ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 570 แม่ครับ พวกเรามารับแม่ไปแต่งงานแล้ว
ตอนที่ 570 แม่ครับ พวกเรามารับแม่ไปแต่งงานแล้ว
หลินเยี่ยนกำลังจะเริ่มแต่งหน้า เพราะหลินเซี่ยบอกว่าควรให้น้องสาวแต่งหน้าเจ้าสาวจะดีกว่า แต่เรื่องนี้ทำให้หลินเยี่ยนรู้สึกกังวลมาก เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ
หากเป็นการแต่งหน้าให้เจ้าสาวคนอื่น หล่อนจะไม่รู้สึกกดดันเท่านี้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือพี่สาวและนายจ้างของหล่อนด้วย สาวน้อยจึงกลัวทำพัง และทำให้พี่สาวพลาดการแต่งงานที่สวยงามไป
“เอาน่าเสี่ยวเยี่ยน วันนี้พี่ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้กับเธอด้วยนะ เพราะพี่เป็นเจ้าสาว และอยากจะสนุกไปกับงาน พี่ไม่สามารถกระโจนลงไปทำงานทุกอย่างเองได้หรอก”
หลินเยี่ยนหันไปมองครอบครัวที่ยืนอยู่ข้างๆ และไม่กล้าเปิดกล่องอุปกรณ์แต่งหน้าด้วยซ้ำ เพราะด้วยสายตามากมายที่จ้องมองมาแบบนี้ ทำให้มือของหล่อนสั่นมากๆ และจะต้องทำเลอะเทอะแน่นอน
“เอาล่ะ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ พวกคุณไปทำงานของตัวเองเถอะค่ะ ถ้าแต่งหน้าเสร็จแล้วจะไปเรียกทุกคนนะคะ”
“ได้สิได้ ไปเถอะ พวกเราไปเปลี่ยนชุดใหม่บ้างดีกว่า แล้วค่อยให้เสี่ยวเยี่ยนแต่งหน้าเบาๆ ให้เราทีหลัง เพราะวันนี้จะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด ห้ามทำให้เซี่ยเซี่ยอับอายเด็ดขาด”
คุณแม่เซี่ยเดินนำครอบครัวออกไปด้วยท่าทางฮึกเหิม เซี่ยอวี่ก็ลุกไปสระผม โดยปล่อยให้เจียงอวี่เฟยอยู่คนเดียวในห้องกับหลินเยี่ยน
“พี่สาว ความจริงแล้วพี่ก็แต่งเองได้ แล้วทำไมต้องให้ฉันแต่งด้วยล่ะ?” หลินเยี่ยนรู้สึกว่างานในวันนี้ยากเกินไปสำหรับหล่อนจริงๆ
หลินเซี่ยยิ้มหวานให้หล่อนพลางอธิบายว่า “เพราะเธอเป็นน้องสาวของพี่ไงล่ะ การที่น้องสาวช่วยแต่งหน้าเจ้าสาวให้พี่สาวนั้นมีความหมายมากนะ และมันจะเป็นความทรงจำที่สวยงามในอนาคตด้วย”
“ก็ได้ค่ะ เช่นนั้นฉันจะเริ่มเลย แต่ถ้ามีตรงจุดไหนไม่ดี พี่รีบเตือนฉันทันทีด้วยนะ”
สุดท้ายต้องยอมรับว่า หลินเยี่ยนเกิดมาเพื่อทำงานนี้จริงๆ
ตอนนี้ทักษะการแต่งหน้าของหล่อนพัฒนาขึ้นมาก และยังมีความเข้าใจในศาสตร์แขนงนี้ และเริ่มคิดได้เองว่ารูปหน้าแบบนี้ต้องแต่งหน้าแบบใดจึงจะเหมาะสม
หลินเซี่ยขอให้หลินเยี่ยนแต่งหน้าเบาๆ และช่วยแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้าของเธอด้วย
สำหรับทรงผม เธอไม่ต้องการทำทรงผมเจ้าสาวที่ซับซ้อนและแน่นแบบนั้น เพราะแม้ว่าทรงเกล้ามวยเจ้าสาวจะได้รับความนิยมมากในหมู่สาวๆ และดูสวยมากจริงๆ แต่ในฐานะสไตลิสต์ หลินเซี่ยย่อมรู้ดีว่าตอนที่แกะมวยผมแบบนั้นออก มันยากลำบากเพียงใด
และเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนให้เฉินเจียเหอช่วยแกะผมตอนกลางคืน เธอจึงทำแค่รวบผมแบบสบายๆ เท่านั้น
