ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 584 แบล็กเมล์
ตอนที่ 584 แบล็กเมล์
แม่ของหลิวจื้อหมิงหรือจะเต็มใจรับเด็กไปอยู่ในความดูแล หล่อนพูดด้วยความโกรธว่า “จะเป็นไปได้ยังไง? เธอเป็นคนคลอดออกมาแท้ ๆ เรื่องอะไรเราถึงต้องรับเด็กไปเลี้ยง? เด็กอยู่กับแม่มันก็ดีอยู่แล้ว ถ้าเอาไปแล้วเด็กมันจะอยู่กับใคร? บ้านเราวุ่นวายจะตายชัก การเงินก็แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง ถ้าฉันเอาเด็กไป พวกเราคงกลายเป็นตัวตลกกันไปหมด”
หล่อนมองดูเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยสายตาดูถูก ถ้าผู้หญิงสำส่อนคนนี้ไม่ได้คบหากับลูกชายของตนตั้งแต่แรก เขาจะมีส่วนเข้าไปพัวพันกับคดีความไหม?
“หมายความว่า พวกคุณจะไม่รับผิดชอบเด็กสินะคะ?” เสิ่นอวี้อิ๋งลุกขึ้นยืน แกล้งทำเป็นอุ้มเด็กขึ้นมาแนบอก “ถ้าอย่างนั้นฉันคงทำได้แค่อุ้มเด็กคนนี้ออกไปดักรอหน้าที่ทำงานของหลิวจื้อหมิงเพื่อตามหาเขา แล้วฉันจะถามเขาเป็นการส่วนตัวว่าเขาตัดใจทิ้งพวกเราสองแม่ลูกได้จริงเหรอ”
“อวี้อิ๋ง อย่าทำอะไรแบบนั้นเชียวนะ” แม่หลิวรีบหยุดหล่อนไว้ จากนั้นก็หยิบซองจดหมายปึกหนาออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้หล่อนพลางพูดอย่างอดทน “นี่เงินห้าร้อยหยวน ตอนแรกจะเก็บไว้เป็นสินเดิมให้ลี่ลี่ เธอเอาเงินนี้ไปก่อนแล้วกัน เก็บไว้ซื้อนมผงให้ลูก”
ดวงตาของเสิ่นอวี้อิ๋งจ้องมองไปยังซองจดหมายที่บรรจุเงินไว้ภายใน จากนั้นก็ยกริมฝีปากขึ้นแล้วถามว่า “ห้าร้อยหยวนนี่เป็นค่านมผงสำหรับแต่ละเดือน? หรือครั้งนี้ครั้งเดียวคะ?”
หลิวลี่ลี่โพล่งขึ้นจากด้านข้างด้วยความโกรธ “ของแต่ละเดือนเหรอ? เธอนี่มันได้คืบจะเอาศอกจริง ๆ!”
ตอนแรกหลิวลี่ลี่ก็ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเมื่อเห็นแม่หลิวยกเงินสินเดิมของหล่อนให้เสิ่นอวี้อิ๋ง หลังจากได้ยินสิ่งที่เสิ่นอวี้อิ๋งพูด หล่อนก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่
เสิ่นอวี้อิ๋งมองดูพวกหล่อนและเยาะเย้ย “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพวกคุณให้เงินฉันแค่ห้าร้อยหยวนแล้วจบ จากนี้จะไม่สนใจมาดูดำดูดีเด็กอีกใช่ไหม? ความคิดเข้าท่าดีนี่? งั้นฉันจ่ายเงินให้พวกคุณห้าร้อยหยวนบ้าง แล้วยกเด็กให้พวกคุณเอาไปเลี้ยงกันเองดีไหมล่ะ?”
แม่หลิวได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่หยุดโยนภาระไปให้พวกตน หล่อนก็ยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด และรีบพูดว่า “อวี้อิ๋ง ตอนนี้ครอบครัวเราก็เดือดร้อนเหมือนกัน เราหาเงินมาให้เธอมากกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ หลิวจื้อหมิงถูกควบคุมตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้บ้านเราสูญเสียรายได้ไปมาก เงินที่มีอยู่น้อยนิดก็ใช้จ่ายออกไปเกือบหมด โดยรวมมีแต่รายจ่ายไม่มีรายได้เข้ามาเลย แทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้ออยู่แล้ว”
เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นคนประเภทที่ดูถูกคนยากจนและรักคนรวย แม่หลิวรู้เรื่องนี้ดีจึงหยิบยกเหตุผลสารพันมาอ้าง เพื่อที่เสิ่นอวี้อิ๋งจะได้ล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับหลิวจื้อหมิง เมื่อได้ยินหล่อนคร่ำครวญเกี่ยวกับความอัตคัตขัดสน
นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีที่บ้านต้องเผชิญกับปัญหามากมาย พวกเขามีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
เสิ่นอวี้อิ๋งหยิบซองจดหมายที่แม่หลิวมอบให้ ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “งั้นพวกคุณวางแผนไว้ยังไง? จะทำยังไงกับเด็กคนนี้?”
