ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 559 พวกที่คบโดยไม่หวังแต่งคือพวกเอาแต่ได้
ตอนที่ 559 พวกที่คบโดยไม่หวังแต่งคือพวกเอาแต่ได้
เฉินเจียวั่งเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของหู่จือ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของเด็กชายคนนี้มีแรงกดดันมหาศาล
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่างบนเตาไฟ
เขาแตะปลายจมูก กระแอมไอเล็กน้อย พยายามจะหลีกเลี่ยงไปทางอื่น “หู่จือ เรายังไม่ได้วางแผนไปถึงจุดนั้น”
หู่จือไม่รู้ว่าจุดนั้นคือจุดไหน เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองไปที่เฉินเจียวั่ง จากนั้นจึงมองไปที่เจียงอวี่เฟยซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง ถามอย่างสงสัยต่อไป “งั้นน้าอวี่เฟยไม่ใช่แฟนของอาหรอกเหรอ? ตารองบอกว่า ใครก็ตามที่คบหากับแฟนโดยไม่วางแผนเรื่องการแต่งงานคือพวกที่เอาแต่ได้”
เฉินเจียวั่ง “!!!”
หู่จือไม่ได้ให้โอกาสเขาโต้ตอบคำพูดของตัวเอง ยังคงมองหน้าอย่างแน่วแน่และยิงคำถามต่อ “อาสาม อากำลังทำตัวเป็นพวกที่เอาแต่ได้อยู่หรือเปล่า?”
แขกที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันต่างพากันหัวเราะออกมา หลินจินซานและคนอื่น ๆ ก็มาดูความสนุกสนานเช่นกัน
“หู่จือเก่งมาก หลานชายฉันนี่ช่างพูดจริงเชียว”
เฉินเจียวั่งเหลือบมองเซี่ยไห่ที่อยู่ไม่ไกล
เขาเป็นผู้ใหญ่แท้ ๆ ดันไปปลูกฝังเรื่องแก่แดดให้หลานของตัวเองเสียอย่างนั้น
เจียงอวี่เฟยไม่ได้แสดงท่าทางเขินอายเลย หล่อนจับจ้องไปที่เฉินเจียวั่งเช่นกัน เพราะอยากรู้ว่าจะเขาแก้ไขปัญหาชวนลำบากใจของหู่จืออย่างไร
เฉินเจียวั่งหยิบลูกอมแต่งงานชิ้นหนึ่งมาจากบนโต๊ะ ลอกกระดาษห่อขนมออกแล้วยัดเข้าไปในปากของหู่จื่อ หวังปิดปากของเขาด้วยขนมอร่อย ๆ
“เอาล่ะ วันนี้เป็นงานแต่งงานของอารองเธอนะ อย่ามาสนใจเรื่องของพวกเราเลย ไว้ค่อยคุยเรื่องน้าอวี่เฟยของเธอกันทีหลัง”
ปากของหู่จือมีลูกอมบรรจุอยู่เต็ม ทำให้เขาพูดจาไม่คล่องอีก “ก็ได้ งั้นวันนี้ผมจะยังไม่ถาม”
พอได้ขนมแล้ว เขาก็หันไปบอกลาเจียงอวี่เฟย แล้วเดินตามหลินจินชานห่างออกไป
เฉินเจียวั่งปาดเหงื่อ มองดูเด็กน้อยจอมแก่แดดที่เพิ่งจากไปอย่างขุ่นเคือง
คนในครอบครัวพี่ใหญ่ ไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นเลยสักคน
เห็นได้ชัดว่าคำตอบของเฉินเจียวั่งต่อหู่จือ ไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกพึงพอใจสักนิด
“อย่าโกรธเลยนะ หู่จือยังเด็ก เขาไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรควรหรือไม่ควรถาม” เฉินเจียวั่งเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงอวี่เฟยหายไป จึงกลัวว่าหล่อนจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายต่อ “ไว้ฉันจะบอกให้พี่ใหญ่อบรมสั่งสอนเขาทีหลัง”
“เฉินเจียวั่ง วันนี้นายอาจปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวได้ แต่นายจะทำยังไงกับวันข้างหน้า? ถ้าสมาชิกในครอบครัวนายยังถามหาฉัน นายจะอธิบายให้พวกเขาฟังยังไง?”
