ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 573 นังเด็กปีศาจถือกำเนิด
ตอนที่ 573 นังเด็กปีศาจถือกำเนิด
ทุกคนต่างพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน และใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสเปี่ยมสุข ทั้งยังมีความสุขที่มาจากใจจริงด้วย
เมื่อครู่พวกคนหนุ่มสาวนั่งดื่มกันอยู่ที่โรงแรมและยังอยากจะดื่มต่อที่บ้าน เฉินเจียเหอจึงสั่งเครื่องดื่มและอาหารมาสองสามชนิด และทุกคนก็รวมตัวกันเพื่อดื่มกิน ส่วนพวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็นั่งชงชาและไม่เต็มใจที่จะกลับออกไป เพราะทุกคนอยากเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ให้มากที่สุด
เฉินเจียซิ่งบอกว่าใบสมัครขอระงับจ่ายเงินเดือนและการจ้างงานของหยางหงเสียได้เริ่มพิจารณาแล้ว อีกไม่นานจะเสร็จสิ้นกระบวนการ จากนั้นหยางหงเสียจะไปเรียกกับหลินเยี่ยน
เนื่องจากกำลังพูดถึงหัวข้อนี้ในขณะที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า หลินเซี่ยจึงถือโอกาสประกาศแผนงานที่จะเริ่มเตรียมสถาบันเสริมสวยและทำผมขึ้นมา
ทุกคนคาดไม่ถึงว่าหลินเซี่ยจะคิดการใหญ่ เพราะการเปิดร้านไม่สามารถตอบสนองความต้องการหาเงินของเธอได้อีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจเปิดสถาบันฝึกอบรมโดยตรง
สำหรับพวกผู้อาวุโสไม่ค่อยมีความรู้เรื่องธุรกิจ แต่จากน้ำเสียงของหลินเซี่ยบ่งบอกว่ากำลังมองหาพื้นที่สร้างห้องเรียนและทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ทั้งยังต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ซึ่งดูใหญ่โตมาก
คุณแม่เซี่ยอดไม่ได้ที่จะเตือนเธอว่า “เซี่ยเซี่ย สิ่งสำคัญที่สุดของเธอตอนนี้คือการเลี้ยงลูกนะ”
“คุณย่าคะ ฉันแค่กำลังเตรียมการ แต่ถ้าเราจะลงมือทำจริงๆ ก็คงไม่เกินปีหน้าหรอกค่ะ”
หลินเซี่ยเข้าใจความกังวลของผู้อาวุโส และเธอก็ให้ความมั่นใจกับทุกคนว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะดูแลสุขภาพให้ดี ตอนนี้ฉันแค่เริ่มเตรียมตัวก่อน หากมีเรื่องใดที่ฉันจัดการไม่ได้ ฉันยังมีแรงสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากทุกคนไม่ใช่เหรอคะ?”
หลินเซี่ยมีความทะเยอทะยานมากๆ หากเป็นเรื่องงาน นอกจากนี้เธอได้วางแผนมาดีและไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงได้
เมื่อได้ยินมาว่าเธอมีแผนการระยะยาวเช่นนี้และยินดีที่จะให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม สิ่งต่างๆ ดำเนินไปแบบเหมาะสม พวกผู้อาวุโสจึงรู้สึกโล่งใจ
เฉินเจียซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สะใภ้ ให้ผมลาออกจากงานแล้วมาช่วยงานพี่ดีกว่า”
“นายอยากเรียนแต่งหน้าด้วยเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง “ถ้าแบบนั้นผมเรียนไม่ได้หรอก”
“เจียซิ่ง หยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ”
เมื่อผู้เฒ่าเฉินพูดเช่นนั้น เฉินเจียซิ่งก็ทำได้เพียงพูดว่า ‘ครับ’ และไม่กล้าถามอีกต่อไป
ตกเย็นพวกญาติๆ ก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยอยู่ที่บ้าน
เดิมทีหู่จืออยากนอนที่บ้านใหม่ด้วย แต่คุณแม่เซี่ยยืนกรานที่จะพาเขาออกไป เพราะโรงเรียนอนุบาลของหู่จืออยู่ห่างจากบ้านใหม่มาก จึงเกรงว่าเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยจะไปส่งลูกในตอนเช้าไม่ทัน
หู่จือจึงต้องติดตามพวกคุณย่าทวดออกไปด้วยความเชื่อฟัง
เฉินเจียเหอยังฝากให้เอ้อร์เลิ่งกลับไปพร้อมเย่ไป๋ด้วย
เฉินเจียเหอไม่ได้ดื่มเหล้าในพิธีแต่งงานมากนัก แต่เมื่อครู่เขาร่วมดื่มกับพวกเซี่ยไห่ ทำให้ตอนนี้เขาเมาแล้วเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่ตัวสูงและแข็งแรง แต่เนื่องจากการทำงานที่ต้องอาศัยความแม่นยำ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เขาไม่ค่อยดื่ม
และเนื่องจากไม่ดื่มเป็นเวลานาน ทำให้คอไม่แข็งเหมือนตอนอดีต
ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อ ดวงตาหยาดเยิ้มและเขากอดหลินเซี่ยไว้แน่น
“เซี่ยเซี่ย นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ผมมีทั้งเจ้าสาวและบ้านใหม่จริงๆ เหรอ?”