เธอยังเลือกชุดแต่งงานเอง ซึ่งล้วนเป็นสไตล์ที่เรียบง่ายมาก
เพราะหน้าตาสวยและมีผิวขาว จึงทำให้การแต่งหน้าบางๆ กับชุดแต่งงานที่เรียบง่ายสามารถสะท้อนถึงความงามของเธอได้มากขึ้น
คุณแม่เซี่ยทราบว่าหลินเซี่ยแต่งตัวเสร็จแล้วจึงแทบรอไม่ไหวที่จะเข้ามาดู และเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่บนเตียง ทันใดนั้นดวงตาของแม่เฒ่าก็เต็มไปด้วยความรัก “นึกไม่ถึงเลยว่าหลานสาวของฉันจะดูสวยขนาดนี้ในชุดแต่งงาน ฉันรู้สึกประทับใจมากจริงๆ นะ”
ขณะที่พูดนั้น ดวงตาก็เริ่มชื้นและร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ
“คุณย่า หยุดร้องไห้แล้วเช็ดน้ำตาก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ให้เสี่ยวเยี่ยนแต่งหน้าพวกคุณได้แล้ว”
“ตกลง ช่วยแต่งหน้าให้แม่เฒ่าคนนี้หน่อยเถอะ วันนี้ฉันก็อยากจะสวยเหมือนกันนะ”
แต่หลิวกุ้ยอิงไม่อยากแต่งหน้า หลินเยี่ยนจึงดึงหล่อนเข้ามาแล้วแต่งหน้าเบาๆ ให้อยู่ดี
ตอนนี้ขบวนรับเจ้าสาวได้มาหยุดที่หน้าประตูทางเข้าบ้านแล้ว
ขบวนนี้มาด้วยกันแปดคันรถยนต์ ซึ่งเป็นขบวนรถที่เฉินเจียเหอใช้เส้นสายไปเช่าเป็นพิเศษ ซึ่งรถบ่าวสาวคันแรกคือรถคาดิลแลค
เฉินเจียเหอสวมสูทผูกเนคไท โดยถือดอกไม้ในมือข้างหนึ่ง และอุ้มหู่จือไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินนำหน้าด้วยเครื่องแต่งงานที่หล่อเหลา
ถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ รวมถึงเฉินเจียวั่งและเฉินเจียซิ่งล้วนสวมชุดสูท พวกเขาเดินตามมาด้านหลังพร้อมการแต่งกายพิถีพิถัน
มีอักษรมงคล ‘มีความสุข’ สีแดงตัวใหญ่อยู่ที่ประตูบ้านตระกูลเซี่ย และปูพรมสีแดงจากประตูลานบ้านยาวขึ้นไปตามบันไดสู่ห้องของหลินเซี่ย
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในลานบ้าน หู่จือก็ตะโกนเสียงดังลั่น “แม่ครับ พวกเรามารับแม่ไปแต่งงานแล้วครับ”
คำพูดของหู่จือทำให้ทุกคนหัวเราะมีความสุข
แน่นอนว่าเมื่อมองภาพเหล่านี้แล้วทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน
หลินเซี่ยสวมชุดเจ้าสาวและนั่งรออยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงของหู่จือ เธอก็กำลังจะตอบ ทว่าโดนเซี่ยอวี่ห้ามไว้ก่อน
“สงวนท่าทีไว้ก่อน”
“อ้อ ค่ะ”
เพราะลูกชายตะโกนเรียกเธอ ทำให้เธออยากจะตอบสนองต่อเขาโดยสัญชาตญาณ
แต่เซี่ยอวี่ไม่ยอมให้เธอส่งเสียงตอบ เธอจึงต้องนั่งเงียบๆ และรอให้อัศวินทั้งสองมาทำพิธีแต่งเจ้าสาวกับเธอ
เมื่อเฉินเจียเหอมาถึงหน้าประตูและกำลังจะผลักประตูให้เปิดออก แต่กลายเป็นว่าประตูถูกปิดกั้นจากด้านใน
มีเสียงของเซี่ยอวี่ตะโกนจากข้างในว่า
“เฉินเจียเหอ ถ้าวันนี้คิดจะรับตัวหลานสาวของฉันไป มันไม่ง่ายหรอกนะ”
เฉินเจียเหอจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “อาหญิง แล้วผมควรทำยังไงล่ะครับ?”