แม่ของหลิวจื้อหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองดูหล่อนแล้วพูดว่า “เราคิดว่า ในเมื่อเธอไม่อยากเลี้ยงดูเขาจริง ๆ ทำไมไม่ทิ้งเขาไปเสียล่ะ? เธอยังเด็กอยู่ ไม่ควรปล่อยให้เด็กมาถ่วงความก้าวหน้าในชีวิต วัยของเธอยังไม่เหมาะที่จะแต่งงานหรอก กลับไปทำตามแผนที่เธอเคยบอกว่าจะกลับมาเรียนต่อวิทยาลัยหลังจากคลอดลูก เล่าเรียนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในอนาคตถ้าเธอกับจื้อหมิงถูกลิขิตให้อยู่ด้วยกันจริง ค่อยกลับมาคบกันก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่มีวาสนา บางทีอาจเจอผู้ชายที่ดีกว่าเขา”
บอกได้ว่าแม่ของหลิวจื้อหมิงเป็นคนโหดเหี้ยมมาก ลูกชายของหล่อนถีบตัวเองจากเด็กบ้านนอกจนกลายเป็นผู้เป็นคนได้ถึงจุดนี้ ก็เพราะแม่อย่างหล่อนช่วยส่งเสริม
เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นอวี้อิ๋ง ต่อให้ตายหล่อนก็จะไม่พูดอะไร จะให้เกียรติลูกชายเสมอ
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่ต้องการเลี้ยงดูเด็กคนนี้ ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่อยากรับไปเลี้ยงดูเหมือนกัน ดังนั้นการส่งเด็กออกไปเป็นลูกของคนอื่นอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“ทิ้งไปเหรอ?” เสิ่นอวี้อิ๋งแสร้งทำเป็นตกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “คุณจะให้ฉันยกลูกตัวเองให้คนอื่นงั้นเหรอ? ทำไมถึงได้ใจจืดใจดำกันขนาดนี้?”
แม่หลิวโต้กลับ “ถ้าไม่ยกให้คนอื่น เธอจะเลี้ยงเองหรือไง?”
หล่อนมองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋งและพูดว่า “คนอย่างเธอไม่มีทางเลี้ยงเด็กไว้เองแน่ ลำพังสุขภาพฉันไม่สู้ดีนัก อีกอย่างคือไม่มีปัญญาเลี้ยงด้วย นั่นคือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจในครั้งนี้ ถ้าเธอกลัวว่าจะหาครอบครัวที่น่าเชื่อถือไม่ได้ ฉันจะหาให้ ไม่มีวันปล่อยให้เด็กต้องทนทุกข์ทรมานหรอก”
“ไม่จำเป็น”
เสิ่นอวี้อิ๋งปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก้มมองเด็กด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความรักและกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ฉันไม่ยอมปล่อยลูกฉันไปเป็นของคนอื่นแน่ ถ้าพวกคุณให้เงินค่าเลี้ยงดูฉันสักสองพันหยวน เด็กคนนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกคุณตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะดูแลเขาด้วยตัวเอง”
“เธอเนี่ยนะจะเลี้ยงเอง?” หลิวลี่ลี่มองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของหล่อน หล่อนเป็นแค่เด็กสาว จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองได้อย่างไร?
แค่โดนคนอื่นพูดกระทบกระเทือนจิตใจหน่อยก็ตีโพยตีพายแย่แล้ว
ตระกูลเซี่ยล่ะ จะทนความอัปยศอดสูของหล่อนได้เหรอ?
