ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 565 แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ดารา
ตอนที่ 565 แฟนคลับผู้คลั่งไคล้ดารา
หลังจากเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียแต่งงานกัน พวกเขาก็ทำตัวติดกันอย่างแยกไม่ออก ออกไปทำงานด้วยกันและกลับบ้านหลังเลิกงานด้วยกันทุกวัน หยางหงเสียเมื่อมาอยู่ในครอบครัวสามีก็ทำตัวมีคุณธรรมมาก ตอนเลิกงานในแต่ละวันก็มักจะแวะซื้อวัตถุดิบติดมือมาแล้วเข้าครัวทำกับข้าว
ทักษะการทำอาหารของหล่อนดีมาก หล่อนบอกว่าตัวเองหัดทำกับข้าวมาตั้งแต่มัธยมต้น แล้วพัฒนาทักษะมาเรื่อย ๆ
หยางหงเสียยุ่งอยู่กับการทำงานในครัว ปฏิเสธที่จะให้คุณย่าเฉินช่วย แม้แต่เฉินเจียซิ่งก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยเป็นลูกมือ
ผู้เฒ่าเฉินมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา นึกแล้วอารมณ์ดี “เด็กโง่เขลาอย่างเจียซิ่งนี่โชคดีเสียจริง”
หยางหงเสียอยู่ในครัว ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเฉินหันไปหาเฉินเจียซิ่ง แล้วสั่งสอนเขาอย่างตรงไปตรงมา “หลานคนนี้ เธอโชคดีแค่ไหนที่แต่งงานใหม่แล้วได้ศรีภรรยาที่ดีเป็นคู่ชีวิต จากนี้ไปเธอต้องใช้ชีวิตให้ดี อย่าได้ทำตัวเหมือนคนโง่อีก ปฏิบัติต่อหงเสียให้ดีที่สุด เป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่าเดิม จะเถลไถลเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ”
เฉินเจียซิ่งแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา เขาทำท่าทางราวกับเสียใจมาก “คุณปู่ คุณย่า ผมไม่เคยทำตัวเถลไถลอะไรแบบนั้นซะหน่อย ใช่ว่าผมอยากทำตัวไม่ดี เพียงแต่คนก่อนที่ผมเจอแย่เกินไปต่างหาก”
ผู้เฒ่าเฉินมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางถามกลับ
“โทษตัวเองก่อนดีกว่า ตัวเองเป็นสามีที่ได้เรื่องแค่ไหน? สามีที่ดีควรชี้นำภรรยาตัวเองไปในทางบวก ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง แทนที่จะช่วยสนับสนุนให้อีกฝ่ายทำความชั่ว จนพลอยนิสัยเสียตามอีกฝ่ายไปด้วย”
เฉินเจียซิ่งคิดถึงตัวตนในอดีตของตัวเอง ตอนนั้นเขาเหมือนคนหน้ามืดตามัวไร้สมองจริง ๆ เขารู้สึกผิดและไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไร จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องครัว “ผมจะไปช่วยหงเสียทำกับข้าว”
เฉินเจียซิ่งวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
งานแต่งงานใกล้เข้ามา ครอบครัวเซี่ยวางแผนที่จะพาหลินเซี่ยกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน
เหตุผลก็เพื่อให้เธอพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่สักสองสามวัน แล้วเฉินเจียเหอค่อยมารับเธอจากบ้านตระกูลเซี่ยในวันแต่งอย่างเป็นทางการ
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงปิดร้านอาหารเร็วกว่าทุกวัน จากนั้นทั้งครอบครัวก็เดินทางไปที่อาคารพักอาศัยในโรงงานเพื่อรับตัวหลินเซี่ยด้วยพิธีอันเอิกเกริก
แม้แต่เซี่ยอวี่ก็มาด้วยเช่นกัน
เนื่องจากพวกเขาต้องย้ายเข้าบ้านหลังใหม่หลังแต่งงาน เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยจึงไม่ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทันที แต่ใช้เวลาไปกับการเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจากบ้านเก่า
ทันทีที่กลุ่มคนเดินเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาก็สร้างความโกลาหลขึ้นทันใด
เซี่ยไห่มักจะแวะมาเยี่ยมอาคารพักอาศัยของโรงงานยานยนต์บ่อย ๆ เขากำลังจะทักทายลุง ๆ ป้า ๆ ที่คุ้นหน้า แต่เมื่อชายชราและหญิงชราหลายคนเห็นเซี่ยอวี่ ทุกคนก็เดินผ่านเขาไปดื้อ ๆ แทบไม่ชายตามองด้วยซ้ำ และทักทายเซี่ยอวี่ด้วยความตื่นเต้น
ป้าหลิวเข้าไปจับมือเซี่ยอวี่โดยตรง “คุณเป็นอาของหลินเซี่ยงั้นเหรอ? ใช่คนที่เคยแสดงหนังใช่ไหม?”
