ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 569 พวกเขาเป็นได้เพียงตำรวจและประชาชนเท่านั้น
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 569 พวกเขาเป็นได้เพียงตำรวจและประชาชนเท่านั้น
ตอนที่ 569 พวกเขาเป็นได้เพียงตำรวจและประชาชนเท่านั้น
“ไปเถอะ ฉันจะพาเธอไปส่งที่บ้าน”
ถังจวิ้นเฟิงมองไปที่หญิงสาวซึ่งเอาแต่เงียบตรงเบื้องหน้า เขาเองก็มีแววตาผิดหวังขึ้นในดวงตาเช่นกัน แต่ยังช่วยดึงคอปกของหล่อนขึ้นแล้วพูดว่า “ขึ้นรถเถอะ”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นหลับตาลงและไม่พูดอีกเลย ในที่สุดก็ยอมขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของถังจวิ้นเฟิง
ถังจวิ้นเฟิงไปส่งหล่อนถึงหน้าประตูบ้านอย่างง่ายดาย
บ้านของไล่เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในตัวเมืองไห่เฉิงซึ่งมีการคมนาคมสะดวก รถจักรยานยนต์สามารถไปจอดหน้าประตูได้เลย
ประตูสีแดงเช่นนี้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ และเห็นได้ชัดว่าเป็นครอบครัวที่มีอำนาจมาก
“รีบเข้าบ้านเถอะ”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นลงจากท้ายรถจักรยานยนต์ แต่ยังมองถังจวิ้นเฟิงอย่างไม่ต้องการที่จะเข้าไป
ถังจวิ้นเฟิงมองสีหน้าท่าทางของหล่อน และในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว รวบหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“จากนี้ไปจงดูแลตัวเองให้ดี และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้วนะ”
“หยุดร้องไห้และเข้าไปได้แล้วนะ การที่เธอแอบวิ่งออกไปคนเดียวแบบนี้ จะทำให้ครอบครัวเป็นห่วงนะ”
ถังจวิ้นเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาและยื่นให้หล่อน
“เมื่อวานนี้ฉันอยากคืนให้คุณป้า แต่หล่อนบอกให้ฉันเก็บไว้ ในเมื่อต่อไปนี้เราไม่ต้องติดต่อกันบ่อยๆ จึงไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะเก็บโทรศัพท์นี้ไว้ เธอช่วยคืนให้คุณลุงกับคุณป้าหน่อยนะ”
ถังจวิ้นเฟิงยื่นโทรศัพท์ให้ แต่รออยู่นานสองนาน ไล่เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่รับไว้ หล่อนแค่มองเขาทั้งน้ำตาเท่านั้น
ถังจวิ้นเฟิงมองหญิงสาวร้องไห้ และหัวใจของเขาก็แตกสลายไม่แพ้กัน แต่สมองส่วนเหตุผลบอกเขาว่าห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เขาไม่สามารถให้ความหวังหล่อนได้ ในเมื่อตอนนี้หล่อนหายดีแล้ว เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ในโลกของหล่อนจึงไม่ต้องการเขาอีก
และโลกของเขาก็เข้ากันไม่ได้กับโลกของหล่อน
พวกเขาไม่ควรมีอนาคตร่วมกัน ดังนั้นเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว
เขาควรตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อให้หล่อนยอมแพ้ และเขาเองก็ต้องยอมแพ้
ถังจวิ้นเฟิงยัดโทรศัพท์มือถือไว้ในมือของหล่อนพลางเอ่ย “เอาคืนไปเถอะ”
ทว่าน้ำเสียงของเขาแหบพร่าโดยควบคุมไม่ได้
นับตั้งแต่ที่ไล่เสี่ยวอวิ๋นลงจากรถก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“รีบเข้าไปเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงหันหลังกลับและพูดว่า “ถ้าเธอยังไม่ไปอีก ฉันก็จะไม่สนใจเธอแล้ว”
แต่หญิงสาวกลายเป็นคนหูหนวกต่อคำพูดของเขาเสียแล้ว
อากาศข้างนอกหนาวเกินไป และถังจวิ้นเฟิงไม่มีทางเลือก จึงก้าวไปข้างหน้าและตั้งใจที่จะเคาะประตู
เขาอยากจะเรียกคนตระกูลไล่ออกมา และให้พวกเขาพาไล่เสี่ยวอวิ๋นเข้าไปเอง
ลูกสาวเคยถูกลักพาตัวไปครั้งหนึ่งแล้ว พวกเขายังใจกว้างและกล้าปล่อยให้หล่อนออกไปคนเดียวได้อีก
เมื่อถังจวิ้นเฟิงเคาะประตู เพียงไม่นานก็มีการเคลื่อนไหวที่หน้าประตู
คนที่เปิดประตูคือแม่ของไล่เสี่ยวอวิ๋นซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนบุคลิกสง่างามมาก เมื่อหล่อนเห็นถังจวิ้นเฟิงแล้ว จึงมองไปที่ไล่เสี่ยวอวิ๋นซึ่งอยู่ข้างหลังเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จวิ้นเฟิงมาส่งเสี่ยวอวิ๋นกลับบ้านสินะ?”
