ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 564 ชอบเขาหรือเปล่าล่ะ
ตอนที่ 564 ชอบเขาหรือเปล่าล่ะ
เจียงอวี่เฟยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร จึงเป็นฝ่ายริเริ่มพูดก่อนว่า “ฉันได้ยินพ่อเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการจัดสรรบ้านหลังใหม่ของคุณแล้ว ฉันยังไม่ถึงวัยทำงาน อาจไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้มากนัก แต่พอรู้อยู่บ้างว่าการแข่งขันภายในโรงงานค่อนข้างดุเดือด คุณกับพ่ออาจจะเลื่อนงานแต่งไปจนถึงปีหน้า แต่ถ้าถึงตอนนั้นแล้วคุณยังไม่ได้บ้านอีกล่ะ ก็เท่ากับคุณผัดวันประกันพรุ่งมาครึ่งปีโดยเปล่าประโยชน์นะคะ คุณไม่ใช่สาว ๆ อีกต่อไปแล้ว ถ้าคุณสองคนยังเอาแต่ปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไป คนอื่นจะนินทาเอาได้ อย่าลืมว่าฉันโตแล้ว โตพอที่จะรู้ประสาและเข้าใจความกังวลของคุณ แต่เสี่ยวฮวายังเด็ก คุณกับพ่อชอบพาหล่อนออกไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนโดยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนกัน บอกตรง ๆ ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรนักหรอก ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็น่ากลัวว่าจะมีคนหยิบเอาเรื่องนี้มาลอบกัดลับหลัง พ่อฉันเป็นรักษาการผู้อำนวยการโรงงาน ถ้าคนอื่นเอาเรื่องส่วนตัวที่ไม่พึงควรของเขามาเล่นงาน คงน่าเสียดายมากที่เขาไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานเต็มตัว ในอนาคตคุณไม่พ้นได้ติดตามเขาไปอยู่ด้วยกัน อย่าลืมคำนึงว่าโอกาสของเขาอาจตกไปเป็นของเพื่อนร่วมงานคนอื่น ทีนี้มาพูดถึงประเด็นถัดไป ฉันโตจนใกล้จะเรียนจบอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บ้านหลังนี้ก็ยังมีสิทธิ์ตกทอดมาถึงฉัน สบายใจได้เลยว่าฉันจะยังมีบ้านเป็นของตัวเอง พ่อทำงานเก่งมาก ในอนาคตหน่วยงานคงมีการจัดสรรบ้านหลังใหม่เพิ่มเติม ต่อให้วันหนึ่งพ่อกับคุณไปกันไม่ได้จริง ๆ ฉันก็จะยังมีที่อยู่แยกออกมา นอกจากนี้ยังช่วยรับประกันความมั่นคงในชีวิตของเสี่ยวฮวาด้วย”
เจียงอวี่เฟยจับมือหวังซิ่วฟางและพูดอย่างจริงใจว่า “ฉันเข้าใจคุณนะคะ พูดกันตรง ๆ พวกคุณสองคนต่างก็เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วทั้งคู่ อาจรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง แต่พ่อฉันอายุเกินสี่สิบเข้าไปแล้ว เขาจะยังมีความคิดโลเลเป็นอื่นอยู่อีกเหรอ? แม้แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มกลัวแล้ว ถ้าคุณเอาแต่หลบเลี่ยง เขาอาจรู้สึกว่าคุณต่างหากที่มีความคิดเป็นอื่น ถึงได้คอยถ่วงเวลา
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้มีแม่สื่อหลายคนที่ชอบเอาคนนั้นคนนี้มาแนะนำให้พ่อรู้จัก ต่อมาพอเห็นว่าพวกคุณสองคนกำลังคบกัน พวกหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยถึงอีกเลย แต่ถ้าพวกคุณสองคนเลื่อนการแต่งงานออกไปเรื่อย ๆ นานวันเข้าพ่อก็จะได้กลายเป็นผู้อำนวยการโรงงาน ตอนนี้บรรดาป้า ๆ เริ่มคุยกันแล้วว่าจะหาเมียให้เขา ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคุณมีคนมาแทรกกลาง มันจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่”
เจียงอวี่เฟยไม่ได้โกหกเลย