เฉินเจียวั่งตอบกลับ “ไม่เป็นไร หลังจากงานแต่งของพี่รองผ่านไปแล้ว อารองกับอาสะใภ้ของฉันก็น่าจะเดินทางออกจากไห่เฉิง พอพวกเขาไม่อยู่ คนที่เหลือก็พอจะคุยด้วยง่ายหน่อย”
เฉินเจียวั่งไม่เข้าใจอะไรเลย เจียงอวี่เฟยได้ยินก็โกรธมากจนไม่อยากคุยกับเขา และอยากกลับบ้าน
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ?” เฉินเจียวั่งมองหล่อนแล้วถาม
เจียงอวี่เฟยรินเหล้าให้ตัวเองแล้วพูดกระแทก “ฉันอารมณ์ไม่ดี”
“งั้นเดี๋ยวฉันดื่มเป็นเพื่อน”
“ดื่มบ้าอะไรล่ะ? ร่างกายนายรับแอลกอฮอล์ไม่ได้นะ”
เจียงอวี่เฟยคว้าขวดมาจากมือเขา แล้วเทเครื่องดื่มอื่นใส่แก้วให้เขาแทน
เมื่อเฉินเจียวั่งเห็นหญิงสาวเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างออกหน้าออกตา เขาก็เกิดภาพลวงตาขึ้นมาอีกครั้งว่าหล่อนคือแฟนของเขาจริง ๆ
แต่ตอนนี้หล่อนโดดเด่นเกินไป สวยเกินกว่าจะอยู่กับที่ มีอนาคตที่สดใสรออยู่ ‘ระเบิดเวลา’ ในตัวเขาทำให้เขาไม่กล้าที่จะเข้าใกล้หล่อนไปมากกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอดื่มเหมือนกัน เป็นผู้หญิงจะกระดกเหล้าคนเดียวได้ยังไง” เฉินเจียวั่งก็ตั้งท่าจะรินเครื่องดื่มอื่นให้หล่อนเหมือนกัน
เจียงอวี่เฟยมองเขาด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ ถามว่า “นายเป็นอะไรกับฉันล่ะ? มีสิทธิ์อะไรมาห้าม?”
“เธอต่างหากที่เป็นห่วงฉันก่อน แล้วเธอล่ะเป็นอะไรกับฉัน?”
หลังจากที่เฉินเจียวั่งตอบกลับ เจียงอวี่เฟยก็ตกตะลึงนิ่งไป
ทั้งสองคนมองหน้ากัน บรรยากาศเริ่มคลุมเครือมากขึ้น ขณะที่เจียงอวี่เฟยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินเจียวั่งก็รีบหลีกเลี่ยงสายตาของหล่อน และลดศีรษะลงดื่มเครื่องดื่ม
คนที่อยู่ข้าง ๆ มองดูหนุ่มสาวสองคนทะเลาะกัน ทุกคนก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า “คนหนุ่มสาวสมัยนี้น่ารักกันซะจริง ดูสิว่าท่าทางแง่งอนของพวกเขาน่าเอ็นดูขนาดไหน”
“ใช่แล้ว สังคมสมัยนี้เปิดกว้าง พวกเขามีสิทธิ์แสดงออกต่างจากหนุ่มสาวเมื่อก่อนในยุคเรา”
เมื่อแขกที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาพากันยิ้ม เจียงอวี่เฟยและเฉินเจียวั่งก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายกันทั้งคู่ และหมกมุ่นอยู่กับการรับประทานอาหาร
เมื่อกี้พวกเขาแสดงความน่ารักต่อกันหรอกเหรอ?
หลังจบงานเลี้ยง ญาติฝ่ายหญิงบอกว่าตามประเพณีดั้งเดิม ครอบครัวของฝ่ายหญิงควรเดินทางตามไปส่งตัวเจ้าสาวถึงบ้านสามี พิธีจึงจะถือเป็นอันเสร็จสิ้น
หยางหงเสียมองไปที่ญาติหลายสิบคนในครอบครัวของเธอ นึกภาพไม่ออกว่าถ้าพวกเขาทั้งหมดหลั่งไหลเข้าไปในบ้านพักทหารจะเป็นอย่างไร
หล่อนขยิบตาให้พ่อแม่แรง ๆ หวังว่าพวกเขาจะช่วยหยุดคำร้องขอที่มากเกินไปของญาติตัวเองได้
พ่อหยางหันไปยิ้มกับญาติ ๆ แล้วพูดว่า
“บ้านของครอบครัวเจียซิ่งอยู่ไกลเกินไป เราค่อยไปที่นั่นอีกครั้งเมื่อมีโอกาส วันนี้จบกันแค่นี้เถอะ”
“จะลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง? หงเสียเป็นหลานสาวของพวกเรา เราต้องส่งหล่อนให้ถึงบ้านสามีเพื่อความมั่นใจ”
“เอาไว้ก่อนเถอะน่า ไว้ค่อยไปทีหลังเถอะ”
ลุงและป้าสะใภ้ของหยางหงเสียยืนกรานที่จะไปบ้านตระกูลเฉินให้ได้ บรรดาเพื่อนบ้านก็ไม่ออกไปเช่นกัน พวกเขายืนรออยู่อย่างนั้น จนตระกูลเฉินต้องเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หยางหงปินน้องชายของหยางหงเสียมองดูญาติที่เอาแต่สร้างปัญหาเหล่านี้ เด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธว่า “ยังจะรออะไรอีก? พวกคุณกินข้าวในงานเลี้ยงจนอิ่มหนำกันแล้ว ต้องตามกลับบ้านคนอื่นทำไม? เมื่อไหร่ข้อเรียกร้องจะสิ้นสุด รถมาจอดรอรับพวกคุณอยู่ข้างนอกแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
