ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 577 หากเธอกล้าบีบคอลูกจนตาย ฉันก็กล้าส่งเธอเข้าคุกเหมือนกัน
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 577 หากเธอกล้าบีบคอลูกจนตาย ฉันก็กล้าส่งเธอเข้าคุกเหมือนกัน
ตอนที่ 577 หากเธอกล้าบีบคอลูกจนตาย ฉันก็กล้าส่งเธอเข้าคุกเหมือนกัน
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่นึกว่าเซี่ยหลานจะพูดจาได้ใจดำขนาดนี้โดยไม่คำนึงถึงหล่อนเลยสักนิด หล่อนจึงสูญเสียการควบคุมอารมณ์ และถามเซี่ยหลานอย่างขาดสติว่า
“เซี่ยหลาน คุณใจร้ายกว่าฉันอีก การที่คุณกล้าส่งพวกเราเข้าคุกทีละคนจะมีประโยชน์อะไรต่อตัวเองเหรอ? คุณยังคิดว่าฉันเป็นลูกสาวของคุณอยู่ไหม?”
ดวงตาของเซี่ยหลานเย็นชาเมื่อมองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋ง และแสดงทัศนคติที่เด็ดขาดออกมาผ่านคำพูดว่า “หากเธอกล้าบีบคอลูกจนตาย ฉันก็กล้าส่งเธอเข้าคุกเหมือนกัน”
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่เคยเห็นเซี่ยหลานมีสายตาที่ดุร้ายขนาดนี้มาก่อน และรู้ว่าเซี่ยหลานพูดคำไหนคำนั้นด้วย
ตอนนี้ญาติคนเดียวที่หล่อนสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่เซี่ยหลาน
ถ้าหล่อนทำให้เซี่ยหลานขุ่นเคือง แน่นอนว่าเซี่ยหลานจะต้องส่งหล่อนเข้าคุกโดยไม่ใจอ่อน เพราะเซี่ยหลานคนนี้ปกติไม่ค่อยพูดเอาจริงเอาจัง แต่ในช่วงเวลาวิกฤติ กลับสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด อย่างเช่นการตัดญาติขาดมิตร
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งคิดได้เช่นนี้ หล่อนจึงรีบคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าของเซี่ยหลานและกอดขาของอีกฝ่ายไว้ จากนั้นร้องไห้พลางยอมรับความผิดของตน
“แม่คะ ฉันผิดไปแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเกิดความสับสนจนทำเรื่องบ้าๆ ขึ้นมา ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป? แต่ฉันกลัวว่าหากหล่อนขึ้นชื่อว่าเป็นลูกนอกสมรสแล้วจะทนทุกข์ไปพร้อมกับฉันด้วย หล่อนไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างในชีวิตนี้เลย หล่อนจะต้องถูกตราหน้าด้วยคำนี้ไปชั่วชีวิตและไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาได้ ฉันแค่ไม่อยากให้หล่อนต้องทรมานและไม่อยากให้หล่อนต้องอับอายเพราะฉัน แม่คะ ฉันเจ็บปวดจริงๆ นะ ฉันไม่อยากให้เราแม่ลูกมีชีวิตที่มืดมนแบบนั้นเลย”