เจียงอวี่เฟยพูดต่อ
“ฉันบอกพวกเขาแล้วว่าพ่อมีแฟน แต่พวกหล่อนบอกว่าตราบใดที่ยังไม่แต่งงาน นั่นแปลว่าความสัมพันธ์ยังไม่มั่นคง พวกหล่อนยังมีสิทธิ์ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแม่ชักโดยไม่ผิดศีลธรรมใด ๆ เดี๋ยวนี้พ่อฉันฮอตมากนะคะ มีคนสนใจเขามากเกินไป คุณน่าจะต้องรีบหน่อยแล้ว”
หวังซิ่วฟางรู้สึกหวาดกลัวหลังจากได้รับข่าวจากเจียงอวี่เฟย
หล่อนชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในใจระหว่างการเสียเจียงกั๋วเซิ่งกับการเสียบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ อย่างแรกคือสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียจริง ๆ
หล่อนเป็นคนมีความคิดฉับไว ตัดสินใจทันทีว่า “ได้ ฉันจะไปที่โรงงานเพื่อขอคำยืนยันอีกที ถ้าจนแล้วจนรอดฉันยังไม่ได้รับการจัดสรรบ้านใหม่จริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะไปจดทะเบียนสมรสกับเขาให้มันถูกต้อง จริงอย่างที่เธอบอก ยื้อเวลาต่อไปแบบนี้ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ถูกเลย”
“ดีค่ะ เรารอฟังข่าวจากคุณอยู่นะคะ”
หลังจากที่เจียงอวี่เฟยคุยกับหวังซิ่วฟางเสร็จแล้ว หล่อนก็กลับไปที่บ้านของหลินเซี่ย
“พี่สาวหวังว่าไงบ้าง?” หลินเซี่ยรอให้เธอเข้ามาและถามอย่างเร่งรีบ
เจียงอวี่เฟยตอบกลับ
“หล่อนบอกว่าจะไปที่โรงงานเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง แล้วจะพิจารณาเรื่องแต่งงาน”
“อย่ากังวลกับเรื่องนี้มากนักเลย พ่อเธอกับพี่สาวหวังคบหาดูใจกันมานานแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขามั่นคงในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่แคล้วได้แต่งกันอยู่ดีแหละ” หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่เธอเถอะ? ช่วงนี้ระหว่างเธอกับน้องเขยฉันพัฒนาไปถึงไหนแล้ว? ทุกคนในตระกูลเฉินดูพอใจกับเธอเอามาก ๆ คุณปู่คุณย่าชอบเธอกันทั้งนั้น”
เจียงอวี่เฟยทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา พูดอย่างเศร้าใจว่า “ชอบฉันแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฉันเป็นแค่ไม้กันหมาของเขาเท่านั้นแหละ”
“เธอชอบเขาหรือเปล่าล่ะ?” หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย แล้วถามอย่างจริงจัง
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ” เจียงอวี่เฟยเลี่ยงการจ้องมองของหลินเซี่ยด้วยความเคอะเขิน
ดูจากสีหน้าของหล่อนแล้ว ชัดเจนว่าคำตอบคือใช่
“ถ้าชอบก็อย่าเพิ่งยอมแพ้กลางคัน เฉินเจียวั่งเก่งด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมมาก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาจะกลายเป็นสถาปนิกฝีมือดีแน่นอน”
เจียงอวี่เฟยพึมพำ “ฉันชอบเขา ต่อให้อีกหน่อยเขาจะไม่ได้เป็นสถาปนิกก็เถอะ”
“ตั้งแต่เข้าวงการบันเทิง คำพูดคำจาชักจะกล้าแสดงออกมากขึ้นทุกวัน”
เจียงอวี่เฟยจับคางตัวเอง มองหลินเซี่ยแล้วถามด้วยความกังวลว่า “เธอว่าเขาจะรับได้กับอาชีพของฉันไหม? พี่ลินดาบอกว่าหล่อนต้องการพัฒนาศักยภาพฉันให้กลายเป็นนางแบบระดับนานาชาติ ฉันคิดว่าหล่อนต้องมีไม้เด็ดประมาณหนึ่ง ถึงได้มั่นใจวางเป้าหมายสำหรับฉันอย่างชัดเจน”
หล่อนกลัวว่างานจะทำให้หล่อนกับเฉินเจียวั่งหลุดลอยออกจากวงโคจรของกันและกัน
