ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 568 พวกเราไม่เหมาะสมกัน
ตอนที่ 568 พวกเราไม่เหมาะสมกัน
แม้ว่าเซี่ยไห่และเย่ไป๋จะไม่ใช่เพื่อนฝั่งเจ้าบ่าวอีกต่อไปแล้ว ทว่าทั้งสองยังเข้าร่วมงานเลี้ยงสละโสดครั้งนี้
เฉินเจียเหอมองชายท่าทางอ่อนโยนผู้สวมแว่นตากรอบทองแล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรนายก็ยังไม่ได้แต่งงาน ลำดับอาวุโสของเรายังไม่เปลี่ยน งั้นก็เข้าร่วมกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวเตรียมไปรับเจ้าสาวกันเถอะ มันมีชีวิตชีวามากนะ ถ้าไปกันแค่ไม่กี่คนจะดูเหงาไปเลย”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ผมรับหน้าที่นี้ไม่ได้”
ตอนนี้เย่ไป๋มีสถานะเป็นอาเขยของหลินเซี่ยโดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อหลานสาวแต่งงาน เขาจึงต้องติดตามเซี่ยอวี่ในฐานะผู้อาวุโสเพื่อที่จะส่งตัวเจ้าสาวออกไป
การเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวคืออะไร? มันไม่มั่นคงเอาเสียเลย และเขาจะไม่ทำ
อย่าเข้าไปยุ่งกับลำดับอาวุโสในเวลานี้เลย
เซี่ยไห่ดื่มไปแล้วสองแก้ว และขยับเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มว่า
ทำไมนายไม่นับฉันด้วยอีกหนึ่งล่ะ? นายไม่กล้าถามฉันเหรอ?”
เซี่ยไห่ตบไหล่ของเขาพลางเอ่ย “ฉันจะบอกนายให้นะ ดีแล้วที่หมอเย่กับฉันไม่ได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของนาย เพราะด้วยหน้าตาและออร่าของเรา หากยืนอยู่ข้างๆ นายก็จะบดบังนายทันที ดังนั้นเวลาหาเพื่อนเจ้าบ่าว นายจะมองหาคนที่หล่อเกินไปไม่ได้นะ เข้าใจไหม? แค่จวิ้นเฟิงกับเจิ้งอวี่ก็เหมาะสมแล้วล่ะ”
ถังจวิ้นเฟิง “…”
ลู่เจิ้งอวี่ “…”
พวกเขาสาดสายตาคมกริบไปที่เซี่ยไห่ทันที
“นายสองคนอย่าเพิ่งไม่พอใจสิ ทำไมไม่เอากระจกมาส่องดูล่ะ?”
ลู่เจิ้งอวี่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ดีว่ารูปร่างหน้าตาของเขาไม่ดีเท่ากับเถ้าแก่
ด้านถังจวิ้นเฟิงไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะหล่อไปก็ไร้ประโยชน์
ถ้ายังโสดจนแก่อยู่แบบนี้
เขาพูดกับเฉินเจียเหอว่า “เหล่าเฉิน นายต้องเตรียมชุดสูทให้พวกเราด้วยนะ เพราะฉันไม่มีชุดสูทเลย”
“ไม่มีปัญหา”
ลู่เจิ้งอวี่พูดว่า “ชุดทำงานของฉันเป็นชุดสูทอยู่แล้ว ฉันใส่ได้เลย ไม่ต้องเตรียมให้ฉันใหม่นะ”
พวกพี่น้องและสหายนั่งดื่มพลางพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของถังจวิ้นเฟิงดังขึ้นมา
ทุกคนหันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ
ถังจวิ้นเฟิงปกปิดความไม่สบายใจของตน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“เฮ้ นี่มันคือเสียงอะไรน่ะ?”