แต่เซี่ยหลานสลัดหล่อนออกด้วยความเย็นชา และมองตาหล่อนโดยไม่มีความอบอุ่นในสายตาเลย “เธอไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่เธอต้องจำคำพูดของฉันเอาไว้ ถ้าเด็กคนนี้ตาย เธอจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต และฉันจะไม่มีวันปล่อยไป”
จากนั้นเซี่ยหลานจึงไปผสมนมผง แล้วอุ้มทารกไว้พลางป้อนนม
เมื่อครู่เด็กคงจะกลัวมาก ตอนนี้จึงไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหา มีแค่ท่าทางเฉื่อยชาเท่านั้น
แต่เมื่อเซี่ยหลานป้อนนม หล่อนก็อ้าปากดูดเร็วมาก
นมปริมาณครึ่งขวดจึงหมดในเวลาอันสั้น
เซี่ยหลานมองลงไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขน แล้วทันใดนั้นน้ำตาของหล่อนก็ไหลออกมาโดยไร้การควบคุม
หยดน้ำตาตกกระทบใบหน้าของทารกน้อย
ทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนก็ทำแค่จ้องมองเซี่ยหลานที่กำลังร้องไห้
เซี่ยหลานอุ้มทารกไว้ด้วยความเศร้าโศกมากขึ้นเรื่อยๆ
เวรกรรมอะไรอย่างนี้
แม้ว่าเด็กคนนี้จะถือกำเนิดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครยอมรับและไม่นึกฝัน แต่นี่คือหนึ่งชีวิต และไม่มีทางที่หล่อนจะทนมองเสิ่นอวี้อิ๋งทำตัวโหดเหี้ยมต่อลูกในไส้ได้
เซี่ยหลานมองเด็กในอ้อมแขนอยู่แบบนั้น รู้สึกเศร้าและอารมณ์ซับซ้อนไปหมด จากนั้นก็อดร้องไห้อีกไม่ได้
แต่เมื่อเด็กอยู่ในอ้อมแขนของหล่อนกลับประพฤติตัวดีจนน่าแปลกใจ ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหาเลย หล่อนก็รู้สึกว่ามันผิดปกติจริงๆ
เด็กคนนี้จะมีปัญหาด้านพัฒนาการหรือเปล่า?
เซี่ยหลานจึงตัดสินใจว่ารอกลับถึงเมืองไห่เฉิงแล้วค่อยพาหลานไปตรวจที่โรงพยาบาล
เมื่อป้อนนมให้ทารกเสร็จแล้วจึงวางทารกไว้บนเตียง จากนั้นหันไปเริ่มจุดเตา
เสิ่นอวี้อิ๋งสวมเสื้อบุผ้าฝ้ายเนื้อหนา โพกผ้าไว้บนหัวและพันผ้าพันคอแน่นหนา จากนั้นเดินตามเซี่ยหลานและอ้าปากพูดด้วยความระมัดระวัง
เซี่ยหลานไม่แม้แต่จะหันมามองขณะพูดว่า “ฉันจะตัดสินใจหลังจากตรวจความเป็นพ่อเสร็จแล้ว จะได้รู้ว่าเด็กเป็นลูกของใคร”
หลังจากที่จุดเตาเสร็จแล้ว หล่อนก็หันกลับมาและมองเข้าไปในดวงตาของเสิ่นอวี้อิ๋งพลางถามเสียงเข้ม “เธอบอกฉันหน่อยสิ นอกจากหลิวจื้อหมิงและเจิ้งต้าเฉิง ยังมีใครอีกไหม?”
เสิ่นอวี้อิ๋งโกรธมากจนกัดฟันกรอด “แม่กำลังหมายความว่าไงคะ? เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย?”