เซี่ยอวี่พยักหน้ารับ
“เรื่องที่คุณแสดงเป็นแม่นางผมขาวช่างน่าสงสารจับใจ ตอนฉันดูแทบจะร้องไห้เลย”
ป้าหลิวมองดูเซี่ยอวี่ ทันใดนั้นภาพตอนอีกฝ่ายรับบทก็แล่นเข้ามาในหัวทันที ทำให้นางเกือบจะร้องไห้
ลุงหนิวที่อยู่ข้าง ๆ กลอกตาอย่างพูดไม่ออก ก่อนจะเตือนนาง
“เหล่าหลิว คนที่แสดงเป็นแม่นางผมขาวคือเซี่ยปิงต่างหาก ไม่ใช่เซี่ยอวี่”
ป้าหลิวตบหน้าผากแล้วคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า “โอ้ นี่เซี่ยอวี่หรอกเหรอ พวกเธอชื่อคล้ายกันมากจนฉันสับสนไปหมด”
ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของเซี่ยอวี่เผยรอยยิ้มอึดอัดแต่ยังคงความสุภาพ
“ฉันเป็นแค่แฟนคลับที่คลั่งไคล้ดารา บอกความแตกต่างไม่ได้จริง ๆ”
เซี่ยอวี่ไม่ได้โกรธเพราะคุณป้าจำคนผิด ยังคงทักทายพวกเขาอย่างใจกว้างและสุภาพอ่อนน้อมมาก
“คุณลุง คุณป้า ขอบคุณที่ชื่นชอบผลงานการแสดงของฉันนะคะ”
ลุงหนิวเห็นว่าเซี่ยอวี่เป็นดาราที่เข้าถึงง่าย ไม่มีมาดของดาราใหญ่เลย จึงตะโกนบอกเพื่อนบ้านอย่างตื่นเต้นว่า “มีกล้องไหม? ใครมีกล้องบ้าง? ช่วยหยิบมาถ่ายรูปให้ฉันกับดาราใหญ่หน่อยซิ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่หล่อนจะมาที่นี่”
“ฉันจะไปขอยืมมา”
ชายและหญิงสูงอายุเอะอะขอยืมกล้องกันยกใหญ่ เซี่ยอวี่ได้ยินก็เคอะเขินแต่ยิ้มสู้ คุณแม่เซี่ยรู้สึกภาคภูมิใจมากที่เห็นว่าลูกสาวของนางได้รับความนิยมมากแค่ไหน หันไปพูดคุยกับผู้สูงอายุในอาคารเดียวกันอย่างออกรส
พวกเขาเพิ่งโทรหาหลินเซี่ยเมื่อมาถึง ได้ยินว่าเพิ่งจะซื้อของกันเสร็จ และกำลังเดินทางกลับ ทำให้บนห้องไม่มีใครอยู่
ผู้คนในอาคารชอบหลินเซี่ยกันมาก พวกเขาบอกว่าการเต้นรำแบบแอโรบิกที่พวกเขาเต้นกันทุกวันก็เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยหลินเซี่ย ครั้งหนึ่งหลินเซี่ยเคยชักชวนให้พวกเขาเข้าร่วมการประกวดของภาคอุตสาหกรรมจนได้รับรางวัล
คุณแม่เซี่ยถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน จากนั้นก็รู้สึกเสียใจเมื่อได้ฟังวีรกรรมในอดีตของหลานสาว เสียดายที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านั้น
ไม่มีใครเคยเห็นหลานสาวขึ้นไปยืนเต้นบนเวทีเลย
ลุงหนิวยืมกล้องจากคนที่ไม่รู้จักมาชั่วคราว จากนั้นคุณลุงและคุณป้าก็รีบไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ขอให้เซี่ยอวี่ยืนตรงกลางเฟรม แล้วถ่ายรูปร่วมกับพวกเขา
แม้แต่คุณแม่เซี่ยก็ถูกผลักให้มีส่วนร่วมด้วย
เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ หลบฉากออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ทุกคนไม่แม้แต่จะมองพวกเขา
เซี่ยไห่ทั้งหงุดหงิดทั้งโกรธ แต่ไม่ใช่เพราะตัวเขาเองที่ไม่ได้รับความสนใจ