หยางหงปินอายุสิบแปดปี สูง 1.8 เมตร ตัวสูงผอมเพรียว มีหน้าตาดุดันและจริงจังตลอดเวลา ในฐานะนักเรียนเขาไม่เคยมีปากเสียงอะไรกับที่บ้านเลย แต่วันนี้เมื่อเห็นว่าญาติ ๆ เหล่านี้หน้าหนาแค่ไหน เขาก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ
ในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง คำพูดของลูกชายจึงมีความสำคัญมาก แม่หยางยิ้มและสงบสติอารมณ์ “ไปเถอะ กลับบ้านใครบ้านมันกัน ไว้เราค่อยไปดื่มกันหลังจากกลับไปถึงที่นั่นแล้ว”
เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียยังอุตส่าห์ตามมาส่งญาติของพวกเขาขึ้นรถด้วยความอ่อนน้อม พ่อหยางมองไปที่ลูกสาวของเขา อดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตา
“เจียซิ่ง เธอต้องทำดีกับลูกสาวของฉันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราอาจมาจากครอบครัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะรังแกหล่อน”
เฉินเจียซิ่งมองดูพ่อตา แม่ยาย และน้องเขยของเขา ให้คำยืนยันกับพวกเขาอย่างจริงใจว่า “พ่อ แม่ หงปิน เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันต่อจากนี้ไป ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะปฏิบัติต่อหงเสียอย่างดีที่สุดนับจากนี้และตลอดไป”
“ถ้าคุณทำให้พี่สาวผมผิดหวัง ผมจะไม่มีวันให้อภัยคุณ”
พ่อหยางกลัวว่าคำพูดของลูกชายจะทำให้เฉินเจียซิ่งไม่พอใจ ดังนั้นจึงรีบยื่นมือไปดึงแขนเขาไว้
เฉินเจียซิ่งยิ้มกว้างและตบไหล่หยางหงปิน “น้องสะใภ้ ฉันจะไม่มีวันให้โอกาสนายได้ทำแบบนั้นแน่”
แขกเหรื่อแยกย้ายกันไป งานแต่งงานของเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียจึงเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
หยางหงเสียติดตามสมาชิกตระกูลเฉินกลับไปที่บ้านตระกูลเฉิน ในที่สุดงานแต่งงานของเฉินเจียซิ่งก็จบลงด้วยความสำเร็จโดยไม่มีปัญหาใด ๆ รุมเร้าอีกต่อไป
ตระกูลเฉินได้ลูกสะใภ้คนใหม่เข้าบ้านอย่างเป็นทางการ
ทั้งครอบครัวกลับไปที่บ้านตระกูลเฉิน
เมื่อมองดูลูกสะใภ้คนใหม่ ผู้อาวุโสสองคนของตระกูลเฉินก็เต็มไปด้วยความรักใคร่ พึงพอใจกับหยางหงเสียมาก
พวกเขาไม่คิดว่าครอบครัวของหล่อนเป็นตัวปัญหา สังคมนี้ประกอบไปด้วยชนชั้นแรงงานธรรมดา ๆ อยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาให้คุณค่ามากที่สุดก็คือตัวตนของหยางหงเสียต่างหาก
“เจียซิ่ง นับจากนี้ไป ขอให้เริ่มต้นชีวิตคู่ที่ดีกับหงเสียเสียทีนะ”
เฉินเจียซิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายมามากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ผ่านพ้นมันมาได้โดยมีสมาชิกในครอบครัวหลายคนที่อดทน และอุตส่าห์จัดงานแต่งที่สวยงามให้กับเขาอีกครั้ง ทั้งยังให้กำลังใจเขาได้เริ่มต้นใหม่ ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
พร้อมด้วยความรับผิดชอบอันล้นหลาม
เขาตอบอย่างจริงใจว่า “ปู่ครับ พวกเราจะมีชีวิตที่ดี”
“จากนี้ไปทำดีกับหงเสียให้มาก”
วันนี้ผู้ชายทุกคนในครอบครัวดื่มคนละแก้วสองแก้ว มีความมึนเมาในระดับที่แตกต่างกันไป โจวลี่หรงเข้าครัวไปทำซุปแก้อาการเมาค้าง และตักชามให้แต่ละคน
“พี่สะใภ้ วันนี้คุณไม่ให้เกียรติเราเลย ไม่ได้ดื่มเหล้าตอบรับคำอวยพรในงานแต่งของเราด้วยซ้ำ” เฉินเจียซิ่งมองไปที่หลินเซี่ยและบ่นอย่างไม่พอใจ ตอนที่ดื่มอวยพร หลินเซี่ยก็แค่ถือยกเหล้าขึ้นมา แต่ให้พี่ใหญ่ช่วยดื่มจนหมด
เฉินเจียเหอตอบแทนว่า “พี่สะใภ้ของนายมีอาการท้องเสีย ดื่มหนักไม่ได้ แถมยังอุตส่าห์ตื่นเช้าและออกไปนอกสถานที่เพื่อแต่งหน้าให้น้องสะใภ้ นั่นยังถือว่าไม่ให้เกียรติอีกเหรอ?”