เซี่ยหลานมองหล่อนด้วยสายตาเฉยชา แต่คำพูดนั้นมีน้ำเสียงเย้ยหยันชัดเจน “ก็เพราะฉันรู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหนไงล่ะ จึงต้องถามให้ชัดเจน”
ใบหน้าของเสิ่นอวี้อิ๋งถูกไฟโทสะแผดเผา แต่ตอบคำถามของเซี่ยหลานไม่ได้ และรู้ว่าเซี่ยหลานดูถูกหล่อนจากก้นบึ้งหัวใจ
คิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยราวกับน้ำบนดอกหยาง*
(นิสัยราวกับน้ำบนดอกหยาง* หมายถึง หญิงสาวที่มีใจโลเล เหมือนหยดน้ำที่กลิ้งไปกลิ้งมาบนกลีบดอกหยาง)
หล่อนก้มหน้าลง และไม่กล้ามองสบตาเซี่ยหลานโดยตรง ขณะที่ตอบว่า “ไม่มีใครอีกแล้วค่ะ”
เซี่ยหลานตอบกลับทันที “ถ้าเช่นนั้นก็ทำการทดสอบความเป็นพ่อระหว่างหลิวจื้อหมิงกับเด็กคนนี้”
ถ้าไม่ใช่ลูกของหลิวจื้อหมิง ก็หมายความว่าเป็นลูกของเจิ้งต้าเฉิง
เสิ่นอวี้อิ๋งพูดอย่างเฉียบขาด “แม่คะ ไม่ว่าจะเป็นลูกของใครในกลุ่มพวกเขา ฉันก็จะไม่แต่งงานด้วยเด็ดขาด และฉันจะไม่ให้ลูกแก่พวกเขาด้วย”
เพราะถ้ามอบเด็กให้กับบิดาผู้ให้กำเนิดจริงๆ ย่อมหมายความว่าในอนาคตหล่อนจะต้องพัวพันกับเด็กคนนี้และพ่อของเด็กโดยไม่มีสิ้นสุด
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งงาน แต่ชีวิตนับจากนั้นจะต้องข้องเกี่ยวกัน
หล่อนอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปี และปล่อยให้เด็กคนนี้มาทำลายชีวิตไม่ได้
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ คือส่งเด็กไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนหล่อนก็เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง และหากในอนาคตหล่อนไม่สามารถมีลูกได้จริงๆ อีกทั้งไปถึงฝั่งฝันและแข็งแกร่งมากพอ หล่อนก็สามารถรับเด็กกลับมาอยู่ด้วยกันได้
การตัดสินใจดังกล่าวนี้ ตามความคิดของหล่อนแล้วเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย โดยเหลือพื้นที่ให้หลบหนีความจริงได้ด้วย
แต่เซี่ยหลานมีเพียงใบหน้าเย็นชาและไม่พูดอะไร
ทารกน้อยในผ้าห่มลายดอกไม้บนเตียงก็เอียงหน้ามามอง คล้ายกำลังรอคำตอบของเซี่ยหลาน
เสิ่นอวี้อิ๋งจับมุมเสื้อของเซี่ยหลานพลางขอร้องเบาๆ
“แม่คะ ฉันขอร้องล่ะ ไม่มีทางที่หลิวจื้อหมิงจะแต่งงานกับฉันหรอก เพราะตอนนี้เขากลัวจนหลบเลี่ยงครอบครัวของเราไปแล้ว ส่วนเจิ้งต้าเฉิงก็ยังเลี้ยงตัวเองไม่รอด ถ้าฉันแต่งงานกับเขาจริงๆ ก็หมายความว่าชีวิตฉันต้องพังยับเยิน และพวกเราจะอดตายกันหมด”
“หมอไม่ได้พูดไปแล้วเหรอคะแม่? หมอบอกว่าผนังมดลูกของฉันบางมาก อาจไม่เหมาะกับการมีลูกอีกแล้ว ดังนั้นเราจะฝากเด็กไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ปล่อยให้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดูแลก่อนสักสองปี และเมื่อฉันมีงานทำมั่นคงและมีรายได้มากพอ รอให้ฉันรู้สึกดีขึ้นทุกด้าน ฉันจะรับหล่อนกลับมา ซึ่งตอนนี้ฉันคิดว่าวิธีนี้เป็นการดีที่สุดแล้ว”
“แม่คะ แม่เองก็น่าจะเข้าใจดี แม่ควรรู้ว่าชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุขนั้นทั้งเจ็บปวดและทรมานมากเพียงใดสำหรับผู้หญิง ลูกก็เจ็บปวดไม่แพ้กันนั่นแหละ หลิวจื้อหมิงไม่ได้รักฉันเลย เพราะสิ่งที่เขารักคือตัวตนผู้อำนวยการโรงงานของพ่อ ทว่าตอนนี้ครอบครัวเราตกต่ำ แม้ว่าเขาจะต้องรับผิดชอบฉันและลูกแค่ชั่วคราว แต่ฉันก็ไม่อยากเจ็บปวดจากการแต่งงานกับคนที่ไม่รักฉันจริงๆ นะ”
คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งมีความจริงใจและจริงจังมาก อาจกล่าวได้ว่าสัมผัสหัวใจของเซี่ยหลานโดยแรง
หล่อนเองก็ประสบกับการแต่งงานที่ไม่มีความสุข และแน่นอนว่าไม่อยากให้เสิ่นอวี้อิ๋งเจริญรอยตาม
แต่…เซี่ยหลานมองไปที่ทารกบนเตียงแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “การส่งหล่อนไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จะทำให้เด็กน่าสงสารมากนะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งรีบให้คำมั่นสัญญา “แม่คะ หลังจากฉันออกเดือนแล้ว ฉันจะหางานทำ และแอบส่งเงินให้หล่อนด้วย ฉันจะไปเยี่ยมหล่อนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ เมื่อตั้งตัวได้ภายในสองปี ฉันจะไปรับหล่อนกลับมาอยู่ด้วยกันแน่นอน”
ในที่สุดเซี่ยหลานก็ถูกโน้มน้าวได้สำเร็จ “ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับลูกแล้วกัน แต่ตอนนี้ลูกควรอยู่เดือนให้เสร็จก่อน รอกลับไปที่เมืองไห่เฉิงแล้วค่อยว่ากัน”
เพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเสิ่นอวี้อิ๋งนั้นไม่สามารถเลี้ยงเด็กคนนี้ได้จริงๆ
และหากใช้เด็กผูกมัดหลิวจื้อหมิงเอาไว้ ชีวิตคู่แบบนั้นก็จะไม่มีความสุขตลอดไป
หากเด็กคนนี้เป็นลูกของเจิ้งต้าเฉิง การแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ก็จะทำให้เสิ่นอวี้อิ๋งต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน
เมื่อติดอยู่ในการแต่งงานที่ไม่มีความสุข ก็ย่อมไร้ซึ่งอิสรภาพตลอดกาล
แม้ว่าลูกสาวคนนี้จะสารเลวและสร้างแต่ความผิดหวัง ทว่าสุดท้ายแล้วเซี่ยหลานก็คลอดหล่อนออกมา ถึงอย่างไรเซี่ยหลานก็ไม่อยากให้หล่อนมีชีวิตที่ยากลำบากในอนาคต
เซี่ยหลานจึงทำได้เพียงยอมประนีประนอม
เสิ่นอวี้อิ๋งตั้งใจจะทิ้งเด็กไว้ที่เมืองปินเฉิงเพื่อให้เด็กอยู่ห่างจากหล่อนมากที่สุด และไม่มีใครในเมืองไห่เฉิงได้รู้ว่าเด็กคนนี้มีตัวตนอยู่บนโลก
แต่เซี่ยหลานคัดค้านหัวชนฝา โดยบอกว่าต้องการพาเด็กกลับไปที่เมืองไห่เฉิงด้วย และอย่างน้อยก็รอจนกว่าเด็กอายุครบ 1 เดือนจึงจะส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งหล่อนจะหาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใกล้บ้าน เพื่อการดูแลและการไปมาหาสู่ในอนาคตได้ง่ายขึ้น
หล่อนรู้จักนิสัยของเสิ่นอวี้อิ๋งดี หากทิ้งลูกไว้ที่นี่ แล้วจะตามมาดูแลลูกในอนาคตได้อย่างไร?
เพราะการส่งเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งเดือนไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นมีโอกาสรอดชีวิตน้อย
หล่อนบอกให้เสิ่นอวี้อิ๋งพาเด็กไปอยู่เดือนให้เสร็จก่อน ในระหว่างนั้นจะค่อยๆ หาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เหมาะสมก่อนส่งเด็กออกไป
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่สามารถปฏิเสธได้อีก และทำได้เพียงยอมพาเด็กกลับไปที่เมืองไห่เฉิงด้วยกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ทำไงได้ ทางอื่นก็ตันหมดแล้วเหลือแค่ทางนี้ทางเดียว
ไหหม่า(海馬)
……………………………………