เขาจงใจคร่ำครวญด้วยเสียงอันดังว่า “เฮ้อ เกิดอะไรขึ้นกับสังคมสมัยนี้? ดารามีชื่อเสียงมากก็จริง แต่พี่ใหญ่ของฉันก็เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่รอดพ้นจากความตายกลางสนามรบมาอย่างหวุดหวิดเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครสนใจมองเขาด้วยซ้ำ”
นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกได้ทันทีจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขารู้สึกว่าพี่ใหญ่ของเขาควรเป็นคนที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม
“พี่ใหญ่ ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปรอที่หน้าห้องของเซี่ยเซี่ยกันดีกว่า”
น้ำเสียงของเซี่ยไห่เย็นชาก็จริง แต่เสียงพูดของเขาดังมาก สหายเก่าแก่ทุกคนได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่เซี่ยเหลยเป็นตาเดียว
“เถ้าแก่เซี่ย คุณเคยเป็นทหารผ่านศึกเหรอ?”
ทุกคนไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเซี่ยเหลย เพราะทุกคนมักจะแวะมากินข้าวที่ร้านอาหารของเขาเป็นประจำ เพียงแต่เซี่ยเหลยไม่เคยเปิดเผยตัวตน เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นพูดถึงเรื่องในอดีตของเขาตลอดเวลา
เขาบอกว่าเขาอยากเปิดร้านโดยพึ่งพาคุณภาพอาหารเป็นหลักจนมีชื่อเสียง อยากให้ลูกค้ามากินเพราะฝีมือของเขา ไม่อยากพึ่งพาชื่อเสียงเกี่ยวกับวีรกรรมในอดีต หรือการอวดอ้างทางศีลธรรม
นั่นทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
พอเซี่ยไห่พูดเสียงดังในที่สาธารณะ เซี่ยเหลยก็โกรธจัด จ้องมองไปที่เซี่ยไห่ด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ
จากนั้น เขาก็หันไปมองลุงหนิวและคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับว่า “อย่าไปฟังเขาพูดไร้สาระเลยครับ”
ลุงหนิวมองไปที่เซี่ยเหลยครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แสดงความเคารพ “เขาพูดถูกแล้ว ฉันเหมือนจะเคยได้ยินมาว่าพ่อของเสี่ยวหลินเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ”
“มาสิ สหายเซี่ยเหลย มาถ่ายรูปด้วยกัน หลังจากเสี่ยวเฉินกับเสี่ยวหลินย้ายจากไป คงมีโอกาสน้อยเข้าไปใหญ่ที่ตาแก่อย่างพวกเราจะได้เจอหน้าพวกเขาอีก คุณเองก็อาจไม่ได้แวะมาที่อาคารพักอาศัยนี้อีกแล้ว”
นับตั้งแต่ลุงหนิวและคนอื่น ๆ ออกไปเต้นรำและเข้าร่วมการแข่งขันนอกสถานที่ พวกเขาก็ชอบถ่ายรูประลึกความทรงจำในทุกที่ที่พวกเขาไป ทุกคนกลายเป็นคนทันสมัยมาก และถ่ายรูปได้ทุกเมื่อตราบที่ต้องการ พอคนจำนวนมากมารวมตัวกัน คนถ่ายก็รู้งานโดยไม่จำเป็นต้องจัดท่าทางให้พวกเขา
คราวนี้เซี่ยเหลยจึงถูกบีบเข้าสู่ตรงกลางเฟรม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ครอบครัวของเซี่ยเซี่ยไม่ธรรมดาเลยค่ะ อย่าให้เปิดเผยตัวตนเท่านั้นพอ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………