ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 579 เรียนเสริมความสามารถพิเศษไม่ดีเท่าเรียนสายอาชีพ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 579 เรียนเสริมความสามารถพิเศษไม่ดีเท่าเรียนสายอาชีพ
ตอนที่ 579 เรียนเสริมความสามารถพิเศษไม่ดีเท่าเรียนสายอาชีพ
เซี่ยหลานยังกลัวว่าในอนาคตเสิ่นอวี้อิ๋งจะใช้ชีวิตประมาทอีก หล่อนจึงอยากให้ลูกสาวตั้งตัวได้โดยเร็วที่สุดและสามารถดูแลตัวเองได้ หากลูกสาวโตเป็นผู้ใหญ่แล้วมีงานทำมั่นคง หล่อนในฐานะแม่ก็ถือว่าทำหน้าที่สำเร็จและไปดูแลเสิ่นอวี้หลงได้เต็มที่
หลังจากที่เสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินคำถามของเซี่ยหลาน หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยหลานพลางถามด้วยความระวัง “แม่คะ ฉันไปเรียนต่อได้ไหม?”
“เรียนต่อเหรอ?” เซี่ยหลานมองหล่อนด้วยความประหลาดใจ และแสดงท่าทางไม่เชื่อถือในคำตอบนี้ของอีกฝ่าย
เพราะคนนิสัยแบบเสิ่นอวี้อิ๋งช่างห่างไกลจากคำว่ากระหายความรู้ไปมากโข
แต่ทำไมยังบอกว่าอยากเรียนต่อ?
หรือว่าหล่อนได้ซึมซับสิ่งดีๆ จากบทเรียนครั้งนี้แล้ว?
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเห็นสีหน้าอึ้งงันของเซี่ยหลาน หล่อนจึงรีบอธิบายว่า “ฉันไม่ได้อยากกลับไปเรียนมัธยมปลายหรอกค่ะ แม่รู้จักพวกโรงเรียนสอนความสามารถพิเศษทำนองนั้นไหม ฉันอยากเรียนเสริมความสามารถพิเศษค่ะ”
หลังได้ยินความคิดของลูกสาว เซี่ยหลานก็ให้คำตอบว่า “เรียนเสริมความสามารถพิเศษไม่ดีเท่าเรียนสายอาชีพหรอกนะ”
“สำหรับลูกแล้ว เรียนสายอาชีพง่ายกว่านะ”
ตอนที่เซี่ยหลานพาเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาเมื่อปีก่อน หล่อนรู้ว่าลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และเวลานั้นก็เต็มไปด้วยความหวังในตัวลูกสาวคนนี้มาก จึงขอให้พ่อช่วยติดต่อผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมอันดับ 1 ของเมืองไห่เฉิง และส่งลูกสาวไปเข้าเรียนซ้ำ
ในเวลานั้นหล่อนรู้สึกว่าลูกสาวแท้ๆ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในความก้าวหน้า ซึ่งแตกต่างกับหลินเซี่ยผู้เกลียดการเรียนโดยสิ้นเชิง ดังนั้นลูกสาวจะมีอนาคตสดใสแน่นอน
ทว่าในเวลาเพียงหนึ่งปีกลับเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
เซี่ยหลานไม่ต้องการเสียเวลาและเงินไปกับเสิ่นอวี้อิ๋งอีกต่อไป หล่อนแค่อยากให้อีกฝ่ายยืนหยัดได้เท่านั้น
รอจนกว่าปัญหาปัจจุบันนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว หล่อนก็ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวคนนี้อีกต่อไป
แต่เห็นได้ชัดว่าเสิ่นอวี้อิ๋งไม่เต็มใจจะเรียนรู้งานสายอาชีพ
เซี่ยหลานจึงถามหล่อนว่า
“ลูกอยากเรียนเป็นช่างตัดเสื้อไหม? หรือไปทำงานที่โรงงานเสื้อผ้าดีล่ะ?”
