ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 567 ฉันไม่คู่ควร
ตอนที่ 567 ฉันไม่คู่ควร
คุณแม่เซี่ยหวังเหลือเกินว่าเซี่ยอวี่จะสามารถมีชีวิตแต่งงานผาสุกเหมือนหลินเซี่ยได้ ทว่าต่อให้นางพูดพร่ำเสียยาวเหยียด เซี่ยอวี่ก็ไม่ตอบสนองเลย
คุณแม่เซี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากฝากความหวังไว้กับหลินเซี่ยเท่านั้น
“เซี่ยเซี่ย ได้โปรดโน้มน้าวอาหญิงเร็วๆ ด้วยเถอะ เราจะปล่อยให้หล่อนลอยไปลอยมาแบบนี้ไม่ได้นะ ในแวดวงของพวกหล่อนแทบไม่มีใครแต่งงานหรือมีลูก เพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน แต่ทำไมการแต่งงานมีลูกในสายอาชีพอื่นไม่มีผลกระทบล่ะ? ฉันคิดว่าคนในวงการพวกหล่อนน่ะแค่รักอิสระ และไม่ยี่หระมากเกินไป จึงชอบทำทุกสิ่งตามใจปรารถนา ฉันยังได้ยินมาว่าคนๆ นั้นที่อยู่ใกล้พวกเธอน่ะ ดูเหมือนจะอยู่กับผู้ชายที่แต่งงานแล้วด้วยนะ”
เดิมทีคุณแม่เซี่ยพูดถึงปัญหาของลูกสาวตัวเอง แต่สุดท้ายก็บานปลายเข้าสู่เรื่องของทุกคนในละแวกนี้
แม้แต่ผู้ที่อยู่ในแวดวงครอบครัวของคนอื่นก็ถูกลากออกมาเอ่ยถึง
หลินเซี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจมาก เพราะกลัวว่าเซี่ยอวี่จะหมดความอดทน
เธอจึงรีบพูดว่า
“คุณย่า ไม่ต้องกังวลไปดีกว่านะคะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้พวกเราควรเคารพการตัดสินใจของอาหญิงและคุณหมอเย่ เมื่อทั้งสองแต่งงานกัน ถ้าอยากมีลูกก็มีได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่อยากมีลูกจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเลยค่ะ ถึงยังไงแล้วสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้คือการที่ทุกคนมีความสุขนะคะ”
“สาวน้อย หลานกำลังมีชีวิตที่แปลกประหลาดตั้งแต่อายุยังน้อยนะ จริงอยู่ที่ทุกคนมีสิทธิ์ในความสุขของตัวเอง แต่ชีวิตคนเราก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัวเกินไปได้ จะต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวของตนด้วยสิ
เย่ไป๋เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเย่ แล้วพ่อแม่ของเย่ไป๋จะไม่อยากได้หลานชายเหรอ? หากพวกเธอวางแผนที่จะไม่มีลูก แล้วจะอธิบายให้พ่อแม่ของเย่ไป๋ฟังยังไง? นอกจากนี้ยังมีหมอแผนจีนเย่ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเย่ เขาวาดหวังในต้นกล้าเพียงต้นเดียวของตระกูลที่ชื่อเย่ไป๋ แต่ถ้าไม่มีทายาทรุ่นต่อไป พวกเขาจะเห็นด้วยเหรอ?”
