหลายคนที่กะจะมารับชมความสนุกเฉย ๆ ต่างแย่งกันขึ้นรถ วันนี้ตรงวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี ทำให้กระเตงลูกหลานกันมามากมาย หลังจากผู้ใหญ่ขึ้นรถกันไปแล้ว ปรากฏว่ารถห้าคันยังไม่เพียงพอจะบรรทุกคน หลินจินซานจึงต้องโบกแท็กซี่เพิ่มอีกสองสามคันเพื่อไปส่งญาติ ๆ เจ้าสาว
เฉินเจียเหอกำลังรอต้อนรับแขกอยู่ที่โรงแรม เมื่อเห็นว่าภรรยาของเขามาถึง ก็เดินเข้ามาหาพลางหยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋า แกะกระดาษห่อขนมออก แล้วยัดเข้าไปในปากให้เธอ
“เหนื่อยมากไหม?”
“ไม่เหนื่อยค่ะ”
“นี่คือแขกของเราทั้งหมดเลยเหรอ?” ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน เฉินเจียเหอมองดูขบวนผู้คนที่ทยอยเดินเข้ามาแล้วถามหลินเซี่ย
เขากังวลเล็กน้อยว่าในงานเลี้ยงอาจจะมีที่นั่งรองรับพวกเขาไม่เพียงพอ
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ใช่ค่ะ หงเสียเป็นที่รักของทุกคน ญาติและเพื่อน ๆ ต่างมาแสดงความยินดีกับหล่อน จริง ๆ มีคนมากกว่านี้อีก แต่หอบหิ้วกันมาไม่หมด คุณไปจัดการนับจำนวนแล้วจองโต๊ะเพิ่มเถอะ บางทีเราอาจจะต้องขยายงานเลี้ยง”
ในฐานะพี่ชายคนโต เฉินเจียเหอเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่จัดงานในวันนี้ เขาขอให้พ่อตาของเฉินเจียซิ่งช่วยนับจำนวนคนอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งไปเจรจากับเจ้าหน้าโรงแรมเพื่อเพิ่มโต๊ะ
เดิมทีพวกเขาจองโต๊ะเพิ่มอีกสองโต๊ะไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน แต่ตอนนี้เมื่อดูจำนวนคนแล้ว พวกเขาอาจต้องเพิ่มอีกสองโต๊ะ
ร้านอาหารบอกว่าอาหารอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับแขก จึงจัดให้เด็ก ๆ นั่งตรงโต๊ะเสริม
ตระกูลเฉินเป็นเจ้าภาพที่ดี ไม่ยอมให้การรับรองแขกขาดตกบกพร่อง
เด็กที่อายุน้อยหน่อยสามารถนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับผู้ใหญ่ได้ แต่เด็กที่โตกว่านั้นต้องแยกเก้าอี้คนละตัว
หลังจากนับจำนวนคน ทำให้เพิ่มอีกแค่สองโต๊ะเท่านั้น
หู่จือสวมชุดสูทตัวเล็ก ผูกหูกระต่าย กำลังเดินเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฝูงชน
พยานของเฉินเจียซิ่งในวันนี้คือเซี่ยเหลย
เขาได้รับเชิญเป็นพิเศษจากผู้เฒ่าเฉิน
เดิมทีเซี่ยเหลยต้องการปฏิเสธ แต่ผู้เฒ่าเฉินบอกว่าการที่เซี่ยเหลยยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ นับว่าเหมาะสมที่สุดในการเป็นสักขีพยาน เพราะเขาเป็นวีรบุรุษที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด
เซี่ยเหลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับงานนี้ เขาสวมชุดทูนิค ขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ และดำเนินพิธีแต่งงานให้พวกเขา
ทางโรงแรมก็ให้บริการดีมากเช่นเดียวกัน หลังจากได้รับเงินพิเศษ อาหารในงานเลี้ยงก็ถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว พอมีโต๊ะเสริมเพิ่มมาอีกสองทำให้งานยิ่งโอ่อ่า
หลังจากเสร็จพิธี หยางหงเสียเปลี่ยนไปสวมชุดจีนสีแดง หลินเซี่ยแต่งหน้าให้หล่อนใหม่ จากนั้นเฉินเจียซิ่งก็พาหยางหงเสียไปดื่มอวยพร
งานแต่งงานของเฉินเจียซิ่งเดิมทีตั้งใจจะจัดเป็นงานเลี้ยงอาหารแบบเรียบง่าย ไม่คาดคิดว่าชั่วพริบตามันจะกลายเป็นงานที่คึกคักที่สุดในโรงแรม แขกจากทางหยางหงเสียมีจำนวนมากเกินไป หนำซ้ำทุกคนยังส่งเสียงเอะอะโวยวายเหมือนกับวันปีใหม่
