ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 587 ตกหลุมพราง
ตอนที่ 587 ตกหลุมพราง
หลังจากที่เสิ่นอวี้อิ๋งค้นพบว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ หล่อนก็ไม่กล้าสัมผัสตัวลูกสาวอีกต่อไป
หล่อนยืนอยู่หน้าเปล พยายามคุยกับทารกเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของหล่อน แต่ในขณะนี้ดวงตาของเด็กน้อยกลับปิดลงอีกครั้ง และนอนหลับฝันหวาน
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่มีความอดทนพอที่จะเฝ้าสังเกตว่าลูกสาวแค่ประหลาดหรือมีความผิดปกติ ถ้าครอบครัวหลิวจ่ายเงินให้หล่อนสองพันหยวนตามสัญญาเมื่อใด หล่อนจะส่งเด็กออกไปทันที
ดังนั้น เสิ่นอวี้อิ๋งจึงโทรไปที่บ้านตระกูลหลิวอีกครั้ง
ถามพวกเขาว่าจะนำเงินมาให้เมื่อใด?
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมพูดโกหก บอกว่าถ้าได้เงินแล้วจะออกไปจากไห่เฉิง เปลี่ยนสถานที่ ใช้ชีวิตแบบไม่เปิดเผยตัวตน และจะไม่กลับมาเหยียบไห่เฉิงอีก
เมื่อแม่ของหลิวจื้อหมิงได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งกำลังจะออกจากไห่เฉิง หล่อนก็ถามยืนยันทันควัน “เธอพูดจริงหรือเปล่า?”
“ฉันจะโกหกไปเพื่ออะไรล่ะ? รีบให้เงินสนับสนุนค่าครองชีพเด็กเถอะค่ะ พวกเราสองแม่ลูกจะได้ย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ไกลผู้ไกลคนสักที”
น้ำเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งหนักแน่น แม่หลิวจึงสัญญาทันที “ภายในพรุ่งนี้ฉันจะเอาไปให้นะ”
…
หลินเซี่ยออกไปที่ร้านเจ้าสาวแสนสวยในตอนเช้า พร้อมกันนั้นหยางหงเสียก็พูดขึ้นอย่างมีความสุข “พี่สะใภ้ ฉันมีข่าวดีจะบอกด้วยแหละค่ะ”
หลินเซี่ยถามยิ้ม ๆ “ข่าวดีอะไรเหรอ?”
หลินเยี่ยนชิงตอบก่อน “พี่สาว ช่วงนี้มีคนโทรมาถามเกี่ยวกับคลาสฝึกอบรมเยอะมาก ฉันแจ้งทุกคนไปแล้วว่าให้มาติดต่อลงทะเบียนเรียนในวันจันทร์หน้า”
หยางหงเสียพูดเสริมอย่างมีความสุขอีกครั้ง “เมื่อวานมีคนโทรหาฉันอีกคนหนึ่ง บอกว่าจะพาเพื่อนมาเรียนกับเรารวมทั้งหมดสามคน นับจำนวนแล้วพบว่าตอนนี้มีผู้ลงทะเบียนเรียนทั้งหมดสิบสองคนค่ะ”
เนื่องจากหลินเซี่ยกำลังตั้งครรภ์ ทำให้เธอกลัวว่าถ้าทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองไว้ จะมัวพะวงเรื่องรับสายจนไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ถ้าต้องรับคำปรึกษาโดยไม่มีกำหนดเวลา ดังนั้นจึงทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของร้านไว้แทน
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินอย่างนั้น เธอก็มีความสุขมากเช่นกัน “จริงเหรอ? โฆษณานี้เพิ่งลงประกาศไปแค่สามวันเองนะ มีคนติดต่อลงทะเบียนเรียนสิบสองคนเชียว?”