หลังจากเจียงอวี่เฟยเซ็นสัญญากับบริษัทของเซี่ยอวี่ แนวทางการวางแผนอาชีพของหล่อนก็ถูกส่งต่อให้อยู่ในความรับผิดชอบของลินดา ลินดาบอกให้หล่อนตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ ถ้ามีงานเข้ามาเมื่อใดจะได้ขอลาออกได้ทันที
เมื่อมีทั้งบริษัทในสังกัดและผู้จัดการส่วนตัว เจียงอวี่เฟยก็ไม่ใช่แมลงวันไร้หัวอีกต่อไป หล่อนมีแผนสำหรับอนาคต ถึงอย่างนั้นลินดาก็คอยย้ำเตือนกับหล่อนเสมอให้มุ่งเน้นไปที่การเรียน และตั้งใจพัฒนาอาชีพของตนเป็นหลักในขณะนี้ ไม่ฟุ้งซ่านด้วยปัญหาทางอารมณ์ก่อนเวลาอันสมควร
เจียงอวี่เฟยให้สัญญากับลินดา แต่พอเฉินเจียวั่งขอให้หล่อนช่วยแกล้งเป็นแฟนของเขา หล่อนกลับตอบตกลงโดยไม่ลังเล
หลินเซี่ยไม่รู้ว่าลินดาไม่อนุญาตให้เจียงอวี่เฟยมีความรัก แต่เธอรู้ว่าเฉินเจียวั่งและเจียงอวี่เฟยต่างก็ยังเป็นนักศึกษาวิทยาลัย ตราบใดที่อาชีพการงานของพวกเขาไม่มีความมั่นคง ชีวิตรักของพวกเขาอาจไม่ราบรื่น
เธอตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่ต้องห่วง เฉินเจียวั่งเป็นคนที่เปิดกว้างมาก เขาไม่รังเกียจงานของเธอแน่ แต่พวกเธอยังเด็ก ดังนั้นควรมุ่งความสนใจไปที่การเรียนก่อนนั่นแหละ รอโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานเต็มตัว มีทิศทางในด้านอาชีพการงาน พวกเธอค่อยกลับมาพัฒนาความสัมพันธ์กันต่อ”
“เราอายุเท่ากันไม่ใช่เหรอ? แต่เธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงอวี่เฟย หลินเซี่ยก็ถอนหายใจ “โชคชะตาคนเราไม่อาจหยั่งรู้”
ชาติที่แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่มีชะตากรรมขมขื่น แต่พอมาชาตินี้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตรักหอมหวาน
เจียงอวี่เฟยรู้สึกอยู่เสมอว่าโชคชะตาหรือสิ่งอื่น ๆ เป็นเพียงความเชื่อเพื่อปลอบประโลมใจ ความเป็นจริงคนเราต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเอง หล่อนมองไปที่หลินเซี่ย พูดอย่างเป็นกังวล “แล้วถ้าระหว่างนี้เขาตกหลุมรักคนอื่นจะทำยังไง? เขาบอกว่าอาสะใภ้รองของเขาพยายามจะแนะนำให้เขาไปเป็นลูกเขยบ้านอื่น”
อย่างที่หลินเซี่ยพูด ถ้ารอจนกว่าทั้งสองคนเรียนจบก่อน หล่อนจะทำอย่างไรถ้าถึงตอนนั้นเฉินเจียวั่งมีคนอื่นอยู่เคียงข้างไปแล้ว?
อาสะใภ้รองคนนี้กระตือรือร้นมากที่จะแนะนำคนอื่นให้รู้จักกับเฉินเจียวั่ง กลัวเหลือเกินว่าเขาจะยอมประนีประนอมสักวัน
“ไม่มีใครสนใจคำพูดของวังซูเฟินหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเฉินเจียวั่งจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ คนตระกูลเฉินหรือจะยอมให้เจียวั่งไปแต่งเข้าบ้านคนอื่น? ถ้าเขาทำอย่างนั้นจริง คงอับอายขายหน้าไปทั้งบ้าน”
ในที่สุดเจียงอวี่เฟยก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย
“ตั้งใจเรียน ปล่อยวางเรื่องส่วนตัวไว้ทีหลัง ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ”
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเฉินต่างก็หมายมั่นวางตัวเจียงอวี่เฟยเป็นลูกสะใภ้คนที่สามของบ้านเรียบร้อยแล้ว