เสิ่นอวี้อิ๋งแสดงสีหน้าลำบากใจและพูดด้วยความลังเลว่า “ฉันอยากเรียนเต้นรำหรือร้องเพลงมากกว่าค่ะ”
เซี่ยหลานขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจว่า “สิ่งเหล่านั้นต้องใช้พรสวรรค์ และต้องเรียนรู้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ถ้ามาเรียนตอนอายุเท่านี้แล้วก็ไม่ทันใช้”
หล่อนมองลูกสาวและแสดงความคิดของตนออกมา “ความหมายของแม่ก็คือ ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องเรียนต่อ ตอนนี้ภาระของแม่หนักมาก เพราะในปีนี้มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เลยพลอยทำให้เงินเก็บของแม่หมดลงด้วย แม่รับผิดชอบชีวิตของลูกไม่ไหวอีกแล้ว ลูกเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน นับจากนี้ไปจะต้องเลี้ยงดูตัวเองนะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่คิดว่าเซี่ยหลานที่อยู่ต่อหน้าตนจะเด็ดขาดขนาดนี้ แต่หล่อนต้องการเรียนความสามารถพิเศษจริงๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีจริงๆ
หล่อนคิดว่าตัวเองหน้าตาไม่แย่และมีรูปร่างดีด้วย ถ้ามีความสามารถพิเศษเสริมเข้าไปอีก ก็จะสมัครเข้าแข่งขันนางแบบของสถานีโทรทัศน์ในปีหน้าได้
เจียงอวี่เฟยคนนั้นในชาตินี้มีวาสนาได้มาเกิดในครอบครัวที่ดี จึงถูกส่งเข้าโรงเรียนสอนเต้น เข้าร่วมการประกวดนางแบบและได้รับรางวัล หล่อนจึงคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถสร้างรากฐานในวงการบันเทิงได้ และในอนาคตจะใช้ชีวิตหรูหราแน่นอน
ส่วนหล่อนล่ะ? ในอนาคตจะต้องถูกยัดเยียดให้ทำงานในโรงงานเสื้อผ้าและกลายเป็นคนงานหญิงในสายการผลิตน่ะหรือ?
หล่อนไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นเลย
หากหล่อนไม่ได้เข้ามาอยู่ในเมือง หากไม่ได้เห็นนักแสดงเหล่านั้นเจิดจรัสอยู่บนเวที และถ้าเพื่อนบ้านแบบเจียงอวี่เฟยไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนางแบบ
บางทีหล่อนอาจจะไม่มีความคิดเหล่านี้ แต่ในเมื่อรอบตัวหล่อนมีดารานักแสดงอยู่เต็มไปหมด หล่อนจึงรู้สึกว่าวงการนี้อยู่ใกล้ตนมาก ถ้าเจียงอวี่เฟยทำได้ หล่อนก็ต้องทำได้เช่นกัน
หากหล่อนต้องการลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง หล่อนต้องมีชีวิตที่ดีกว่าหลินเซี่ย และเมื่อถึงเวลานั้นจึงจะแก้แค้นได้
ถ้าทำงานในโรงงานเสื้อผ้า ถึงอย่างไรก็ถูกหลินเซี่ยเหยียบย่ำอยู่ดี
เสิ่นอวี้อิ๋งครุ่นคิดในเรื่องนี้ และรู้สึกว่าการเรียนความสามารถพิเศษนั้นใช้เวลาสั้นที่สุด ซึ่งหล่อนสามารถครอบครองชามข้าวเหล็กนี้ได้ด้วยความสวยและรูปร่างของตนเอง
การทำงานเป็นสาวโรงงานในสายการผลิตทุกวันไม่ใช่ชีวิตที่หล่อนปรารถนาเลย เพราะหล่อนมีเป้าหมายและจิตใจทะเยอทะยานมาก หล่อนต้องโดดเด่นในฐานะนักแสดงชั้นนำ และในอนาคตจะต้องเหยียบย่ำหลินเซี่ยไว้ใต้ฝ่าเท้า
แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายและทำตามความฝันได้สำเร็จ ต้องมีการลงทุนก่อน
ซึ่งตอนนี้หล่อนไม่มีเงินเลย ถ้าอยากเรียนความสามารถพิเศษยังจำเป็นต้องพึ่งพาเงินจากเซี่ยหลาน