เซี่ยไห่มองตามถังจวิ้นเฟิง โดยที่ดวงตาของเขาตกไปที่เอวของอีกฝ่าย
โทรศัพท์มือถือในยุคนี้ใหญ่เกินกว่าจะใส่ในกระเป๋าได้ จึงต้องเหน็บที่เอวไว้เท่านั้น
“นายซื้อโทรศัพท์มือถือแล้วเหรอ? ซื้อตั้งแต่ตอนไหน? นายรวยขนาดนั้นเชียว?”
ถังจวิ้นเฟิงยังดูไม่สบายใจมากและอธิบายว่า “ไม่ใช่ของผมหรอก”
“ไม่ใช่ของนายเหรอ? แล้วเป็นของใครล่ะ? อ้อ…ฉันเข้าใจแล้ว”
หัวใจของเซี่ยไห่กระตุก และเขาเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา จึงขยับเข้าหาถังจวิ้นเฟิงและล้อเลียนว่า “ผู้หญิงคนนั้นซื้อให้นายเหรอ?”
ดวงตาของถังจวิ้นเฟิงสั่นไหวและเขาตอบโต้ว่า “ซื้อให้ที่ไหนล่ะ? หล่อนให้ผมยืมใช้ชั่วคราว เพราะถ้าหล่อนมีธุระ ก็จะได้ติดต่อผมง่ายขึ้น”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? นี่ก็ผ่านมานานมากแล้วนะ ไม่น่าจะมีปัญหาทางจิตใจอีกแล้วใช่ไหม?” นับตั้งแต่เซี่ยไห่ได้รู้ว่าช่วงนี้ถังจวิ้นเฟิงคอยให้คำปรึกษาหญิงสาวที่ถูกช่วยเหลือจากการลักพาตัวคนนั้น เขาก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวสถานการณ์ของหล่อน
“ดีขึ้นมากแล้ว ทางครอบครัวของอีกฝ่ายก็กำลังติดต่อโรงเรียนเพื่อให้หล่อนเป็นครูที่นั่นด้วย”
“ดีแล้วล่ะ ถ้าได้หลุดพ้นจากเงามืดทางจิตใจก็คงจะดีมากนะ”
โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์อันไม่สามารถแก้ไขได้ขึ้นมา
เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินถังจวิ้นเฟิงบอกว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นสามารถออกไปทำงานได้แล้ว เขาก็โล่งใจเช่นกัน
“แต่นายสองคนติดต่อกันบ่อยมาก ได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ ขนาดนั้น จะไม่มีประกายไฟต่อกันเลยเหรอ หรือว่าแอบคุยกันตั้งนานแล้ว?” เซี่ยไห่ขยับเข้าใกล้พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโชติช่วงเจือความสงสัย
ถังจวิ้นเฟิงผลักเขาออกไปด้วยความรังเกียจ “คุณอย่าพูดเหลวไหลนะ ผมมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพมากพอเหอะ”
น้ำเสียงของเซี่ยไห่ดูประชดประชันมาก “ใช่สิ นายมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ และมีศีลธรรมมากจนสามารถรับโทรศัพท์มือถือของคนอื่นมาทำงานได้”
ถังจวิ้นเฟิงมองลงไปที่เผือกร้อนตรงเอว จากนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าว
เขาไม่ต้องการที่จะรับมันจริงๆ แต่ทุกครั้งที่ไล่เสี่ยวอวิ๋นโทรเข้าที่ทำงานของเขา หัวหน้ามักจะบ่นเสมอ
“เอาจริงๆ แล้ว ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นสบายดี ฉันก็คิดว่าพวกนายสองคนไม่ต้องจำกัดตัวเองนักหรอก เมื่อเจียเหอและหลินเซี่ยแต่งงาน นายก็พาหล่อนมาทำความรู้จักกับทุกคนได้ ปล่อยให้หล่อนได้ออกมาสนุกสนานกันบ้างสิ”
ถังจวิ้นเฟิงส่ายใบหน้าอันเศร้าหมองพลางเอ่ย “หล่อนไม่ออกมาหรอก เพราะเอ้อร์เลิ่งจะอยู่ในงานแต่งของเหล่าเฉินแน่ๆ หล่อนต้องการลืมความทรงจำนั้น จึงไม่อยากเห็นใครที่อยู่ในความทรงจำนั้นอีก และหล่อนก็ไม่กล้าที่จะเผชิญกับเขาด้วย”
นี่คือปมในใจของหล่อน
ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นที่หล่อนไม่อยากเผชิญหน้าด้วย กลับมีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด
เซี่ยไห่มองหน้าถังจวิ้นเฟิงด้วยความจริงจังและถามว่า “แล้วตอนนี้นายกับหล่อนเป็นยังไงบ้าง?”