สำหรับงานแต่งงานของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย ตระกูลเฉินได้เชิญญาติและเพื่อน ๆ ทุกคนมาร่วมงาน เมื่อคุณย่าเฉินเห็นเฉินเจียวั่งเดินลงมาชั้นล่าง นางก็หยุดเขาและเตือนว่า “เจียวั่ง พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของเธอกำลังวางแผนแต่งงาน ได้บอกเรื่องนี้กับอวี่เฟยแล้วหรือยัง? ให้หล่อนขอลาเรียนล่วงหน้าแล้วมาร่วมงานด้วยกันสิ”
เฉินเจียวั่งตอบว่า “หล่อนมาแน่ครับ เพราะหล่อนเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพี่สะใภ้ บางทีอาจจะรับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ว่าความสัมพันธ์ของหล่อนกับพี่สะใภ้ของหลานจะสนิทสนมกันแค่ไหน หลานก็ยังต้องเชิญหล่อนด้วยตัวเอง มันเป็นเรื่องของมารยาท”
ในฐานะว่าที่หลานสะใภ้ของครอบครัวเฉิน หล่อนสมควรอยู่ในรายชื่อต้น ๆ ของแขกที่ถูกเชิญ
“อย่าลืมบอกหล่อนด้วยล่ะ สัปดาห์นี้ครอบครัวเราอยู่บ้านกันพร้อมหน้า ถือโอกาสชวนหล่อนมากินข้าวมื้อเย็นที่บ้านเราเสียเลย เราจะได้พูดคุยกับหล่อนด้วย”
พอเห็นว่าเจียงอวี่เฟยสุภาพอ่อนหวานแค่ไหน แถมยังมีความประพฤติดี และติดตามเฉินเจียวั่งมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานแต่งของเฉินเจียซิ่ง คุณย่าเฉินก็ถูกใจว่าที่หลานสะใภ้คนนี้มาก ๆ
“คงยังไม่ได้ครับคุณย่า หล่อนไม่ว่างมาหรอก” หลังจากที่เฉินเจียวั่งพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นและวางแผนจะออกไปข้างนอก ไม่ลืมที่จะพูดเสริมว่า “ผมเองก็งานยุ่งเหมือนกัน”
เฉินเจียวั่งออกไปแล้ว คุณย่าเฉินถอนหายใจพลางบ่นว่า “เจ้าเด็กน่าเบื่อคนนี้ไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเลย เป็นพรของเขาแค่ไหนแล้วที่แม่หนูคนสวยอวี่เฟยมาชอบเขา แต่เขากลับไม่รู้จักเป็นฝ่ายริเริ่ม เอาแต่ทำตัวเย็นชาอยู่อย่างนั้น คิดว่าตัวเองเจ๋งนักหรือยังไง?”
“ลี่หรง ไว้คราวหลังช่วยไปคุยกับเขาที บอกเขาว่าหัดแสดงออกซะบ้าง ต้องไม่พลาดจากผู้หญิงดี ๆ แบบนี้”
โจวลี่หรงพยักหน้า “ไว้ฉันจะคุยกับเขาค่ะคุณแม่”
โจวลี่หรงให้สัญญาไปอย่างนั้น แต่รู้อยู่แก่ใจว่าด้วยบุคลิกของเฉินเจียวั่งแล้วใช่ว่าจะสามารถโน้มน้าวได้ง่าย ๆ หล่อนรู้จักลูกชายตัวเองดีกว่าแม่สามี ถ้าเฝ้าสังเกตจะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วลูกชายของหล่อนมีความนับถือตนเองต่ำมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเจียงอวี่เฟยที่ทั้งสวยและโดดเด่นคนนั้น
หล่อนเริ่มสงสัยในความจริงเท็จของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาด้วยซ้ำ
จากความเข้าใจของหล่อนที่มีต่อลูกชาย เขาน่ะหรือจะแสดงความรู้สึกต่อเด็กสาวคนอื่น ตราบใดที่ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
เขาเป็นผู้ชายที่รู้จักตัวเองดีพอ สิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำคือฉุดผู้หญิงคนหนึ่งให้ตกต่ำ
เว้นแต่เจียงอวี่เฟยจะหลงใหลในตัวลูกชายของหล่อนมาก ถึงขั้นยอมติดตามเขาอย่างสุดใจ
แต่หลังจากเจียงอวี่เฟยเข้าร่วมการประกวดนางแบบ และได้ยินมาว่าหล่อนได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบภายใต้สังกัดของบริษัทเซี่ยอวี่ มีอนาคตที่สดใสปานนั้น แล้วหล่อนยังจะหลงรักลูกชายของหล่อนเหมือนเดิมหรือ?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เวลาน่าจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างลงตัวแหละค่ะ บางทีการห่างกันอาจทำให้รู้ใจตัวเองมากขึ้นก็ได้
ไหหม่า(海馬)