“ใช่ครับคุณป้า”
แม่ไล่ยิ้มและเชิญเขา “รีบเข้ามาก่อนเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงปฏิเสธด้วยความสุภาพ “ไม่ดีกว่าครับ ผมส่งเสี่ยวอวิ๋นกลับมาด้วยความปลอดภัยแล้วจะกลับเลยครับ”
เขากำลังจะหันกลับไป แต่ทันใดนั้นก็หยุดมองแม่ไล่ด้วยความกังวลและเตือนว่า “ต่อไปนี้พยายามอย่าปล่อยให้เสี่ยวอวิ๋นออกไปข้างนอกคนเดียวอีก โดยเฉพาะตอนกลางคืนแบบนี้”
แม่ไล่พูดว่า “เราไม่เคยปล่อยให้หล่อนออกไปข้างนอกคนเดียวนะ ก็วันนี้นายมารับหล่อน มิฉะนั้นเราคงไม่ปล่อยหล่อนออกไปหรอก”
ถังจวิ้นเฟิงไม่ได้อธิบายมากความ “ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ”
เมื่อถังจวิ้นเฟิงหันกลับมา ก็ทำให้ดวงตาของเขาสบกับไล่เสี่ยวอวิ๋นผู้มีน้ำตาเอ่อคลอ ขณะที่หล่อนมองเขาไม่ละสายตาเลย
ในขณะนี้ถังจวิ้นเฟิงรู้สึกปวดใจแบบหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน
แม้กระทั่ง เขายังแอบหวังด้วยความเห็นแก่ตัวว่าหล่อนจะเข้ามาหยุดเขาไว้
อยากให้หล่อนกล้าหาญในความสัมพันธ์นี้มากขึ้น
แต่จนกระทั่งเขาขึ้นนั่งบนรถจักรยานยนต์แล้ว หญิงสาวก็ยังคงนิ่งเงียบ
ระหว่างทางกลับ ถังจวิ้นเฟิงขี่รถจักรยานยนต์เร็วมาก และเมื่อเผชิญกับลมหนาวพัดแรงในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ก็ทำให้จิตใจของเขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ทุกคนสมควรกลับไปสู่ชีวิตที่มีเหตุผล
ระหว่างพวกเขาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับประชาชนเท่านั้น
ไม่มีความสัมพันธ์อื่นอีก
……..
วันที่ 8 เดือน 10 คือฤกษ์ดีสำหรับการแต่งงาน
เมื่อลูกสาวกำลังจะแต่งงาน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจึงไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน เพราะทั้งสองเอาแต่นับสินเดิมที่เตรียมไว้ ด้วยกลัวว่าจะพลาดบางสิ่งไป
ตอนใกล้รุ่งสาง หลิวกุ้ยอิงก็เตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว หล่อนบอกให้ทั้งครอบครัวกินข้าวก่อน เพราะหลังจากกินข้าวเสร็จ หลินเยี่ยนจะต้องแต่งหน้าให้หลินเซี่ยและเปลี่ยนเป็นชุดแต่งงาน ดังนั้นจะไม่มีเวลากินข้าวอีก
เมื่อคืนหลินเซี่ยนอนกับคุณแม่เซี่ย แต่อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้นอนมากนัก เพราะในช่วงครึ่งแรกของคืน ทั้งครอบครัวมานั่งคุยกัน และในขณะที่คุยกันก็เศร้าได้ง่าย
พอแยกย้ายกันเข้านอน แม่เฒ่าจึงนอนไม่หลับเพราะรู้สึกเศร้า ทำให้หลินเซี่ยต้องคอยพูดปลอบโยนสั้นๆ จนแม่เฒ่าผล็อยหลับไป แต่กลายเป็นว่าเธอนอนไม่หลับเสียเอง
สาเหตุหลักคือเธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง และงานแต่งงานกับเฉินเจียเหอในชนบทเกิดขึ้นก่อนการเกิดใหม่ ทำให้ความทรงจำค่อนข้างห่างไกลและพร่ามัว
ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว งานแต่งงานในวันนี้จึงจะถือเป็นงานแต่งงานที่แท้จริง
เมื่อเธอเดินออกมา ก็เห็นโจ๊กแปดสมบัติที่หลิวกุ้ยอิงยกมาตั้งโต๊ะ เธอยิ้มแล้วถามว่า “แม่คะ โจ๊กนี้ต้องใช้เวลาทำนานมาก หมายความว่าแม่ไม่ได้นอนทั้งคืนเหรอคะ?”