ดวงตาของถังจวิ้นเฟิงสั่นไหว “ผมกับหล่อนจะเป็นยังไงได้ล่ะ? นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับประชาชนน่ะ”
เซี่ยไห่พูดจาเหน็บแนม “นี่คิดว่าพวกฉันโง่ใช่ไหม? คนประเภทไหนที่ส่งทั้งเพจเจอร์และโทรเข้าโทรศัพท์มือถือแบบนี้? ถ้านายจะบอกว่าหล่อนไม่คิดเกินเลยกับนาย ฉันไม่มีทางเชื่อจริงๆ”
เซี่ยไห่หันไปมองที่เฉินเจียเหอ เย่ไป๋และลู่เจิ้งอวี่พลางถามว่า “พวกนายเชื่อไหม?”
ทั้งสามคนส่ายหัวโดยพร้อมเพรียง
“ที่สำคัญนะ นายต้องกล้าเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ของนายกับหล่อนก่อน เพราะในฐานะตำรวจ นายจะรับของจากคนอื่นได้ยังไง? นี่คือการติดสินบนและเป็นอาชญากรรมประเภทหนึ่ง” เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่าล้อเล่นกับงานและเกียรติของนายเอง”
“ฉันเปล่านะ”
ถังจวิ้นเฟิงสะอึกกับคำพูดของเฉินเจียเหอ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปฏิเสธอย่างไร
ถูกต้อง หากเขากับไล่เสี่ยวอวิ๋นมีความสัมพันธ์แบบตำรวจและประชาชนจริงๆ การที่เขารับของจากอีกฝ่าย ถือเป็นความผิดทางอาญา
เขาอธิบายว่า “นี่เพื่อให้ครอบครัวของหล่อนติดต่อผมได้อย่างสะดวก จึงให้ฉันยืมชั่วคราว และสุดท้ายฉันยังต้องคืนนั่นแหละ”
“ยังมีอะไรให้ปิดบังอีกล่ะ ผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างดีทีเดียว ในเมื่อหล่อนชอบนาย งั้นนายก็ลองคบกับหล่อนดูสิ”
ก่อนหน้านี้ถังจวิ้นเฟิงบอกว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นมีความบอบช้ำทางจิตใจรุนแรงมากเนื่องจากถูกลักพาตัว ทำให้หล่อนไม่เชื่อใจใครเลย ไม่ต้องการพบหน้าใครด้วย หล่อนเชื่อใจแค่ถังจวิ้นเฟิงคนที่ช่วยเหลือหล่อนออกจากห้องใต้ดินเท่านั้น
ครอบครัวของไล่เสี่ยวอวิ๋นยังหวังว่าถังจวิ้นเฟิงจะให้คำแนะนำแก่ลูกสาวได้มากขึ้น จึงโทรสอบถามแทบทุกเวลา
ตอนนั้นเซี่ยไห่ได้ยินข่าว นอกจากจะรู้สึกเสียใจกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังเกลียดพวกค้ามนุษย์มากด้วย
เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนนับตั้งแต่เหตุการณ์นี้ ไล่เสี่ยวอวิ๋นก็หลุดพ้นจากหมอกควันทั้งยังอยากเป็นครู แต่หล่อนยังคงติดต่อกับถังจวิ้นเฟิงไม่เปลี่ยน หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองต้องไม่ใช่แบบตำรวจกับประชาชนทั่วไปแน่นอน
จึงขึ้นอยู่กับว่าถังจวิ้นเฟิงจะตรัสรู้เมื่อใด
ถังจวิ้นเฟิงลดระดับสายตาลงพลางเอ่ย
“อย่าพยายามจับคู่นกยวนยางเลย ผมจะพัฒนาความสัมพันธ์โรแมนติกกับผู้เสียหายที่ผมช่วยเหลือมาได้ยังไง”