“ไม่จริงหรอก คุณกำลังฝันอยู่น่ะ” หลินเซี่ยไม่ได้ผลักเขาออกและปล่อยให้เขากอดเธอไว้แบบนั้น
เฉินเจียเหอเชยคางของเธอขึ้นมาและใช้มือหยาบของเขาลูบแก้มเธอเบาๆ จากนั้นจึงรับรู้ได้ถึงสัมผัสแท้จริงระหว่างนิ้วมือ และเขาหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “มันไม่ใช่ความฝัน”
เขาจุมพิตที่หน้าผากของเธอด้วยความลึกซึ้ง “ขอบคุณที่ยอมแต่งงานกับผมนะ”
“เพราะตอนที่เราไปอยู่ชนบทเมื่อปีก่อน ผมรู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแต่งงานกับผม แต่ครั้งนี้คุณเต็มใจที่จะแต่งจริงๆ”
“ขอบคุณสำหรับการเชื่อในตัวผม และความตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับผมในปีนี้ คุณบอกว่าไม่ได้จากไปเพราะความฝัน ดังนั้นผมจึงอยากขอบคุณความฝันของคุณด้วย”
เฉินเจียเหอประคองใบหน้าของเธอไว้ ทำราวกับถือสมบัติล้ำค่าอยู่
หลินเซี่ยก็ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของเขาด้วย และเธอพลอยคิดถึงเรื่องราวระหว่างทางทั้งหมด
แท้จริงแล้วคนที่ควรรู้สึกขอบคุณมากที่สุดคือเธอต่างหาก
แต่เธอก็มองตาเขาแล้วพูดว่า “ระหว่างเรายังจำเป็นต้องขอบคุณกันอีกเหรอคะ? แค่บอกว่ารักกันก็พอแล้วมั้ง”
“ผมรักคุณ” เฉินเจียเหอโพล่งออกมาทันทีโดยไม่ลังเลใจ
หลังจากที่พูดจบแล้วได้เห็นเธอตกตะลึง เขาก็แทบรอคำตอบจากเธอไม่ไหว เขาจึงกอดเธอพลางออดอ้อน “คุณรีบบอกผมเร็วๆ สิว่าคุณรักผมเหมือนกัน”
หลินเซี่ยพูดว่า “คุณรักผมเหมือนกัน”
เฉินเจียเหอ “…”
“ต้องสลับกันสิ”
หลินเซี่ยยกมือกอดคอของเขาและเป่าลมร้อนเข้าหูของเขาขณะพูดว่า “ฉันรักคุณค่ะ”
เฉินเจียเหอถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวนจนทนไม่ไหว เขาจึงพลิกตัวเธอลงไปและตรึงคนใต้ร่างเอาไว้
เขาหายใจหอบถี่และจูบเธอด้วยความเร่าร้อน…
แต่สุดท้ายแล้วเขายังมีความรู้สึกอยู่บ้าง จึงลุกขึ้นและเตรียมตัวจะไปอาบน้ำเย็น
หลินเซี่ยเขินอายมาก แต่ยังพูดเสียงแผ่วว่า “ถ้าคุณทนไม่ไหวจริงๆ คุณก็ทำได้นะ”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
แม้ว่าดวงตาของเขาจะหยาดเยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขามั่นคงมาก “ผมทำให้คุณและลูกเสี่ยงไม่ได้”
เขาปลดกระดุมเสื้อออก จากนั้นถอดเสื้อพลางเดินไปเข้าห้องน้ำ
ทางด้านหลินเซี่ยนั่งอยู่บนเตียงพลางมองคำอวยพร ‘มีความสุข’ ในห้อง ริบบิ้นและลูกโป่งหลากสีสัน จากนั้นเธอก็นอนกลิ้งไปบนเตียงด้วยความสุข
ในตอนที่เธอกำลังจะดึงผ้าห่มขึ้นมา จึงได้พบถั่วลิสง ลำไยอบแห้งและพุทราแดงอยู่ในผ้าห่ม
ทั้งหมดนี้หมายถึงการให้คลอดลูกโดยเร็ว
เธอจึงลุกขึ้นนั่งและแกะเปลือกถั่วอย่างมีความสุข
ระหว่างนั้นก็รอให้เฉินเจียเหอเข้านอนพร้อมกัน
ทว่าวันนี้การอาบน้ำของเฉินเจียเหอกินเวลายาวนานมาก