พอลองคำนวณดู เมื่อชั้นเรียนฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้นในปีหน้า เธอจะสามารถรับสมัครนักเรียนได้หลายสิบคนไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ในช่วงไตรมาสแรกสามารถรับสมัครได้หลายสิบคน ในช่วงต่อ ๆ ไป เมื่อชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับแล้ว ชั้นเรียนฝึกอบรมจะค่อย ๆ ขยายตัว และพัฒนาเป็นโรงเรียนส่งเสริมอาชีพด้านความงามและการเสริมสวย
เธอจำได้ว่าหลังทศวรรษ 1990 โรงเรียนส่งเสริมอาชีพได้ถือกำเนิดขึ้นทีละแห่ง ภายในเมืองเดียวมีโรงเรียนประเภทเดียวกันหลายที่
ทันทีที่โฆษณาออกไปแล้วได้รับการตอบรับที่ดี ความมั่นใจของหลินเซี่ยก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“ดีเลย วันจันทร์หน้าเราจะไปที่อาคารที่ใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมกัน ฉันจะให้คนช่วยย้ายโต๊ะกับเก้าอี้เข้าไปในวันพรุ่งนี้เลย”
หลินเซี่ยอารมณ์ดี พูดกับหยางหงเสียและหลินเยี่ยนว่า “วันนี้เลิกงานเร็วหน่อย ไปหาชุนฟางกับอาจารย์หวังแล้วเฉลิมฉลองความสำเร็จกัน”
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” หยางหงเสียและหลินเยี่ยนมีความสุขมากหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย
หยางหงเสียและหลินเยี่ยนรีบเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าอย่างรวดเร็ว ปิดประตูร้าน จากนั้นเดินตามหลินเซี่ยไปที่ร้านตัดผม
มีลุงสองคนรอตัดผมอยู่ในร้านก่อนแล้ว ทั้งคู่ต่างก็เป็นลูกค้าขาประจำของอาจารย์หวัง
อาจารย์หวังบอกให้สาว ๆ ออกไปสนุกสนานกันให้เต็มที่ เขาจะอยู่เฝ้าร้านเอง
หลินเซี่ยบอกว่า
“ค่ะ อาจารย์หวัง หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จเราจะไปร้องคาราโอเกะกันในร้านของอารอง ถ้าคุณว่างแล้วอย่าลืมตามมาสมทบกับพวกเรานะคะ”
อาจารย์หวังทำงานยุ่งมือเป็นระวิง ถึงอย่างนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันร้องเพลงไม่เป็น อีกอย่างฉันต้องกลับไปสอนการบ้านลูก ๆ หลังเลิกงานด้วย เห็นทีคงไปไม่ได้ สาว ๆ ทั้งหลายร้องเพลงกันให้สนุกแล้วกัน”
ชุนฟางหัวเราะและพูดติดตลกจากด้านข้างว่า “อาจารย์หวัง คุณเป็นสุดยอดสามีจริง ๆ เลย ป้าสะใภ้โชคดีมาก”
อาจารย์หวังยิ้มและพูดว่า “จินซานก็ไม่เลว เธอเองก็โชคดีเหมือนกัน”
คำพูดของเขาทำให้ชุนฟางหน้าแดงด้วยความเขินอาย
หลินเซี่ยกล่าวเสริมทันที “ใช่แล้ว ชุนฟาง พี่ชายของฉันไม่เลวเลยนะ เขาเอาข้าวมาส่งให้เธอทุกวัน ช่างมีน้ำใจซะจริง ๆ”
ชุนฟางถูกพวกเขาล้อเลียนอย่างนั้นก็เริ่มวางตัวไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม หล่อนกลับรู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อยในใจ หลินจินซานเป็นคนดีจริง ๆ
พูดได้เลยว่าเขาเป็นคนดีและมีน้ำใจมาก
สถานการณ์ด้านครอบครัวของเขาก็ดีมากในทุก ๆ ด้านเช่นกัน สมาชิกในครอบครัวมีนิสัยถ่อมตัว ติดดิน และมีความรับผิดชอบ หลินจินซานเองก็ขยันขันแข็งในการดูแลครอบครัวของเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผ่านมานานแล้ว เขากลับไม่ได้ชี้แจงสถานะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกับหล่อนอย่างชัดเจน หน้าต่างกระดาษไม่เคยถูกเจาะ นานเข้าชุนฟางก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นคง
เมื่อคนสองคนไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่นเอาได้
ในใจของหล่อน ชายและหญิงควรหมั้นหมายกันจึงจะถือเป็นคู่ครองที่แท้จริง เนื่องจากพ่อแม่ของพวกเขาเห็นด้วย