ถังจวิ้นเฟิงดูไม่สบายใจมาก เพราะความเป็นจริงในช่วงเวลานี้มีแค่เรื่องเดียวที่เฝ้ากวนใจของเขา และมันคือเรื่องนี้เอง
แค่ว่าด้วยข้อจำกัดบางประการ จึงทำให้เขาไม่กล้าก้าวเข้าไป
“พวกนายดูผู้ชายคนนี้สิ ทำไมถึงดื้อรั้นได้ขนาดนี้กันล่ะ? ฉันเคยได้ยินแต่ว่าตำรวจกับอาชญากรจะมีไมตรีต่อกันไม่ได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่าตำรวจกับผู้เสียหายจะรักกันไม่ได้นะ ก็เหมือนคู่พวกนายนั่นแหละ นายลองถามตัวเองว่าชอบหล่อนไหม? นายถูกใจหล่อนหรือเปล่า? อย่าจำกัดตัวเองและพลาดความสุขเพราะกฎเกณฑ์วุ่นวายนั่นเลย”
ถังจวิ้นเฟิงดูเหมือนจะรำคาญกับสิ่งที่เขาพูด “คุณหยุดทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักให้ผมได้ไหม คุณก็โสดแล้วมีคุณสมบัติมาชี้แนะเหรอ? คุณมีประสบการณ์เหรอ? ไม่ใช่แค่ยกทฤษฎีในหน้ากระดาษมาพูดหรอกนะ”
“นาย…” เซี่ยไห่สูญเสียท่าทางมั่นใจทันทีที่ถูกพูดจี้ใจดำ
มันเจ็บหัวใจนะไอ้น้องชาย
เมื่อครู่นี้ถังจวิ้นเฟิงไม่รับโทรศัพท์ ทำให้ในขณะนี้มันส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
ขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นั้น เขาก็กระวนกระวายใจไปด้วย
เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันควรมาถึงกี่โมง?”
เฉินเจียเหอตอบว่า “มาที่นี่ตอนหกโมงครึ่ง ควรเตรียมตัวให้พร้อมกันแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
“ได้ งั้นไปนะ”
เมื่อถังจวิ้นเฟิงเดินออกไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกดรับสาย
“พี่จวิ้นเฟิง ทำไมไม่รับสายของฉันล่ะคะ?” เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์
ถังจวิ้นเฟิงตอบว่า “ฉันอยู่ที่บ้านเพื่อน มันไม่สะดวกรับสายน่ะ”
“ตอนนี้ฉันรออยู่ที่หน้าประตูหน่วยของพี่นะ” หญิงสาวเอ่ยออกมา
“ฮะ? ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อถังจวิ้นเฟิงได้ยินว่าคนทางปลายสายรออยู่ที่หน้าประตูหน่วยของเขาจนดึกดื่น เขาจึงรีบเดินออกจากลานบ้านแล้วขี่รถจักรยานยนต์ไปที่หน่วยทันที
เมื่อถังจวิ้นเฟิงมาถึงประตูสถานีตำรวจ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวและหมวกกำลังนั่งซุกตัวอยู่หน้าประตูสถานี
เมื่อถังจวิ้นเฟิงเห็นสาวน้อยที่แสนบอบบางนั้นเพียงแวบเดียว สีหน้าของเขาก็หม่นลง เขาหยุดรถจักรยานยนต์ แล้ววิ่งไปหาหล่อนทันที
เขาวิ่งไปหาหล่อนแล้วถามเสียงอ่อนโยนว่า “เธอมาที่นี่กับใครเหรอ?”