เซี่ยอวี่เคยบอกว่าการรับตัวเจ้าสาวนั้นจะมีความยากลำบาก ซึ่งเขาและพวกเพื่อนเจ้าบ่าวต้องเอาชนะให้ได้ก่อน จึงจะสามารถรับตัวเจ้าสาวได้
เซี่ยอวี่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เห็นว่าพวกนายดูแข็งแรงกันดี เช่นนั้นพวกนายก็วิดพื้นกันคนละหนึ่งร้อยครั้งเถอะ”
หลังจากได้ยินคำสั่งของราชินีจอเงินผู้ยิ่งใหญ่ ถังจวิ้นเฟิงก็เป็นคนแรกที่โพล่งออกมาว่า “เรื่องเล็กน้อยครับ”
เฉินเจียวั่ง “!!!” เล็กน้อยกับผีน่ะสิ
การวิดพื้นนั้นราวกับชี้ปากกระบอกปืนไปทางชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนโดยตรง ถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ถอดเสื้อสูทตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและเริ่มลงไปวิดพื้น
เจียงอวี่เฟยได้เห็นแล้วว่ามีชายหนุ่มรูปงามใส่สูทคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวนี้ด้วย แต่หล่อนไม่มีเวลาทักทายเขาด้วยซ้ำ เพราะเซี่ยอวี่บอกให้พวกเขาวิดพื้นร้อยครั้งตั้งแต่แรก และหล่อนก็ได้เห็นความลำบากใจบนใบหน้าของเขาชัดเจน
หล่อนรีบโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของเซี่ยอวี่ว่า “อาหญิงเซี่ยอวี่ แต่ละด่านให้ทำแค่สองคนก็พอแล้วค่ะ เพราะเฉินเจียวั่งมีสุขภาพไม่ดีเลย”
ทันใดนั้นหู่จือก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “กูหน่ายนายครับ ผมต้องลงไปวิดพื้นด้วยไหมครับ?”
เซี่ยอวี่ตอบว่า “เพื่อนเจ้าบ่าวสองคนที่อายุน้อยที่สุดไม่จำเป็นต้องทำนะ”
เจียงอวี่เฟยรีบอธิบายให้หู่จือฟังว่า “หู่จือ หมายความว่านายกับอาสามไม่ต้องทำแล้ว”
คนที่ไม่รอดก็คือเฉินเจียซิ่ง
เฉินเจียซิ่งดูตัวสูงใหญ่ก็จริง แต่กลายเป็นว่าเขาสามารถวิดพื้นได้ไม่ถึงสามสิบครั้งด้วยซ้ำ
แตกต่างจากเฉินเจียเหอและเพื่อนรักทั้งสองที่แข็งแกร่งทรงพลัง จึงบรรลุเป้าหมายด้วยความรวดเร็ว
“เฉินเจียซิ่ง ความแข็งแรงของนายนี่…” แต่เมื่อเห็นความลำบากใจของเฉินเจียซิ่งแล้ว เซี่ยอวี่จึงกลืนสองคำสุดท้ายลงคอ
ทว่าสายตานั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เฉินเจียซิ่งเจ็บปวด
“อาหญิง พวกเราต้องทำอะไรต่อไปครับ?” เฉินเจียเหอเชื่อฟังและให้ความร่วมมือดีมาก
คราวนี้เฉินเจียเหอดูลำบากใจ “อาหญิง คุณกำลังสั่งเรื่องที่ยากสำหรับผมแล้วสิ”
เพราะเขาร้องเพลงไม่เป็นจริงๆ
“แต่วันนี้ต้องสนองความต้องการของเรา มิฉะนั้นนายจะไม่สามารถรับตัวเจ้าสาวไปด้วยได้”
เซี่ยอวี่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยออร่าแข็งแกร่ง และยังเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นไม่ว่าจะยากสำหรับเฉินเจียเหอเพียงใด เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ในขณะนี้เย่ไป๋เหมือนจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา และเข้ามาเติมเชื้อไฟว่า “ร้องเพลงให้เหมาะกับโอกาสหน่อย”
เฉินเจียเหอ “…”
เขาจึงพยายามเค้นสมองสุดพลัง แต่พบว่านอกจากเพลงทหารเสียงสูงในกองทัพแล้ว ก็ไม่มีเพลงอื่นที่เขารู้จักอีกเลย
เขาจึงต่อรอง “ให้เจียวั่งร้องเพลงแทนได้ไหม?”