ปกติแล้วเขาจะอาบน้ำไม่ถึงสิบนาที แต่วันนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นใครออกมาเลย
หลินเซี่ยรู้ดีว่าเขากำลังพยายามสงบไฟในกายอยู่
เธอนั่งอยู่บนเตียงพลางกินถั่วและพุทราแดง แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่เธอไม่อยากจำก็ปรากฏขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
ในวันที่มีความสุขเช่นนี้ แม้ว่าเธอไม่อยากคิดถึงเรื่องแย่ๆ เหล่านั้น แต่บางความทรงจำยังคงคืบคลานเข้ามาในจิตใจของเธอโดยห้ามไม่ได้
หากอิงตามวิถีทางของชีวิตก่อน พรุ่งนี้จะเป็นวันที่นังเด็กปีศาจถือกำเนิดขึ้นมา
เฉินเจียเหอเดินออกจากห้องอาบน้ำและเห็นหลินเซี่ยอยู่ในอาการเหม่อลอย เขาจึงสะบัดน้ำหยดเล็กๆ ใส่ใบหน้าของเธอ “คุณกำลังคิดเรื่องใดอยู่เหรอ?”
“คิดถึงคุณไงคะ” หลินเซี่ยยิ้มซุกซนให้เขา
แต่รอยยิ้มนี้ของเธอ ทำให้เฉินเจียเหอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกและกระโจนเข้าใส่เธอทันที
“ใจเย็นๆ สิคะ คุณจะอาบน้ำอีกรอบเหรอ?”
“ไม่ ผมยังมีวิธีอยู่”
เขาปิดไฟด้วยมือเดียว แล้วกดจูบเธอไปด้วย จากนั้นคว้ามือเล็กๆ นุ่มๆ ของเธอให้คลำลงไป…
ขณะที่คู่บ่าวสาวกำลังเพลิดเพลินกับคืนแต่งงานอันแสนสุข ทางโรงพยาบาลในเมืองหนานเฉิงก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น
เซี่ยหลานกำลังรีบวิ่งไปที่ห้องพักแพทย์แล้วพูดว่า “คุณหมอคะคุณหมอ ลูกสาวของฉันอาจจะคลอดแล้ว ช่วยรีบหน่อยเถอะค่ะ”
“ส่งตัวไปที่ห้องคลอดก่อน”
ตอนนี้เซี่ยหลานทำตัวไม่ถูกเลย ในที่สุดก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาบ้านของหลิวจื้อหมิง
“พี่สาวหลิว จื้อหมิงอยู่บ้านไหม? ตอนนี้อวี้อิ๋งกำลังจะคลอดแล้วนะ” เธอรีบพูดทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
แต่คนที่ปลายสายพูดว่า “จื้อหมิงยังไม่กลับจากทำงานกะดึกเลย คุณก็รู้ว่าในที่สุดเขาก็ได้งานทำ จึงไม่กล้าเกียจคร้าน เมื่อก่อนเขาเคยทำงานได้ดีในโรงงานเครื่องจักร แต่กลับถูกเสิ่นเถี่ยจวินทำให้ตกงานไปด้วย และตอนนี้เขาไม่สามารถลางานโดยกะทันหันได้ หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจนะ”
หลังจากที่แม่ของหลิวจื้อหมิงพูดจบก็กดวางสายทันที
ทางด้านเซี่ยหลานกำโทรศัพท์มือถือในมือไว้แน่น
ในช่วงวิกฤต จึงจะเห็นจิตใจมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
พ่อของเด็กในท้องของเสิ่นอวี้อิ๋งคือใคร? จนถึงขณะนี้เสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่สามารถพูดได้ชัดเจน และการที่แม่หลิวตัดสายทิ้ง เซี่ยหลานก็ไม่กล้าที่จะกดดันตระกูลหลิวมากเกินไป
หากเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของหลิวจื้อหมิง หากโทรเรียกหลิวจื้อหมิงมา และเขาวางแผนที่จะแต่งงานกับเสิ่นอวี้อิ๋งจริงๆ แล้วเมื่อลูกเกิด ความจริงเปิดเผย ครานั้นจะทำอย่างไร?