เด็กสาวไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยืดคอขึ้นมาจากเสื้อคลุมของตน และเมื่อเห็นถังจวิ้นเฟิง หล่อนก็โผเข้ากอดเขาทันที
ถังจวิ้นเฟิงถูกกอดโดยไม่ทันระวัง ทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อ เขายกมือขึ้นโดยไม่กล้าแตะต้องตัวหล่อน
หลังจากนั้น เขาก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วพูดเบาๆ ว่า “เสี่ยวอวิ๋น เธอปล่อยฉันก่อนได้ไหม?”
“ไม่ปล่อย” ไล่เสี่ยวอวิ๋นกอดเอวของเขาไว้แน่นพลางซุกศีรษะไว้บนหน้าอกของเขา และเริ่มร้องไห้ต่อ
หล่อนบ่นด้วยความน้อยใจว่า “ทำไมช่วงนี้พี่ไม่ไปหาฉันที่บ้านเลยล่ะ? แม่ของฉันบอกว่าพี่ควรไปหาหรือโทรไปบ้างนะ พี่ไม่อยากติดต่อฉันแล้วเหรอ?”
หล่อนกอดถังจวิ้นเฟิงและสะอื้นไห้ “ถ้าพี่ไม่อยู่กับฉันอีกต่อไป และถ้าพี่ไม่ใส่ใจฉัน ชีวิตนี้ฉันคงอยู่ไม่ได้แล้ว”
“เสี่ยวอวิ๋น ตอนนี้เธอหายดีแล้ว ต้องออกไปทำงานได้แล้วนะ เพราะถึงเวลาที่เธอจะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เอง ส่วนฉันเป็นตำรวจ และภารกิจของฉันเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปฉันไม่ควรติดต่อกับเธอบ่อยเกินไป และการรับของจากเธอก็ถือเป็นความผิดด้วย”
หล่อนปล่อยถังจวิ้นเฟิงและมองเขาทั้งน้ำตาอาบใบหน้า จากนั้นพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “พี่ไม่ชอบฉันเหรอ? พี่รังเกียจที่ฉันเคยถูกลักพาตัวใช่ไหม? ทำให้พี่ไม่อยากเป็นแฟนฉันใช่ไหม?”
“เสี่ยวอวิ๋น อย่าคิดมากขนาดนั้นสิ”
เนื่องจากความตื่นเต้นของไล่เสี่ยวอวิ๋นและอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ร่างกายของหล่อนสั่นและเมื่อเธอพูดนั้นฟันก็สั่นกระทบกันด้วย “เอ้อร์เลิ่งไม่เคยแตะต้องฉันเลยจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนบ้า แต่เขาก็มีมโนธรรมมาก เขาไม่เคยสัมผัสนิ้วของฉันเลยด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่พี่เห็นในห้องใต้ดินว่าฉันมักจะถือกรรไกรไว้ป้องกันตัวเอง และเขาไม่มีโอกาสแตะต้องฉันเลยจริงๆ”
“เสี่ยวอวิ๋น ฉันไม่เคยคิดแบบนี้เลยนะ ฉันแค่คิดว่า…พวกเราไม่เหมาะสมกันน่ะ” ถังจวิ้นเฟิงมองหล่อนด้วยความกังวล และในที่สุดก็แข็งใจผลักหล่อนออก
“ไม่เหมาะสมยังไง?”