“มันน่ารำคาญมากนะคะ ฉันจะมีความรักทั้งที แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของพวกญาติด้วยน่ะ” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยอวี่รู้สึกหงุดหงิดจนตบนิตยสารในมือลงที่โต๊ะ
จากนั้นก็เดินเข้าบ้านทันที
เมื่อคุณแม่เซี่ยเห็นว่าลูกสาวโกรธจริงๆ จึงไม่กล้าไล่ตามไปจู้จี้อีก ซึ่งในจังหวะนี้เย่ไป๋ก็เดินเข้ามาพอดี
ทันทีที่มาถึงลานบ้าน เขาก็ได้เห็นเซี่ยอวี่เดินผ่านเข้าประตูไปด้วยความโกรธ
เย่ไป๋ถึงกับงงงวย
เมื่อคุณแม่เซี่ยเห็นเย่ไป๋เข้ามา นางก็ยิ้มด้วยความรักให้เขา “เสี่ยวเย่ รีบเข้ามาสิ”
“ครับ”
เมื่อเย่ไป๋เข้ามาในห้องโถงและเห็นหลินเซี่ยทักทายมา เขาจึงยิ้มและถามว่า “เซี่ยเซี่ย อาหญิงของเธอเป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ หล่อนแค่เหนื่อย”
ในทางกลับกัน คุณแม่เซี่ยพูดเข้าประเด็นทันที “เสี่ยวเย่ เธอมาที่นี่ทันเวลาพอดี เพราะฉันเพิ่งบอกเสี่ยวอวี่ไปว่าพวกเธอสองคนโตพอแล้ว ควรจะพูดกันให้จริงจังสักที คือพวกเธอควรแต่งงานกัน จากนั้นควรรีบมีลูกให้ทันใช้ แต่หล่อนบอกว่ายังไม่พร้อม แล้วเธอคิดว่ายังไง?”
เมื่อเย่ไป๋ได้ฟังคำพูดของแม่เฒ่า เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเซี่ยอวี่ถึงโกรธ
เขามองคุณแม่เซี่ยแล้วตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณป้าครับ เรื่องการมีลูกนั้นผมเชื่อฟังเสี่ยวอวี่ ถ้าหล่อนอยากมีลูกก็มี แต่ถ้าไม่อยากมีก็ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วพ่อแม่ของเธอทราบเรื่องนี้ไหมล่ะ? พวกท่านเห็นด้วยไหม?”
ขณะที่ถาม สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เย่ไป๋ให้อิสระเรื่องการมีลูกจริงๆ ด้วย!
เย่ไป๋ยิ้มพลางตอบว่า “พวกท่านเคารพในการตัดสินใจของพวกผมครับ เพราะพวกท่านล้วนเป็นปัญญาชนที่ได้รับการฝึกอบรมจากองค์กร ทำให้มีความตระหนักรู้สูงมาก จึงจะไม่มีความขัดแย้งกับเราในสิ่งที่เรียกว่าการสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลครับ”
คุณแม่เซี่ย “…”
หมายความว่านางเป็นคนตื้นเขินสินะ
กระนั้นแม่เฒ่ายังยึดติดกับความคิดนั้นเสมอ ถ้าคนสองคนไม่มีลูก ในวันข้างหน้าจะต้องเสียใจแน่นอน และลูกสาวของนางไม่ใช่สาวๆ อีกแล้ว หากยังทำตัวเรื่อยเปื่อยต่อไปอีกสองสามปี ก็ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลังให้กินแล้ว
นางรู้ดีว่างานของทั้งเซี่ยอวี่และเย่ไป๋มีความมั่นคง และพวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาลูกหลานเรื่องการเงินในชีวิตบั้นปลาย แต่ประเด็นสำคัญคือ….ความเหงาเมื่อแก่ตัวลงต่างหาก
เมื่อมองดูบ้านของเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงเต็มไปด้วยลูกๆ หลานๆ แต่หันมองบ้านของตัวเองที่เปลี่ยวร้าง และเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในวัยเยาว์แน่นอน
แต่ในเมื่อปัจจุบันนี้เย่ไป๋และเซี่ยอวี่ต่างก็มีความคิดเช่นนี้ ยิ่งนางพูดมากเท่าไรก็จะน่ารำคาญมากเท่านั้น
ตอนนี้เซี่ยไห่เข้ามาพร้อมความทุกข์ใจ แต่คุณแม่เซี่ยเห็นเขาแล้วยิ่งโกรธมากขึ้น
เพราะตอนนี้ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน เซี่ยเหลยเป็นคนเดียวที่มีลูกสาวหนึ่งคน ทำให้หลินเซี่ยกลายเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเซี่ย อีกทั้งพวกเขาแก่แล้ว นับจากนี้จะไม่มีลูกอยู่ข้างกาย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องลำบากหลานสาวใช่ไหม?