เซี่ยอวี่ย้อนถาม “ถ้าเช่นนั้นให้เจียวั่งช่วยแต่งเจ้าสาวแทนได้ไหมล่ะ?”
เฉินเจียเหอ “!!!”
ความหมายของเซี่ยอวี่นั้นง่ายมาก คือใครอยากแต่งภรรยาก็ต้องร้องเพลงเอง
สมองของเฉินเจียเหอปั่นป่วนและในที่สุดก็นึกถึงเพลงหนึ่งได้ แต่พูดให้ถูกก็คือจำได้แค่สองท่อน
เขาได้ยินคนอื่นร้องเพลงนี้ที่ร้านคาราโอเกะของเซี่ยไห่ และเป็นเพลงที่ค่อนข้างฝังอยู่ในสมอง
“ได้ ผมจะร้องเพลง”
เฉินเจียเหอกระแอมในลำคอและไปยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของหลินเซี่ย จากนั้นมองเธอพลางเปิดปากร้องเพลงเบาๆ
ชอบดวงตาที่มีเสน่ห์ของคุณ เสียงหัวเราะยิ่งลุ่มหลง อยากสัมผัสใบหน้าที่แสนน่ารักของคุณและจูงมือคุยเรื่องเพ้อฝัน ดั่งเช่นวันวานของคุณกับผม*
(*เพลง Like you ของเติ้งจื่อฉี)
“เซี่ยเซี่ย ที่ผมร้องเพลงนี้ได้ เพราะอารองของคุณทำให้ผมได้ยินนั่นแหละ พอจะได้ไหม?”
หลังจากที่เฉินเจียเหอร้องเพลงจบแล้ว เขาก็มองภรรยาด้วยสายตาอ่อนโยนและถามเสียงนุ่ม
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเซี่ยได้ยินเฉินเจียเหอร้องเพลงรักแสนหวานเช่นนี้ อีกทั้งเป็นเพลงรักอมตะที่เขาร้องในวันแต่งงานกับเธอ จึงทำให้เธอร้องไห้ออกมา
เมื่อหลินเซี่ยร้องไห้ ก็ทำให้เซี่ยอวี่พูดไม่ออก
สาวน้อยคนนี้ถูกเฉินเจียเหอล่อลวงโดยสมบูรณ์
เขาร้องเพลงแค่สองท่อนนี้ เธอก็ประทับใจจนน้ำตาไหลแล้ว
เฉินเจียเหอมองไปที่เซี่ยอวี่แล้วถามว่า “อาหญิง ผมผ่านด่านนี้หรือยัง?”
เซี่ยอวี่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ร้องเพลงได้ดี แม้จะไม่ตรงคีย์ แต่ด้านอารมณ์นั้นสมบูรณ์แบบมาก”
หลานสาวของหล่อนถึงขั้นน้ำตาไหล แล้วจะยังไม่ผ่านได้หรือ?