หล่อนกล่าวว่า “ครอบครัวของฉันหาโรงเรียนให้ฉันแล้ว หลังจากนี้ฉันจะได้เป็นครูโรงเรียนประถม และงานของฉันก็ทัดเทียมกับงานของพี่มากนะ”
“เสี่ยวอวิ๋น เธอฟังฉันนะ เธอยังไม่รู้จักกลุ่มเพื่อนของฉันดีพอ คือว่าเฉินเจียเหอเพื่อนของเอ้อร์เลิ่งที่เธอเคยพบนั่นน่ะ เขาเป็นเพื่อนรักของฉันเอง และเขาเป็นคนที่รู้ว่าเธอถูกลักพาตัว จากนั้นถูกส่งไปขายให้บ้านของเอ้อร์เลิ่ง เขาจึงแจ้งตำรวจแล้วเราก็ไปที่ชนบทเพื่อช่วยเหลือเธอออกมานั่นแหละ ยังมีเรื่องของเอ้อร์เลิ่งอีกคน เขาเป็นเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กของเฉินเจียเหอ และตอนนี้เขาถูกเฉินเจียเหอพาตัวมาที่เมืองไห่เฉิงเพื่อรับการรักษา ถ้าเธออยู่กับฉัน ก็หมายความว่าในอนาคตเธอจะต้องได้เจอเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเธอคิดว่าจะทำได้เหรอ? เธอเอาชนะปมในใจได้ไหม? นี่แหละคือปัญหาที่แท้จริง เฉินเจียเหอและฉันเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสิบปี ส่วนเฉินเจียเหอและเอ้อร์เลิ่งก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดขาดความสัมพันธ์เพื่อเธอ แล้วเธอแน่ใจเหรอว่าตัวเองมีความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้?”
คำพูดของถังจวิ้นเฟิง ทำให้ไล่เสี่ยวอวิ๋นเงียบไปทันใด
“ไม่เหมาะสมยังไง?”
หล่อนกล่าวว่า “ครอบครัวของฉันหาโรงเรียนให้ฉันแล้ว หลังจากนี้ฉันจะได้เป็นครูโรงเรียนประถม และงานของฉันก็ทัดเทียมกับงานของพี่มากนะ”
“เสี่ยวอวิ๋น เธอฟังฉันนะ เธอยังไม่รู้จักกลุ่มเพื่อนของฉันดีพอ คือว่าเฉินเจียเหอเพื่อนของเอ้อร์เลิ่งที่เธอเคยพบนั่นน่ะ เขาเป็นเพื่อนรักของฉันเอง และเขาเป็นคนที่รู้ว่าเธอถูกลักพาตัว จากนั้นถูกส่งไปขายให้บ้านของเอ้อร์เลิ่ง เขาจึงแจ้งตำรวจแล้วเราก็ไปที่ชนบทเพื่อช่วยเหลือเธอออกมานั่นแหละ ยังมีเรื่องของเอ้อร์เลิ่งอีกคน เขาเป็นเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กของเฉินเจียเหอ และตอนนี้เขาถูกเฉินเจียเหอพาตัวมาที่เมืองไห่เฉิงเพื่อรับการรักษา ถ้าเธออยู่กับฉัน ก็หมายความว่าในอนาคตเธอจะต้องได้เจอเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเธอคิดว่าจะทำได้เหรอ? เธอเอาชนะปมในใจได้ไหม? นี่แหละคือปัญหาที่แท้จริง เฉินเจียเหอและฉันเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสิบปี ส่วนเฉินเจียเหอและเอ้อร์เลิ่งก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดขาดความสัมพันธ์เพื่อเธอ แล้วเธอแน่ใจเหรอว่าตัวเองมีความกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้?”
คำพูดของถังจวิ้นเฟิง ทำให้ไล่เสี่ยวอวิ๋นเงียบไปทันใด
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ปัญหาอยู่ที่คนรอบตัวพี่ถังนี่แหละ สาวน้อยเสี่ยวอวิ๋นจะรับได้ไหมหนอ กรณีแบบนี้ความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคนแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………