เฉินเจียวั่งนั่งกับเจียงอวี่เฟย แม้ว่าวันนี้เขาจะพูดน้อยมาก แต่เขาก็จัดแจงรินเครื่องดื่มให้หล่อนบ่อย ๆ รวมถึงตักอาหารให้อย่างระมัดระวัง
หลังจากที่พี่ชายคนรองและพี่สะใภ้รองดื่มอวยพรกันเสร็จแล้ว เฉินเจียวั่งก็ขยับไปกระซิบกับเจียงอวี่เฟยว่า “ตามฉันไปทักทายปู่กับย่ากันเถอะ”
เจียงอวี่เฟยเหลือบมองผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหลัก จู่ ๆ ก็เกิดความกังวลขึ้นมา “หืม? ถ้าฉันไปแล้วควรพูดอะไรดี?”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่ตามฉันมาก็พอ”
“โอ้” เฉินเจียวั่งยืนขึ้นและเดินนำไปข้างหน้าก่อน แต่เจียงอวี่เฟยกลับจับแขนเขาไว้
เฉินเจียวั่งมองหล่อนอย่างสับสน “มีอะไรหรือเปล่า?”
เจียงอวี่เฟยแสร้งทำเป็นเอียงอาย เตือนเบา ๆ “คู่รักทุกคู่ต้องจับมือกัน”
เขาเดินเร็วเกินไป หล่อนเดินตามไม่ทัน
เฉินเจียวั่ง “???”
เขาลดสายตาลง จับจ้องไปที่มือขาวเนียนของเจียงอวี่เฟยที่กำลังคว้าแขนเขาไว้
ใบหน้าที่เย็นชาของเขาถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มทันที
จับมือ…
จับมือกันในที่สาธารณะ…
เจียงอวี่เฟยถอนหายใจ ลดมือลงพลางมองดูเขาแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันตามนายไปก็ได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่เชื่อในความสัมพันธ์ระหว่างเรา ก็อย่ามาตำหนิฉันที่แสดงละครได้ไม่ดี”
เมื่อเฉินเจียวั่งได้ยินแบบนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปอย่างยากลำบากคว้าข้อมือของเจียงอวี่เฟยไว้
ทันทีที่ผิวสัมผัสกัน ร่างกายของพวกเขาก็แข็งทื่อพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
รอยแดงเรื่อเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเจียงอวี่เฟย หล่อนก้มศีรษะลง ระงับหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตัวเอง บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์
แต่การจับมือของเฉินเจียวั่งนั้นเป็นแค่ความจำเป็นสำหรับเขา
“ไปกันเถอะ” เฉินเจียวั่งจับข้อมือของหล่อนด้วยท่าทางราวกับจะตรวจชีพจร ไม่กล้ามองหน้าหล่อนด้วยซ้ำขณะเดินตรงไปข้างหน้า
ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ กำลังคุยอยู่กับญาติผู้ใหญ่จากทางฝั่งหยางหงเสีย วังซูเฟิน เฉินเจิ้นกั๋ว และคนอื่น ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ เฉินเจียวั่งกึ่งดึงกึ่งลากเจียงอวี่เฟยด้วยท่าทางที่ผิดปกติวิสัย จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะผู้ใหญ่ ทำให้ดึงดูดความสนใจของครอบครัวทันที
เฉินเจียวั่งมองไปที่ชายชราที่โต๊ะหลัก จากนั้นก็แนะนำด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมาก “คุณปู่ คุณย่าครับ ผมขอแนะนำให้พวกคุณรู้จักอย่างเป็นทางการ นี่เจียงอวี่เฟย แฟนผมเอง”
“สวัสดีค่ะคุณปู่ สวัสดีค่ะคุณย่า”
ตระกูลเฉินไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเจียงอวี่เฟย
นอกจากนี้หลินเซี่ยยังเคยพาหล่อนมารู้จักพวกเขาแบบผ่านตามาก่อน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเฉินเจียวั่งพาเจียงอวี่เฟยมาแนะนำ จึงไม่มีใครแปลกใจเลย มีเพียงความยินดีเท่านั้น “อวี่เฟยนั่นเอง ดี ดีจริง ๆ”
ใบหน้าของคุณย่าเฉินเต็มไปด้วยความมีเมตตา “อวี่เฟย เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ เราเคยเจอเธอมาหลายครั้งแล้ว”
“อาสะใภ้รอง นี่แฟนผมเอง เห็นหรือยังว่าผมไม่ได้โกหกคุณ?” เฉินเจียวั่งมองไปที่วังซูเฟินซึ่งกำลังมองมาจากโต๊ะถัดไป แล้วเลิกคิ้วเพื่อแนะนำหล่อน