ถ้ายังทำเรื่องยากๆ ต่อไปก็จะน่าเบื่อ
และนี่เป็นการสร้างความบันเทิงเท่านั้น
เฉินเจียเหอคุกเข่าลงข้างหนึ่ง จากนั้นเขาสวมแหวนที่เตรียมไว้บนนิ้วนางของหลินเซี่ย
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต่างยืนมองภาพเหล่านี้ในห้องด้วย เฉินเจียเหอให้การรับรองกับพวกเขาว่า “พ่อครับ แม่ครับ พวกคุณไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะทำดีต่อเซี่ยเซี่ยตลอดชีวิต พวกเราจะใช้ชีวิตมีความสุขและความรักจนแก่เฒ่า ผมจะปกป้องหล่อนรักหล่อนด้วยชีวิตของผมครับ”
เซี่ยเหลยตอบรับทั้งน้ำตาคลอเบ้า “พวกเราเชื่อนาย”
เมื่อหู่จือเห็นว่าพ่อได้แสดงความภักดีออกไป เขาจึงตะโกนด้วยความกระตือรือร้นเช่นกัน “แม่ครับ ผมก็จะใจดีกับแม่ และผมจะปกป้องแม่ด้วยครับ”
หลินเซี่ยกล่าวว่า “พวกเราเป็นครอบครัวที่รักกันนะ”
เฉินเจียเหออุ้มหลินเซี่ยขึ้นมา ด้านหู่จือก็รู้ความ เขารีบเอื้อมมือไปช่วยถือดอกไม้ในมือของพ่อไว้แทน
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยเข้าไปนั่งในรถคันแรก โดยมีหู่จือนั่งอยู่ระหว่างทั้งสอง ช่างเป็นสามคนพ่อแม่ลูกที่หน้าตาดี มีความสะดุดตาและมีความสุขมาก
ทางด้านโรงแรมก็มีการตกแต่งได้อลังการมาก ตอนนี้ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินและคุณตาคุณยายของเฉินเจียเหอต่างอยู่ในชุดถังจวง(เสื้อคอจีนสมัยถัง)
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสและมีความสุข และกำลังต้อนรับแขกด้วยความยินดี
งานนี้ตระกูลเฉินแจ้งให้ญาติและเพื่อนๆ ทุกคนทราบ และได้ส่งเทียบเชิญถึงทุกคน
เมื่อญาติๆ เห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างเฉินเจียซิ่งไม่ใช่เสิ่นเสี่ยวเหมยคนก่อน พวกเขาก็ประหลาดใจมาก และในตอนแรกยังไม่กล้าถามมากความ ทว่าต่อมาเมื่อพวกเขาเห็นว่าความสัมพันธ์ของเฉินเจียซิ่งกับผู้หญิงคนนั้นใกล้ชิดกันมาก ทั้งยังเรียกเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงว่าคุณพ่อคุณแม่ จากนั้นพวกญาติๆ จึงอดถามเฉินเจิ้นเจียงไม่ได้ ซึ่งเฉินเจิ้นเจียงก็บอกเล่าด้วยท่าทีกระดากอายว่าเฉินเจียซิ่งหย่าแล้ว แต่งงานใหม่แล้วด้วย
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่ทำไมพวกเราไม่เคยได้ยินเลย?” อาหญิงซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของเฉินเจียเหอถาม
แต่ถ้าพูดตามตรงคือ พวกญาติห่างๆ แบบหล่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินสิ่งใดเลย เพราะหล่อนเคยได้ยินมาก่อนว่าสะใภ้ของเฉินเจียซิ่งชอบทำตัวเหมือนนางมารร้าย และทำให้ครอบครัวเสียใจมาก
แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉินเจียซิ่งจะหย่าร้างและแต่งงานใหม่เร็วขนาดนี้
เฉินเจิ้นเจียงอธิบายกึ่งขอโทษว่า “ฉันต้องขอโทษจริงๆ นะ เพราะเหตุการณ์ของเจียซิ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย สำหรับการแต่งงานครั้งก่อน ทำให้ทั้งครอบครัวอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย และทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้อีกแล้วจึงหย่ากัน คนรักปัจจุบันเป็นเพื่อนร่วมงานของเขานั่นแหละ หลังจากหย่าร้าง ทั้งสองคนก็พัฒนาความสัมพันธ์กัน และจดทะเบียนสมรสอย่างเรียบง่ายเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง เราจึงไม่ได้เชิญญาติๆ เลย เพราะถึงยังไงเจียเหอก็จะมีงานแต่งด้วย ดังนั้นเราไม่สามารถรบกวนทุกคนได้บ่อยๆ น่ะ”