เซี่ยไห่เพิ่งตื่นนอนและยังคงหาวอยู่ “เธอเดาถูกแล้วล่ะ พี่สะใภ้ยังไม่ได้นอนเลย”
แต่ขลุกอยู่ในห้องครัวตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่แล้ว เธอก็หันไปมองหลิวกุ้ยอิงด้วยความทุกข์ใจ และเห็นดวงตาสีแดงเลือดนกของอีกฝ่าย
เมื่อหันไปมองพ่ออีกคน จึงเห็นว่าเขามีรอยคล้ำใต้ตาจางๆ ด้วย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเมื่อคืนทั้งคู่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลย
หลินเซี่ยเข้าใจเหตุผลที่พวกเขาอยู่ในสภาพนี้ได้ทันที เพราะพ่อแม่ทำใจให้เธอแต่งงานไม่ได้
ถึงแม้ว่าเธอจะมีครอบครัวแล้ว เพียงแต่วันนี้จะมีพิธีแต่งงานแบบเป็นทางการ และเมื่อเธอดำเนินพิธีในวันนี้โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง นั่นย่อมหมายความว่าเธอกลายเป็นลูกสาวที่ออกเรือนแล้วจริงๆ
หลินเซี่ยจับมือของทั้งสองคนไว้ และแสร้งทำผ่อนคลายเพื่อให้พวกเขาสงบลง “พ่อคะ แม่คะ ฉันไม่ได้แต่งงานแล้วย้ายออกนอกเมือง อีกทั้งเฉินเจียเหอกับฉันก็อยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีแล้ว นับจากนี้ไปเราจะคงสถานะเดิมไว้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น และวันนี้พวกคุณควรจะมีความสุขนะคะ”
หลิวกุ้ยอิงพูดว่า “มีความสุขสิ แน่นอนว่าพวกเรามีความสุข แต่เพราะว่าเมื่อคืนนี้พ่อกับแม่มีความสุขมากเกินไป จึงทำให้พวกเรานอนไม่หลับ เมื่อได้เห็นว่าลูกมีครอบครัวที่ดี พวกเราก็รู้สึกสบายใจ และเรามีความสุขมากๆ ที่ลูกจัดงานแต่งงานอีกครั้งนะ แบบนี้พ่อ แม่และคุณย่าก็จะได้เห็นช่วงเวลาแห่งความสุขของลูกกับสายตาตัวเองด้วย”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงมีความสุข ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือปาดน้ำตา
“มาเถอะ รีบกินเร็วๆ แล้วไปแต่งหน้าแต่งตัวเป็นชุดเจ้าสาว ไม่งั้นจะสายเกินไปนะ”
เซี่ยไห่คนโจ๊กในชามด้วยช้อนแล้วพูดล้อเล่นอย่างอารมณ์ดีว่า “พี่สะใภ้ โจ๊กแปดสมบัติที่คุณปรุงวันนี้มีความหมายมากเลย มีทั้งถั่วลิสง พุทราแดงและลำไยอบแห้ง หมายความว่ายังไง? ให้กำเนิดบุตรที่สูงส่งในเร็ววันสินะ”
เซี่ยอวี่ถามว่า “แต่เซี่ยเซี่ยกำลังท้อง ยังต้องการสิ่งเหล่านี้อยู่เหรอคะ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบด้วยความขัดเขิน “ฉันไม่ได้คิดมากขนาดนั้นหรอก ฉันแค่มีของพวกนี้ที่บ้าน และฉันก็นอนไม่หลับด้วย จึงทำโจ๊กนี้ไว้ให้ทุกคนได้ดื่มตอนเช้า มันมีคุณค่าทางโภชนาการสูงน่ะ”
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ เจียงอวี่เฟยและลินดาก็มาถึง
พวกเธอคือกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวของหลินเซี่ย
“อวี่เฟย ลินดา พวกเธอมาแล้วเหรอ? รีบเข้ามาสิ เซี่ยเซี่ยกำลังจะแต่งหน้าแล้ว”
ในที่สุดวันนี้ลินดาก็ยอมละทิ้งชุดสูทสีดำตามปกติ แต่ใส่เสื้อสเวตเตอร์ กางเกงยีนส์และสวมทับด้วยเสื้อโค้ทอีกชั้นหนึ่งแทน
เซี่ยไห่ยกมือกอดอกแล้วพูดว่า “เฮ้ เธอยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเหรอ? ฉันเผลอคิดว่าเสื้อผ้าสีดำเชื่อมติดกับตัวเธอแล้ว ทำให้ถอดออกไม่ได้น่ะ”
ลินดาถูกเขาเหน็บแนม จึงมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
เซี่ยไห่ยังคงสวมชุดนอนหลวมๆ ไม่ติดกระดุมเสื้อด้วยซ้ำ เมื่อลินดาจ้องมองเขา หล่อนจึงแสร้งทำเป็นมองด้วยดวงตามีความหมาย
เซี่ยไห่จึงรู้สึกอึดอัดกับการจ้องมองของหล่อน แล้วรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จวิ้นเฟิงอาจยังไม่ใช่คนที่ใช่น่ะค่ะเสี่ยวอวิ๋น ทำใจเถอะ หากเป็นคนที่ใช่มันก็จะมีโอกาสได้มาเจอกันในสถานะที่ใช่เอง
เซี่ยเซี่ยแต่งงานจริงแล้วใจหายกันสินะคะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………