วังซูเฟินมองไปที่หญิงสาวซึ่งทั้งโดดเด่น สะสวย และสดใสตรงหน้า จากนั้นมองไปที่ใบหน้าแข็งกระด้างของเฉินเจียวั่ง การแสดงออกของหล่อนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่เชื่อ
“เธอชื่ออวี่เฟยใช่ไหม?” วังซูเฟินทักทายด้วยรอยยิ้มจอมปลอม “เจียวั่งไม่ค่อยเป็นมิตร สุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ในอนาคตเธอต้องอดทนกับเขาหน่อยนะ”
เจียงอวี่เฟยเผชิญหน้ากับรอยยิ้มร้าย ๆ ของวังซูเฟินอย่างไม่เกรงกลัว ตอบกลับอย่างเรียบง่ายว่า “อารมณ์ของเขาจะไม่เป็นมิตรก็เฉพาะกับคนที่ประสงค์ร้ายกับเขาเท่านั้น ตอนอยู่ต่อหน้าฉัน เขาแสนจะอ่อนโยนและมีน้ำใจ ไม่มีอารมณ์รุนแรงอะไรแบบนั้นเลย ส่วนเรื่องสุขภาพของเขา… ฉันว่าเขาก็ปกติดีนี่คะ”
เจียงอวี่เฟยพูดจาฉะฉานชัดเจนมากจนวังซูเฟินรู้สึกอึดอัดกับคำพูดของอีกฝ่าย คันปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างมากกว่านี้ แต่เฉินเจิ้นกั๋วกลับปรามไว้ “นั่งอยู่เฉย ๆ เถอะน่า เรื่องส่วนตัวของเขาเกี่ยวอะไรกับคุณ?”
พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเขายังไม่ทันจะได้พูดคุยกับว่าที่ลูกสะใภ้เลย หล่อนมีสิทธิ์อะไรไปซักไซ้ไล่เรียง
เขาทุกคนสามารถบอกได้เลยว่า คนที่เฉินเจียวั่งกำลังคบหาอยู่นั้นดีกว่าลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของวังซูเฟินที่กล่าวถึงบ่อยครั้งเป็นร้อยเท่า
หล่อนสวยกว่าแฟนของลูกชายบ้านไหน ๆ ที่เคยพบเห็น ภรรยาของเขาจึงมีนิสัยเดิมกลับมา นั่นคืออิจฉา!
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงกำลังรับรองแขก เมื่อพวกเขาเห็นเฉินเจียวั่งและเจียงอวี่เฟยกำลังพูดคุยอยู่กับวังซูเฟินและคนอื่น ๆ พวกเขาก็ขอตัวจากแขกและรีบไปช่วยเหลือเด็ก ๆ
“พ่อ แม่ นี่อวี่เฟยครับ”
เจียงอวี่เฟยเรียกพวกเขาว่าคุณลุงและคุณป้า
“สวัสดี อวี่เฟย”
ดวงตาของเฉินเจิ้นเจียงแสดงความอ่อนโยนที่หาได้ยาก เมื่อเขาเห็นว่าลูกชายคนที่สามพาแฟนของเขามาด้วย
พวกเขาดูประหลาดใจเหมือนกัน
เจ้าลูกชายคนนี้ลาพักการเรียนมานานครึ่งปีแล้ว มีนิสัยจืดชืด ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากนัก ทำไมเขาถึงได้เจอแฟนเร็วขนาดนี้ล่ะ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาคิดว่าเจียงอวี่เฟยและหลินเซี่ยต่างเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเฉินเจียวั่ง ก็พบว่ามันสมเหตุสมผลอยู่
เป็นเรื่องยากที่เด็กสาววัยรุ่นอย่างเจียงอวี่เฟยจะไม่สนใจสภาพร่างกายของลูกชายคนที่สามของเขา แถม ‘โรคประจำตัว’ ของเขาก็ดูไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนแต่อย่างใด พวกเขาจึงประทับใจมาก สายตาที่มองเจียงอวี่เฟยไม่เพียงแสดงความพึงพอใจเท่านั้น แต่ยังแสดงความชื่นชมอีกด้วย
“อวี่เฟย คราวหลังไปกินข้าวเย็นที่บ้านเราสักวันนะ จะได้มาพูดคุยกันดี ๆ”
“ได้ค่ะ คุณป้าโจว”
เฉินเจียวั่งมองดูหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขาซึ่งเผยรอยยิ้มสดใสและจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ในขณะนี้ เขาก็เกิดภาพลวงตาขึ้นมาว่าหล่อนเป็นแฟนของเขาจริง ๆ
แต่อย่างที่อาสะใภ้รองบอก เขามีนิสัยไม่เป็นมิตร แถมสุขภาพร่างกายยังไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้หล่อนกลายเป็นดาราผู้เปล่งประกายแล้ว คนอย่างเขาจะคู่ควรกับหล่อนได้อย่างไร?