เสิ่นอวี้อิ๋งจับมือเซี่ยหลานแล้วเอ่ยอย่างชัดเจนและจริงใจ “แม่คะ ฉันจะเลี้ยงดูตัวเองแน่นอน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีงานทำเลย ฉันจะทำยังไงดีล่ะ? โรงงานเสื้อผ้าก็คงไม่อยากได้คนแบบฉันไปทำงานหรอก”
เซี่ยหลานแนะนำว่า “ลูกควรอยู่เดือนที่บ้านให้ดีๆ ก่อนเถอะ ตราบใดที่ลูกเต็มใจจะทำงาน แม่ก็พร้อมช่วยหางานให้เสมอ งานมีให้ทำตั้งมากมายนะ”
ด้วยวุฒิมัธยมปลาย ในยุคนี้ยังหางานทำได้ง่าย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าหล่อนเต็มใจที่จะปล่อยวางหรือเปล่า พร้อมใช้ชีวิตปกติไหม
เสิ่นอวี้อิ๋งรู้ดีว่าการขอให้เซี่ยหลานช่วยจ่ายเงินค่าเรียนความสามารถพิเศษช่างเป็นคำขอที่ไร้น้ำหนักสุดๆ
เซี่ยหลานผละไปทำอาหาร ขณะเสิ่นอวี้อิ๋งนั่งอยู่บนเตียงพลางหรี่ตาใช้ความคิด
หล่อนจะต้องหาวิธีอื่น
เสิ่นอวี้อิ๋งต้องการกลับไปที่บ้านในลานบ้านพักพนักงานโรงงานเครื่องจักร เพราะหล่อนจำได้ว่าเสิ่นเถี่ยจวินเคยซื้อสร้อยคอให้หล่อน ซึ่งดูเหมือนจะมีมูลค่ามาก
ในวันที่ไปเมืองปินเฉิง หล่อนเก็บมันไว้ในลิ้นชักโดยไม่ได้หยิบไปด้วย จึงคิดว่าจะไปเอากลับมาสักวันหนึ่ง
แต่หล่อนกลับได้รับข่าวร้ายจากเซี่ยหลานว่าบ้านในลานบ้านพักพนักงานโรงงานเครื่องจักรหลังนั้นถูกศาลยึดไปแล้ว เนื่องจากเสิ่นเถี่ยจวินมีความผิดฐานทุจริตและติดสินบน ส่งผลให้ทรัพย์สินทั้งหมดในนามของเขาถูกศาลยึดไว้ด้วย
การอยู่เดือนของเสิ่นอวี้อิ๋งที่นี่ ไม่ต่างจากการถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
โทรศัพท์มือถือของหล่อนใช้งานไม่ได้นานแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จ หล่อนจึงพูดกับเซี่ยหลานด้วยท่าทางขอความเห็นใจ “แม่คะ ช่วยจ่ายค่าโทรศัพท์ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
หล่อนต้องการติดต่อกับผู้เฒ่าเสิ่น
เซี่ยหลานไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายเพิ่งมาถึงเมืองไห่เฉิงแล้วจะกระวนกระวายขนาดนี้ จึงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า
“ลูกควรตั้งใจกับการอยู่เดือนก่อน แล้วในอนาคตอย่าเที่ยวคบหรือติดต่อใครไปเรื่อยอีก”
เสิ่นอวี้อิ๋งคิดว่าเซี่ยหลานกำลังเข้าใจผิด เพราะคงคิดว่าหล่อนอยากติดต่อกับหลิวจื้อหมิง จึงรีบอธิบายว่า “อย่าเข้าใจผิดค่ะแม่ ฉันแค่คิดว่าถ้าเปิดโทรศัพท์เอาไว้ พรุ่งนี้แม่ไปทำงาน แล้วถ้ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกับลูก ฉันจะได้ติดต่อแม่ทันทีไงคะ”
แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหลานไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
หล่อนเห็นได้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งเคยประสบกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่กลับไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนใดๆ เลย และหัวใจยังไม่มีความสงบ
ขณะที่เซี่ยหลานพูดกับลูกสาวคนนี้ ในใจก็มีแค่ความผิดหวังและเหนื่อยหน่าย
และอยากอยู่ห่างๆ ด้วย