“ท้องเสียเหรอ?” ทุกคนหันไปมอง
หากแต่สายตาของโจวลี่หรงและคุณย่าเฉินนั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
หลินเซี่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มเคอะเขิน “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายท้องค่ะ ไม่อยากดื่มให้อาการยิ่งแย่”
เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนี้ คุณย่าเฉินและโจวลี่หรงต่างก็มองไปที่เธออย่างพินิจพิเคราะห์ สายตาเลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ท้องแทน
คุณย่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจียเหอ เธอกับเซี่ยเซี่ยควรรีบกำหนดวันแต่งงานของตัวเอง จัดการอะไร ๆ ให้มันเรียบร้อยโดยเร็วที่สุดนะ”
“ครับ”
เฉินเจียเหอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นเราแต่งงานกันวันที่แปดเดือนสิบก็ได้ เราจะเตรียมงานกันตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“พวกเธอสนใจดูแลตัวเองก็พอ พวกเราจะเตรียมงานกันเอง เกรงว่าตายายของเธอจะร้องอยากกลับบ้านถ้าใช้เวลานานเกินไป”
ช่วงนี้โจวเจี้ยนกั๋วก็ไม่อยากอยู่แต่บ้านเฉย ๆ เฉินเจียเหอจึงเป็นธุระติดต่อเขาให้ไปดูงานกับเจียงกั๋วเซิ่ง วางแผนที่จะให้โจวเจี้ยนกั๋วพาเขาไปที่โรงงานเครื่องจักรไห่เฉิงเพื่อเยี่ยมชมและศึกษาดูงานใหม่ ๆ หลังจากนี้เขาจะได้นำเทคโนโลยีที่น่าสนใจไปอธิบายให้กับโรงงานของตัวเอง
“ได้ครับ”
ตอนแรกเพื่อนร่วมงานของเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียก็กะจะมาดื่มฉลองแต่งงานกันที่บ้าน แต่ทางเข้าชุมชนบ้านพักทหารนั้นเข้าออกยาก พวกเขาไม่กล้าเข้าไป จึงจำใจล้มเลิกการดื่มฉลองหลังแต่งงานกันกลางคัน
เฉินเจียซิ่งเป็นคนชอบสังสรรค์อยู่แล้ว ตอนแรกเขากะว่าจะขอให้พี่ใหญ่ น้องชาย และหลินจินซานอยู่เป็นเพื่อนดื่มฉลอง แต่เฉินเจียเหอกลับดุเขาซะก่อน “การดื่มมันจำเป็นยังไงมิทราบ? เข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้ว”
เขาจะเข้าไปดื่มฉลองหลังแต่งงานในห้องส่งตัวเจ้าสาวได้อย่างไร?
เฉินเจียซิ่งอาจไม่ละอาย แต่ในฐานะพี่ใหญ่แล้ว เขาอาย
นอกจากนี้ หลินเซี่ยกำลังท้องอยู่ จำเป็นต้องกลับไปนอนพักผ่อนตั้งแต่หัววันหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
วันนี้ดึกเกินไป พวกเขาจึงวางแผนที่จะนอนพักในบ้านหลังนี้ก่อน ค่อยเดินทางกลับในเช้าวันพรุ่งนี้
ทันทีที่เฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียขึ้นไปชั้นบน
วังซูเฟินก็เริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง บอกว่าครอบครัวของหยางหงเสียพาญาติมาถล่มงานเลี้ยงมากมายราวกับแร้งลง แสดงท่าทางอดอยากเหมือนไม่เคยกินของดีมาชาติเศษ แทะกระดูกจนไม่เหลือซากหลังจากส่งตัวเจ้าสาว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โดนลูกชายของบ้านเอ็ดทีเงียบเป็นเป่าสากกันเลยญาติพวกนี้ ถือว่าหงปินทำดี
ไหหม่า(海馬)