ในอนาคตหลานสาวคนนี้จะต้องเผชิญกับความกดดันมหาศาล
ในตอนที่ยังหนุ่มๆ สาวๆ อาจไม่ได้ตระหนักถึงเลย แต่เมื่อแก่ตัวลง ก็จะเข้าใจว่าญาติไว้ใจได้มากที่สุด
ตอนนี้หลิวกุ้ยอิงเดินถือจานอาหารเข้ามาพลางเอ่ย “อาหารพร้อมแล้ว ทุกคนมากินข้าวกันเถอะ”
“ได้ครับ”
เซี่ยไห่และหลินจินซานวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยเสิร์ฟอาหารพร้อมกัน
ยกเว้นเฉินเจียเหอและหู่จือ คืนนี้ทั้งครอบครัวมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
เซี่ยเหลยพูดไม่เก่ง แต่เสิร์ฟอาหารให้หลินเซี่ยทันทีที่เขานั่งลง เพราะรู้ว่าเธอกำลังแพ้ท้อง เขาจึงตั้งใจปรุงอาหารวันนี้ให้เป็นมื้อเบาๆ
สำหรับไก่ตุ๋น เขาได้ช้อนตักไขมันออกจากน้ำซุปไก่จนหมดเกลี้ยง
เมื่อปรุงอาหารจานปลา เขาได้เติมเครื่องปรุงสูตรลับเฉพาะของตน ส่งผลให้ปลามีรสชาติอร่อยและไม่มีกลิ่นคาวเลย
หลินเซี่ยไม่ค่อยรู้สึกคลื่นไส้จริงๆ เธอมีความเจริญอาหารมากและสนุกกับการกินด้วย
“ทุกคนดูนั่นสิ เสี่ยวเหลยและกุ้ยอิงปรุงอาหารให้เซี่ยเซี่ยอร่อยมากจนเธอไม่รู้สึกคลื่นไส้เลย ดูเหมาะสมกับสถานการณ์จริงๆ”
“ใช่แล้วค่ะ อาหารที่พ่อแม่ทำวันนี้อร่อยมาก โดยเฉพาะซุปไก่ เป็นซุปที่มีกลิ่นหอมมาก ฉันดื่มไปสองชามแล้วด้วยค่ะ”
“ถ้าชอบแล้วพวกเราจะทำให้ลูกทุกวันเลยนะ”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงมองลูกสาวด้วยความรักเต็มหัวใจ
ทั้งสองคนหวังเหลือเกินว่าทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันด้วยความอบอุ่นและกินอาหารฝีมือพวกเขาทุกวัน
น่าเสียดายที่ลูกสาวมีครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองแล้ว
“ตกลงค่ะ” หลินเซี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้ม “นับจากนี้ไป หากเมื่อใดที่พวกเรามีเวลา ก็จะมากินข้าวที่นี่นะคะ”
หลินจินซานทอดถอนใจพลางเอ่ย “เซี่ยเซี่ย อีกเดี๋ยวพวกเธอก็ย้ายไปอยู่บ้านใหม่และอยู่ห่างไกลจากเรา ทำให้วันข้างหน้าเราจะไม่ได้เห็นกันทุกวันแล้วนะ”
หลินจินซานรู้สึกเศร้าไม่น้อยเลย
“ไม่ไกลหรอกค่ะ รอให้ฉันหาเงินได้มากพอ ฉันจะซื้อรถและกลับบ้านหลังเลิกงานให้ตรงเวลาทุกวันเลย”
คุณแม่เซี่ยหันไปถามหลินจินซานว่า
“จินซาน ช่วงนี้หลานกับชุนฟางเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีเลยครับคุณย่า ช่วงนี้งานที่ร้านเสริมสวยยุ่งมากจริงๆ และบางครั้งถ้าผมว่างๆ ก็จะวิ่งไปช่วยงานพวกหล่อนบ้างน่ะครับ”
“แล้วหลานได้สารภาพรักกับหล่อนหรือยัง?” เมื่อคุณแม่เซี่ยได้ยินว่าหลินจินซานกระตือรือร้นในการไล่ตามสาวน้อยมากแค่ไหน และยังไปช่วยงานที่ร้านเสริมสวย ทำให้น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการยอมรับและใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ยังเลยครับ แต่ผมพยายามกระทำเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจน และผมเชื่อว่าหล่อนเข้าใจความหมายของผมด้วย เพราะหล่อนไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือหรืออาหารที่ผมซื้อให้ และผมชวนหล่อนไปดูหนังด้วยครับ”