เสิ่นอวี้อิ๋งยังคงบีบน้ำตาให้ไหลออกมาจากหางตา “ฉันเป็นแม่ จะยอมยกลูกที่ฉันคลอดมาเองให้คนอื่นได้ยังไง? ครอบครัวพวกคุณโหดร้ายจริง ๆ พวกคุณมันไม่ใช่มนุษย์”
หล่อนร้องขอโดยตรง “ขอเงินอีกสองพันหยวนให้ฉันเถอะ แล้วฉันจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง จากนี้ไปฉันจะไม่ติดต่อหรือพยายามเกี่ยวข้องกับครอบครัวพวกคุณอีก จะให้เขียนเอกสารลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้”
เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปแม่หลิวและหลิวลี่ลี่ด้วยสายตาเศร้าหมองระคนผิดหวัง
แม่หลิวรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ในฐานะแม่คนเหมือนกัน หล่อนย่อมเชื่อในตัวเสิ่นอวี้อิ๋ง
ลูกที่อุ้มท้องและคลอดออกมาเอง ไม่ว่ายังไงก็ตามคนเป็นแม่หรือจะยอมยกให้คนอื่น สายสัมพันธ์แม่ลูกไม่มีวันตัดขาด
หรือยอมจ่ายสองพันหยวนให้มันจบ ๆ ดี…
แต่สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเขาคิดไม่ตกจริง ๆ ว่าจะไปหาจากไหน
งานปัจจุบันของหลิวจื้อหมิงได้มาเพราะเส้นสาย ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการอัดฉีด
เงินเพียงก้อนเดียวที่ทั้งครอบครัวมี คือสินเดิมที่ทุกคนเก็บไว้ให้หลิวลี่ลี่ ซึ่งไม่ถึงสองพันหยวนที่ว่า
เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเห็นว่าพวกหล่อนเงียบไป หล่อนก็เยาะเย้ยว่า “ฉันอยากรู้นักว่าหลิวจื้อหมิงลังเลที่จะจ่ายเงินสองพันหยวนให้กับลูกสาวของตัวเองหรือเปล่า?”
เสิ่นอวี้อิ๋งตบซองจดหมายลงบนโต๊ะโดยตรง “ฉันไม่ต้องการเงินจากพวกคุณอีกต่อไปแล้ว ฉันจะออกไปหาหลิวจื้อหมิงตอนนี้พร้อมกับลูกสาวในอ้อมแขนนี่แหละ”
ว่าแล้วเสิ่นอวี้อิ๋งก็แกล้งทำเป็นอุ้มเด็กกระชับแน่น
“ไม่ได้นะ อวี้อิ๋ง เดี๋ยวก่อน” แม่หลิวรีบหยุดหล่อนไว้อีกครั้ง
ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งไปที่หน่วยงานเพื่อตามหาหลิวจื้อหมิงในตอนนี้ จะทำให้การใหญ่พังไม่เป็นท่า
หลิวจื้อหมิงบังเอิญเพิ่งออกเดตกับใครสักคนเมื่อเร็ว ๆ นี้ อีกฝ่ายมีฐานะเป็นหัวหน้างานของเขา แถมยังเป็นหญิงม่าย ถึงฝ่ายนั้นจะแก่กว่าเขาหลายปี แต่หล่อนก็ดูชอบหลิวจื้อหมิงมาก เจ้าของโรงงานก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของหล่อน ตราบใดที่หลิวจื้อหมิงได้แต่งงานกับหล่อนจริง ๆ เขาอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการ
แต่ถ้าจู่ ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งไปปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนโดยอุ้มลูกอยู่ในอ้อมแขน ลูกชายหล่อนคงสูญเสียโอกาสทองไปอีกครั้ง
ขณะที่พวกหล่อนกำลังต่อรองเรื่องเงิน เด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงดูเหมือนจะทนฟังไม่ได้อีกต่อไป ทันใดนั้นก็เริ่มร้องไห้กระจองอแง
เพียงแต่การร้องไห้ของเด็กคนนี้ไม่มีน้ำตา มีแต่เสียงหวีด ฟังดูแปลกมาก
เสิ่นอวี้อิ๋งเห็นเด็กร้องไห้จึงรีบอุ้มหล่อนขึ้นมาแนบอก
ทารกน้อยจะร้องไห้หนักข้อขึ้นทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมแขนของหล่อน และพยายามดิ้นรนไม่ยอมให้สัมผัส
โดยปกติแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งจะโยนเด็กลงบนเตียงทันทีที่หล่อนร้องไห้ แต่วันนี้หล่อนรู้สึกว่าจังหวะการร้องไห้แหกปากของลูกสาวช่างพอเหมาะพอเจาะ
หล่อนอุ้มเด็กแล้วเดินไปหาแม่หลิว ร้องห่มร้องไห้อีกครั้ง “ดูสิลูกรัก คนเหล่านี้เป็นคุณย่ากับคุณอาของหนูนะ พวกหล่อนไม่อยากเลี้ยงหลาน พ่อแท้ ๆ ของหนูก็ไม่ต้องการหนูเหมือนกัน ช่างเป็นเด็กที่อาภัพอะไรอย่างนี้ ลูกรัก หนูลืมตาขึ้นบนโลกนี้เพื่อเผชิญความทุกข์แท้ ๆ ถ้าแม่รู้แต่แรก คงไม่ปล่อยให้หนูเกิดมา ฮือๆๆ”
ทักษะการแสดงของเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่ในระดับมืออาชีพ หล่อนหลั่งน้ำตาเหมือนสั่งได้ทันทีที่พูดอย่างนั้น ไม่ทันสังเกตเลยว่าทารกในอ้อมแขนได้กลอกตาและหยุดร้องไห้ทันทีทันใด
“แม่ ดูตาเด็กคนนี้สิ”
หลิวลี่ลี่สังเกตเห็นว่าดวงตาของเด็กกลอกไปมา หล่อนไพล่คิดไปว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็กแน่ จึงรีบดึงแม่ของตนเข้ามาใกล้ และเตือนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ เด็กคนนี้ดูท่าทางน่าจะไม่ปกติ แม่ต้องไม่พาหล่อนกลับไปนะ”
แม่หลิวมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกอึดอัดใจมาก สุดท้ายแล้ว ลูกชายของหล่อนก็ก่อเรื่องร้าย ๆ เอาไว้เองจริง ๆ จึงได้แต่กัดฟันยอมรับ “ช่างเถอะ เรามาหาทางแก้ไขกันดีกว่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอวี้อิ๋งก็วางเด็กลงทันที หยิบซองจดหมายบนโต๊ะขึ้นมา “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นช่วยรีบหน่อยนะ ฉันต้องไปหาเช่าบ้าน นมผงของเด็กหมดเกลี้ยงแล้ว สองสามวันก่อนฉันก็เพิ่งพักรักษาตัวในโรงพยาบาล อาศัยแม่ช่วยจ่ายให้ ตอนนี้หล่อนไม่มีเงินมาปรนเปรอฉันอีกแล้ว เราสองแม่ลูกใกล้จะอดตายเต็มทน”
หลิวลี่ลี่เดินไปที่เตียงเปล มองดูเด็กน้อยซึ่งนอนอยู่ที่นั่น พยายามดูว่าดวงตาของหล่อนมีอะไรผิดปกติจริงหรือเมื่อกี้ตัวเองแค่ตาฝาด หล่อนมองดูเด็กน้อย สังเกตอยู่นานก็เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แถมเด็กคนนี้ยังหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มมาก
หล่อนอดไม่ได้ที่จะหยอกล้ออีกฝ่าย แต่เด็กน้อยกลับหลับตาลงทันทีพร้อมกับส่งเสียงขู่ แถมยังดิ้นรนจนมือและเท้าเล็ก ๆ สะเปะสะปะ ราวกับต่อต้านการเข้าใกล้ของหลิวลิลี่ในลักษณะนี้
หลิวลี่ลี่ไม่มีความอดทนมากนัก เมื่อเด็กเริ่มร้องไห้งอแง หล่อนก็ถอยห่างออกไปอย่างฉุนเฉียว ตั้งท่าจะออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
เมื่อแม่หลิวได้ยินเด็กแผดเสียงร้องไห้ ความลำบากใจก็ยิ่งเพิ่มพูน
ถ้าเด็กคนนี้เป็นผู้ชาย หล่อนคงมีความคิดจะพาเขากลับไปเลี้ยงดูอยู่หรอก แต่เด็กคนนี้เป็นผู้หญิง การพากลับไปการเลี้ยงดูในภายภาคหน้าคงสูญเปล่า
หล่อนทำได้เพียงตอบตกลงว่าจะกลับไปหาเงิน
“ถ้าฉันไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูบุตรภายในสามวัน ฉันจะไปที่ทำงานของหลิวจื้อหมิงเพื่อตามหาหัวหน้างานของเขา เพื่อลูกแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเสีย”
เสิ่นอวี้อิ๋งดูเหมือนเป็นแม่ที่เข็มแข็งยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกเมื่อตัวเองไม่มีทางเลือก
“พวกเราจะลองกลับไปปรึกษากันดู”
ทันทีที่แม่หลิวและหลิวลี่ลี่จากไป เสิ่นอวี้อิ๋งก็โยนเด็กลงบนเตียง เริ่มหยิบเงินในซองออกมาแล้วทำการนับ
พอดีเป๊ะกับค่าเล่าเรียนเลย!
เด็กบนเตียงมองตรงไปที่ผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังนับเงินด้วยสายตาเย็นชา ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นเพียงเด็กทารกไร้เดียงสาเลย
เสิ่นอวี้อิ๋งซ่อนเงินห้าร้อยหยวนไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเองในตู้เสื้อผ้า
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หรือว่ายัยเด็กปีศาจในชาติก่อนจะกลับชาติมาเกิดเหมือนกับเซี่ยเซี่ยเพื่อไถ่โทษกันนะ ดูมีความคิดเกินเด็กทารกไปมาก
ไหหม่า(海馬)
……………………………………