“เจียวั่ง เอาแต่ยืนเหม่ออยู่ได้? พาอวี่เฟยไปนั่งกินข้าวซะ ลูกก็เห็นนี่ว่าอาหารทุกจานยกมาเสิร์ฟทุกอย่างแล้ว”
“ครับ”
เฉินเจียวั่งยังคงจับข้อมือของเจียงอวี่เฟย และเดินกลับสู่ตำแหน่งที่นั่งเดิมของเขาด้วยท่าทางแข็งทื่อ พอพ้นสายตาผู้ใหญ่ก็ปล่อยมือจากหล่อนอย่างรวดเร็ว
เขาเขินอายเล็กน้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับเจียงอวี่เฟย จึงเสมองไปทางเจ้าสาวและเจ้าบ่าวที่กำลังให้ความบันเทิงแก่ญาติและเพื่อนฝูง
“เฉินเจียวั่ง นายใช้งานฉันเสร็จแล้วก็คิดจะสลัดทิ้งเลยหรือไง?” เจียงอวี่เฟยเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“เบา ๆ สิ” เฉินเจียวั่งเหลือบมองเพื่อนร่วมงานของเฉินเจียซิ่งที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกันอย่างระมัดระวัง และกระซิบว่า “เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”
ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาแค่เล่นละครตบตา เขาคงอับอายจนตาย
สิ่งสำคัญคือเขาจะถูกอาสะใภ้รองหัวเราะเยาะ และเขาก็จะโดนจับคู่อีกครั้ง
จู่ ๆ เจียงอวี่เฟยก็แสร้งทำทีเป็นหญิงสาวเอาแต่ใจ “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรเอาใจใส่ฉันมากกว่านี้ ไม่งั้นฉันจะจากไปจริง ๆ”
เฉินเจียวั่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขยับเก้าอี้ไปทางเจียงอวี่เฟย แล้วคอยตักอาหารให้หล่อนอย่างรอบคอบ
หู่จือวิ่งตรงมาหาด้วยเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหนัก ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วถามเจียงอวี่เฟยว่า “น้าอวี่เฟย คุณจะมาเป็นอาสะใภ้สามของผมเหรอ?”
“หา?” เจียงอวี่เฟยไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยจะถามคำถามที่ตรงไปตรงมาแบบนี้
หู่จือตอบว่า
“ผมได้ยินมาจากปู่ทวดว่า ต่อจากนี้ไปคุณจะกลายเป็นอาสะใภ้สามของผม หมายความว่าคุณจะแต่งงานกับอาสามของผมใช่ไหม?”
เจียงอวี่เฟยคลี่ยิ้ม มองไปที่เฉินเจียวั่ง “หู่จือ เธอคงต้องถามอาสามของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้เองแล้วแหละ ว่าเขาจะเต็มใจจะแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”
เฉินเจียวั่ง “!!!”
หู่จือจึงมองไปที่เฉินเจียวั่ง และถามด้วยสีหน้าจริงจัง “อาสาม อายินดีจะแต่งงานกับน้าอวี่เฟยของผมไหม?”
ตอนที่เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียเข้าพิธีแต่งงานกันบนเวทีเมื่อสักครู่นี้ คุณตาของเขาซึ่งทำหน้าที่เป็นพยาน ได้ถามเฉินเจียซิ่งด้วยประโยคนี้เหมือนกัน
หู่จือแอบจดจำมาอีกที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อวี่เฟยนี่มวยข้ามรุ่นแต่ถูกคู่กับอาสะใภ้รองแล้ว ตอบกลับแบบผู้ดีแต่ถอนหงอกยัยป้าหลุดไปหลายเส้น
หู่จือทำดีมากค่ะ
ไหหม่า(海馬)