เซี่ยหลานจึงมองหล่อนและเตือนด้วยสีหน้าเข้มงวดเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ลูกไม่อยากแต่งงานกับหลิวจื้อหมิง และไม่อยากเกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อเจิ้งต้าเฉิงไม่ใช่เหรอ ดังนั้นต่อจากไปนี้อย่าติดต่อพวกเขาอีก หากพวกเขาถาม ก็ให้บอกว่าเด็กตายตั้งแต่แรกคลอด แต่ถ้าลูกยังยืนกรานว่าจะไม่ปรับปรุงตัว และเข้าไปยุ่งกับพวกเขาอีกครั้ง ชั่วชีวิตนี้ก็ดูแลตัวเองแล้วกัน ต่อให้ชื่อเสียงของลูกจะถูกสังคมทำลายจนป่นปี้และถูกคนอื่นรังเกียจ แม่ก็จะไม่ใส่ใจลูกอีกต่อไป และขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่าแม่ทำได้ ที่ผ่านมาแม่ปฏิบัติต่อลูกด้วยความเมตตาและความชอบธรรมทั้งหมดแล้ว เหลือแค่ปล่อยให้ลูกดูแลตัวเองต่อจากนี้ไป”
เสิ่นอวี้อิ๋งรีบพูดว่า “แม่คะ ฉันจำทุกสิ่งที่แม่เตือนได้หมด และฉันจะไม่ติดต่อพวกเขาอีกเด็ดขาด”
“เจิ้งต้าเฉิงไม่ทราบเรื่องการตั้งครรภ์ของฉัน ส่วนครอบครัวของหลิวจื้อหมิง ก็เกรงว่าตอนนี้พวกเขาจะหนีเอาตัวรอดไม่ทันแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตามหาฉัน และฉันจะไม่ตามหาพวกเขาเช่นกัน แม่อย่ากังวลเลยนะ”
ทัศนคติของเสิ่นอวี้อิ๋งดูจริงใจ จนทำให้การแสดงออกของเซี่ยหลานอ่อนลง หล่อนจึงพูดว่า “จากนี้ไปลูกต้องจำไว้ว่าจะต้องใช้ชีวิตให้สงบสุขอีกครั้ง และคนเหล่านั้นมีแต่จะทำลายชีวิตของลูก”
เสิ่นอวี้อิ๋งพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะแม่”
เมื่อเซี่ยหลานออกไปล้างจานนอกห้อง เสิ่นอวี้อิ๋งนั่งอยู่บนเตียงพลางมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานไม่ได้ ทันใดนั้นดวงตาก็หรี่ลงและสีหน้ามืดมนคลุมเครือ
ในที่สุดเซี่ยหลานก็ยอมจ่ายค่าโทรศัพท์ให้เสิ่นอวี้อิ๋ง เพราะหล่อนไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์บ้าน จึงกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับเสิ่นอวี้อิ๋งและลูกในเวลาที่หล่อนไปทำงานในโรงพยาบาล
ดังนั้นหล่อนจึงจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือและเปิดใช้งานให้เสิ่นอวี้อิ๋งอีกครั้ง
หลังจากที่เซี่ยหลานกลับมาทำงานในโรงพยาบาล หล่อนก็เริ่มใช้ชีวิตด้วยการเดินทางไปๆ มาๆ ทั้งสองฝั่ง ในตอนเช้าทำอาหารไว้ให้เสิ่นอวี้อิ๋งแล้วออกไปทำงาน พอกลับมาตอนเย็นก็ต้องซักผ้าอ้อมให้หลานสาว
และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เสิ่นอวี้อิ๋งดูมีความสงบและฟื้นร่างกายได้ดี หล่อนจึงทำอาหารเอง และดูแลลูกโดยการชงนมให้กิน
ในตอนแรกทารกน้อยไม่ยอมให้หล่อนอุ้มเลย และไม่ยอมดื่มนมชงจากหล่อนด้วย ทว่าหลังจากที่เซี่ยหลานกลับไปทำงาน ก็ดูเหมือนว่าเด็กจะเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ จึงเริ่มดื่มนมชงฝีมือเสิ่นอวี้อิ๋ง และให้ด้วยความร่วมมือโดยไม่ร้องไห้งอแง เมื่ออิ่มแล้วก็ผล็อยหลับไป
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเห็นว่าเด็กมีความประพฤติดีและดูแลง่าย สายตาที่หล่อนใช้มองเด็กน้อยจึงค่อยๆ อ่อนโยนลงด้วย
แต่การเชื่อฟังนี้ไม่ได้ทำให้หล่อนเปลี่ยนการตัดสินใจที่จะส่งเด็กไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เลย
ไม่มีความลังเลใจเลยด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หาเงินเลี้ยงตัวเองกับลูกให้ได้ก่อนเถอะอวี้อิ๋ง เซี่ยเซี่ยกับอวี่เฟยนำหน้าไปไกลแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……………………………………