บางที ถึงแม้จะตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดาเสร็จแล้ว ทั้งยังได้ผลว่าหลิวจื้อหมิงคือพ่อของเด็ก แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันนี้ หลิวจื้อหมิงก็อาจจะไม่รับผิดชอบ
ในเวลานี้ หมอรีบเดินออกไปและพูดกับเซี่ยหลานว่า “ทารกในครรภ์ไม่กลับหัวและมีภาวะคลอดยาก ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวต้องเซ็นชื่อ แล้วพ่อของเด็กอยู่ไหน?”
เซี่ยหลานตกใจมากจนหน้าซีด พูดด้วยเสียงและปากที่สั่นเครือว่า “พ่อของเด็กเสียชีวิตแล้ว ฉันเป็นแม่แท้ๆ ของคนไข้ และฉันสามารถเซ็นชื่อได้”
“คุณจะเซ็นเหรอ?”
เซี่ยหลานรีบพูดว่า “ฉันก็เป็นหมอเหมือนกัน ฉันเข้าใจกฎดีและสามารถเซ็นได้ หากมีปัญหาใดๆ ฉันจะรับผิดชอบเอง คุณได้โปรดพยายามช่วยลูกสาวและหลานของฉันสุดกำลังด้วยนะคะ”
“ได้ พวกเราจะพยายามเต็มที่”
หลังจากที่เซี่ยหลานเซ็นชื่อแล้ว ประตูห้องคลอดก็ถูกปิดลง และหล่อนก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยหัวใจว่างเปล่า
ตอนนี้หล่อนสูญเสียความสามารถในการคิดตามปกติ เพราะหากทารกในครรภ์ไม่กลับหัว ก็หมายความว่าทั้งเด็กและแม่มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในอันตรายสูงมาก
ในเวลานี้เซี่ยหลานงุ่มง่ามสุดๆ ทั้งยังไม่รู้วิธีช่วยเหลือครอบครัวที่แตกสลายนี้อีกต่อไปแล้ว
หล่อนไม่กล้าคิดมากกว่านั้นด้วย ไม่กล้าคิดว่าหากเสิ่นอวี้อิ๋งเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วหล่อนต้องทำอย่างไร?
หล่อนรู้สึกชาไปทั้งกายและใจ
เซี่ยหลานรออยู่นอกห้องคลอดเป็นเวลานานกว่าสามชั่วโมง และในที่สุดนางพยาบาลก็เดินออกมา
นางพยาบาลอุ้มทารกซึ่งถูกห่อไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ย “ได้ลูกสาวนะคะ”
เซี่ยหลานลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเชื่องช้า ไม่แม้แต่จะมองทารก แต่ถามพยาบาลว่า “ลูกสาวของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
นางพยาบาลตอบว่า “แม่ของเด็กอ่อนแอมาก และยังต้องอยู่สังเกตอาการในนั้นก่อน ตอนนี้คุณอุ้มเด็กก่อนได้ค่ะ”
เนื่องจากเซี่ยหลานเป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่นี่ หล่อนจึงต้องรับทารกมาจากนางพยาบาลเท่านั้น
หล่อนเหลือบมองทารกที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมซึ่งมีรูปร่างผอมแห้งเหี่ยวย่น ช่างเป็นทารกที่ประพฤติตัวดีมาก เพราะไม่ร้องไห้หรืองอแงเลย แค่มองหล่อนนิ่งๆ เท่านั้น
เซี่ยหลานมองเด็กในอ้อมแขนของตน ทันใดนั้นหล่อนซึ่งเป็นคนใจแข็งมาโดยตลอด ยังอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
“เด็กน้อยเอ๋ย เธอมาเยือนโลกนี้เพื่อเผชิญความทุกข์แท้ๆ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่เหอทำดีมากค่ะ ในเมื่อระงับไม่ได้ก็หาวิธีที่จะไม่เป็นอันตรายต่อภรรยาและลูกแทน
จะว่าไปก็สงสารเด็กน้อยในท้องยัยอวี้อิ๋งนะ เกิดมาใช้กรรมในครอบครัวที่แตกสลายแท้ๆ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………