เฉินเจิ้นเจียงอธิบายให้พวกญาติๆ ของเขาฟัง และทุกคนก็แสดงความเข้าใจ เมื่อพวกเขามองไปที่หยางหงเสียซึ่งอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของพวกเขาก็เต็มไปด้วยการยืนยันว่า
“ผู้หญิงคนนี้ดูค่อนข้างจิตใจดี และใช้ชีวิตได้ดีนะ”
แต่ถ้าพูดตามตรงคือ พวกญาติห่างๆ แบบหล่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินสิ่งใดเลย เพราะหล่อนเคยได้ยินมาก่อนว่าสะใภ้ของเฉินเจียซิ่งชอบทำตัวเหมือนนางมารร้าย และทำให้ครอบครัวเสียใจมาก
แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉินเจียซิ่งจะหย่าร้างและแต่งงานใหม่เร็วขนาดนี้
เฉินเจิ้นเจียงอธิบายกึ่งขอโทษว่า “ฉันต้องขอโทษจริงๆ นะ เพราะเหตุการณ์ของเจียซิ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย สำหรับการแต่งงานครั้งก่อน ทำให้ทั้งครอบครัวอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย และทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้อีกแล้วจึงหย่ากัน คนรักปัจจุบันเป็นเพื่อนร่วมงานของเขานั่นแหละ หลังจากหย่าร้าง ทั้งสองคนก็พัฒนาความสัมพันธ์กัน และจดทะเบียนสมรสอย่างเรียบง่ายเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง เราจึงไม่ได้เชิญญาติๆ เลย เพราะถึงยังไงเจียเหอก็จะมีงานแต่งด้วย ดังนั้นเราไม่สามารถรบกวนทุกคนได้บ่อยๆ น่ะ”
เฉินเจิ้นเจียงอธิบายให้พวกญาติๆ ของเขาฟัง และทุกคนก็แสดงความเข้าใจ เมื่อพวกเขามองไปที่หยางหงเสียซึ่งอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของพวกเขาก็เต็มไปด้วยการยืนยันว่า
“ผู้หญิงคนนี้ดูค่อนข้างจิตใจดี และใช้ชีวิตได้ดีนะ”
ผู้เฒ่าเฉินกล่าวว่า “ถูกต้อง สาวน้อยคนนี้มาจากครอบครัวธรรมดาๆ ทั้งนิสัยติดดินและมีอัธยาศัยดี หล่อนไม่สนใจว่าเจียซิ่งจะเคยแต่งงานมาแล้ว สำหรับเจียซิ่งน่ะ หลังจากประสบกับการแต่งงานครั้งแรกที่ล้มเหลว เขาก็เติบโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาไม่ใจร้อนเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”
เฉินเจิ้นเจียงจึงบอกให้เฉินเจียซิ่งพาหยางหงเสียมาทักทายพวกญาติๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่หยางหงเสียได้พบกับญาติๆ ของตระกูลเฉินทั้งหมด หล่อนเห็นว่าพวกเขาทุกคนมีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา มีรัศมีที่แข็งแกร่ง ร่ำรวยหรือมีเกียรติแผ่ออกมาชัดเจน หล่อนจึงติดตามเฉินเจียซิ่งด้วยสีหน้ากังวล
เพราะกลัวว่าจะได้พบกับคนแบบวังซูเฟินที่ทำให้หล่อนอับอายด้วยคำพูดเย้ยหยัน
โชคดีที่ญาติๆ กลุ่มนี้ใจดีมาก หล่อนกับเฉินเจียซิ่งเรียกทักทายพวกเขาทีละคน และทุกคนก็มองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร ทั้งยังบอกให้เฉินเจียซิ่งดูแลครอบครัวดีๆ ด้วย
……
ในจังหวะที่เซี่ยเหลยเดินเข้ามา อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้เฒ่าเฉินหลายคนก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วแย่งชิงกันเพื่อเป็นคนแรกในการทักทายเขา
สาเหตุที่วันนี้พวกเขามาร่วมฉลองงานแต่งงานของหลานชายผู้เฒ่าเฉิน ส่วนใหญ่ก็เพราะพวกเขารู้ว่าพ่อของเจ้าสาวคือสหายเซี่ยเหลยอดีตวีรบุรุษนักรบนั่นเอง
สหายในกองทัพเหล่านี้จึงให้เกียรติสูงสุดแก่เขา โดยการแสดงวันทยาหัตถ์ต่อเซี่ยเหลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ด้วยพลังความรักอะนะ สิ่งที่ดูเหมือนยากก็กลายเป็นง่ายจนได้
ไหหม่า(海馬)
……………………………………