หลินจินซานยิ้มเขินอายขณะที่พูดว่า “ผมคิดว่าหล่อนก็ชอบผมเหมือนกันน่ะครับ”
เมื่อคุณแม่เซี่ยได้ยินว่าหลินจินซานพาชุนฟางไปชมภาพยนตร์ด้วยกัน รอยยิ้มของเธอก็สดใสยิ่งขึ้น “แต่หลานต้องจิ้มกระดาษหน้าต่างให้ทะลุ* อย่าทำให้คลุมเครือแบบนี้ตลอดเวลานะ”
(*จิ้มกระดาษหน้าต่างให้ทะลุ หมายถึง ข้อเท็จจริงบางประการ ถูกกระดาษหน้าต่างบางๆ กั้นไว้ เพียงแค่จิ้มกระดาษให้ทะลุ จึงจะเปิดเผยชัดเจน)
เป้าหมายของหลินจินซานชัดเจนมาก และแผนการของเขาชัดเจนยิ่งกว่า “คุณย่าครับ หลังจากที่เซี่ยเซี่ยจัดงานแต่งงานเสร็จแล้ว ผมจะสารภาพรักกับชุนฟาง จากนั้นตั้งใจว่าจะหมั้นหมายภายในสิ้นปีนี้ และแต่งงานปีหน้า เราจะมีเด็กตัวอ้วนให้คุณอุ้มในปีหน้าครับ”
“ไอหยา หลานชายคนโตของฉันวางแผนได้ดีมาก นี่จึงจะเรียกว่าผู้ชายมีความกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบ”
คุณแม่เซี่ยคีบไก่ชิ้นหนึ่งแล้วมอบให้เขาพลางเอ่ย “มาสิ รีบกินเนื้อเยอะๆ นะ”
เมื่อเห็นว่าคุณแม่เซี่ยเริ่มคีบเนื้อลงในชามของหลินจินซานเรื่อยๆ ก็ทำให้ใบหน้าของเซี่ยไห่เข้มขึ้น
หลินเซี่ยเห็นเช่นนี้จึงรีบคีบเนื้อให้เซี่ยไห่ด้วย “อารองก็กินด้วยนะคะ”
เซี่ยไห่พูดว่า “ให้พี่ชายของเธอกินเถอะ ฉันไม่คู่ควร”
หลินจินซาน “!!!”
หลินจินซานตระหนักได้ว่าหมาหัวเน่ากำลังโกรธ เขาจึงรีบก้มหน้าลงเพื่อกินเงียบๆ และไม่กล้าอวดสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชุนฟางอีกต่อไป
เพิ่งกินข้าวเสร็จ เฉินเจียเหอก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี
“เซี่ยเซี่ยกินข้าวเสร็จหรือยัง?”
หลินเซี่ยอยู่ในอารมณ์สุนทรี และน้ำเสียงของเธอก็ร่าเริงมาก “ฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จค่ะ วันนี้พ่อแม่เตรียมอาหารหลายอย่าง มีทั้งไก่ เป็ดและปลา ตอนที่กินฉันไม่รู้สึกคลื่นไส้เลย และฉันดื่มซุปไก่ไปสองชามเต็มๆ รู้สึกอิ่มมากค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ หู่จือที่กำลังฟังโทรศัพท์อยู่ข้างเฉินเจียเหอก็เม้มปาก จากนั้นเริ่มบ่นว่า “แม่ครับ แม่ได้กินปลาและเนื้อจานใหญ่ แต่พ่อทำแค่อุ่นอาหารที่เหลือให้ผมกินแหละครับ”
หลินเซี่ยได้ยินแล้วถามเฉินเจียเหอด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมคุณไม่ทำอาหารล่ะ ช่วงนี้เป็นวัยเจริญเติบโตของหู่จือ อย่าให้เขากินอาหารแบบลวกๆ สิ”
“ก็ไม่อยากเหลือทิ้งนี่นา”
“แม่ครับ เวลาแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อก็เหมือนจะเสียสติไปแล้ว ตอนที่ผมเรียก พ่อก็ไม่ตอบผมเลย แม่ครับ พรุ่งนี้ผมไปหาแม่ได้ไหม?” หู่จือไม่อยากกินอาหารเหลืออีกต่อไปแล้ว เมื่อไม่มีแม่อยู่บ้าน ก็ทำให้บ้านไม่อบอุ่นเลย พวกเขาต้องกลับมาใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้น
หลินเซี่ยตอบว่า “ได้สิจ๊ะ พรุ่งนี้จะให้คุณลุงของลูกไปรับนะ”
“ตกลงครับ” หู่จือทำปากมุ่ยและมองเฉินเจียเหอ จากนั้นพูดเย็นชา “หึ ผมจะไปบ้านคุณยายทวด ผมจะไม่อยู่กับพ่อแล้วครับ”
“ไปสิ ไปเลย พวกลูกทิ้งให้พ่ออยู่บ้านคนเดียวได้เลย”
เมื่อเฉินเจียเหอแสดงความน้อยใจ หู่จือก็รู้สึกสงสารขึ้นมาบ้าง จนสุดท้ายเขาทนไม่ไหว เมื่อแสดงสีหน้าไตร่ตรองแล้วจึงประนีประนอมว่า “พรุ่งนี้พ่อก็เตรียมอาหารอร่อยๆ ให้ผมสิครับ ผมจะได้อยู่บ้านกับพ่อ”
“ก็ได้ พรุ่งนี้มากินไก่กันเถอะ”
ใบหน้าเล็กๆ ของหู่จือเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นสดใสทันที เขาพูดทางโทรศัพท์ว่า “แม่ครับ ขอผมดูพฤติกรรมของพ่อก่อน พรุ่งนี้อย่าเพิ่งให้คุณน้ามารับผมนะครับ”
หลินเซี่ย “…”
คราวนี้เฉินเจียเหอคว้าโทรศัพท์จากมือของหู่จือมาพูดว่า “เซี่ยเซี่ย คืนนี้เวลาอาบน้ำคุณต้องระวังให้มากนะ อย่าลืมสวมรองเท้าแตะกันลื่นด้วยนะจะได้ไม่ลื่นล้ม”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ” หลินเซี่ยตอบรับ “ฉันจะระวัง”
“แล้วคุณคิดถึงผมไหม?” เฉินเจียเหอเพิกเฉยต่อหู่จือที่อยู่ข้างกายและถามเสียงทุ้ม
หลินเซี่ยยกมือเขี่ยปลายจมูกพลางส่งเสียงด้วยความเขินอาย “เราเพิ่งห่างกันแค่ครึ่งวันเองนะ”
“แต่ผมคิดถึงคุณนี่นา”
“คำพูดของคุณเลี่ยนมากเลย”
หลินเซี่ยกระแอมไอเบาๆ และสั่งเขาว่า “เอาล่ะ คุณเก็บของที่บ้านให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ขนพวกของใช้จำเป็นไปไว้ที่บ้านใหม่ด้วยนะ”
หลังจากได้รับการจัดสรรบ้านหลังใหม่แล้ว บ้านพักในตึกที่พักพนักงานจะถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานเพื่อแจกจ่ายให้กับพนักงานคนอื่นๆ ต่อไป
“ตกลง”
หลังจากที่หู่จือหลับไปแล้ว เฉินเจียเหอก็เก็บข้าวของตามลำพังจนดึกดื่น จนกระทั่งทุกสิ่งในบ้านถูกจัดวางไว้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน
พรุ่งนี้เฉินเจียเหอจะเริ่มเลี้ยงอาหารค่ำกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว
เดิมทีเขามีพี่น้องที่นับถือกันแค่ไม่กี่คน ทว่าตอนนี้…
พวกนั้นได้กลายเป็นผู้อาวุโสของเขาเสียแล้ว
คนที่สามารถไปรับเจ้าสาวกับเขาได้มีแค่ถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่เท่านั้น
และน้องชายอีกสองคนที่บ้าน
แม้ว่าเซี่ยไห่และเย่ไป๋จะไม่ใช่เพื่อนฝั่งเจ้าบ่าวอีกต่อไปแล้ว ทว่าทั้งสองยังเข้าร่วมงานเลี้ยงสละโสดครั้งนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณแม่อย่าบังคับลูกสาวเลยค่ะ ถึงเวลาอยากมีหลานเมื่อไหร่เดี๋ยวก็มีกันเองแหละค่ะ
สงสารหู่จือจังเลย กินของเหลือแล้วมันไม่อร่อยเท่าที่แม่ทำสินะคะ
ไหหม่า(海馬)