“ไปเถอะ กินข้าวมื้อเย็นที่บ้านพ่อแม่ฉันกันก่อน”
เมื่อเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเห็นหลินเซี่ยมาที่ร้าน พวกเขาก็รีบวางทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ เข้าไปถามไถ่ว่าเธออยากกินอะไรเป็นพิเศษ
หลินเยี่ยนเดินอ้อมไปหลังร้าน ทำหน้ามุ่ยและแสร้งทำเป็นอิจฉา “ลุงเซี่ย แม่ พวกคุณสนใจแค่พี่สาว ไม่เห็นจะถามเราสามคนเลยว่าอยากกินอะไรไหม”
หลิวกุ้ยอิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาวของลูกท้องอยู่ เราเลยต้องดูแลหล่อนหน่อยน่ะ”
ตั้งแต่หลินเยี่ยนได้กลายเป็นผู้จัดการประจำร้านแต่งหน้าและเช่าชุดเจ้าสาว หล่อนก็กลายเป็นคนร่าเริงและมีความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป การหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับตระกูลเซี่ยก็มีช่องว่างน้อยลง
เซี่ยเหลยกลัวว่าหลินเยี่ยนอาจน้อยใจจริง ๆ จึงรีบถามพวกเธอว่า “เสี่ยวเยี่ยน หงเสีย ชุนฟาง อยากกินอะไรกันบ้าง? ถ้าอยากกินอะไร เดี๋ยวลุงจะทำให้เลย”
“พวกเรากินแบบเดียวกับเซี่ยเซี่ยดีกว่าค่ะ”
ว่าแล้วสาว ๆ ทั้งสามก็มองไปที่หลินเซี่ย
หลินเซี่ยบอกว่า “งั้นเรามากินบะหมี่กันเถอะ”
“ได้ พวกเธอนั่งรอสักพักนะ เดี๋ยวเราทำให้”
ระหว่างรอบะหมี่ปรุงสุก หลินเซี่ยก็ข้ามฝั่งไปที่ห้องเต้นรำเพื่อจองห้องส่วนตัวสำหรับร้องคาราโอเกะ
ในร้านของเซี่ยไห่มีห้องส่วนตัวเพียงไม่กี่ห้องและมักถูกจองเต็มทุกคืน ถ้าไม่รีบมาจับจองไว้ตั้งแต่หัววัน ตกตอนกลางคืนห้องส่วนตัวอาจไม่เหลือ
เซี่ยไห่ได้ยินว่าหลินเซี่ยต้องการจองห้องส่วนตัว จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย อยากร้องคาราโอเกะเหรอ มันจะกระทบกระเทือนเด็กในท้องหรือเปล่า?”
“ลูกฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้น การเสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กก่อนคลอดสำคัญมาก ถ้าเขาฟังเพลงตั้งแต่อยู่ในท้อง โตขึ้นเขาอาจกลายเป็นนักร้องก็ได้”
“ได้ งั้นฉันจะจองห้องที่ใหญ่ที่สุดให้พวกเธอ”
หลินเซี่ยต้องการจ่ายเงิน แต่ก็ถูกเซี่ยไห่ดุกลับมา
หลังจากที่หลินเซี่ยจองห้องส่วนตัวแล้ว เธอก็กลับไปที่ร้านอาหาร บะหมี่ตุ๋นถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว หลังจากที่ทั้งสี่สาวกินบะหมี่เสร็จ พวกเธอก็ไปที่ห้องเต้นรำและขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
แม้ว่าห้องเต้นรำของเซี่ยไห่จะอยู่ติดกันกับร้านตัดผม แต่ไม่มีใครเคยเข้ามาเที่ยวสนุกที่นี่อย่างจริงจังเลยสักครั้ง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเต้นไม่เป็น อีกส่วนคือไม่เคยร้องเพลงด้วย
นี่เป็นครั้งแรกของหยางหงเสียที่ได้มาในสถานที่แบบนี้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยแสงสีสดใสสว่างเจิดจ้า มองไปทางไหนก็แสบตาไปหมด
ขณะเดียวกันหล่อนก็รู้สึกกังวลมาก เพราะตระกูลเฉินเป็นครอบครัวที่เข้มงวดมาก ปู่และพ่อสามีจะดุหล่อนไหมที่เข้ามาเที่ยวเล่นในสถานที่แบบนี้?
หยางหงเสียเดินตามเข้าไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยเป็นฝ่ายขอเพลง หล่อนก็ปรับความคิดของตัวเองเสียใหม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าโดนด่าจริง ๆ คนที่โดนคงไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียว
ลู่เจิ้งอวี่ต้อนรับขับสู้พวกเธอเป็นอย่างดี และยังเสิร์ฟเครื่องดื่มกับเมล็ดแตงโมให้เป็นการส่วนตัวด้วย
“ยกเว้นพี่สะใภ้เซี่ยเซี่ยแล้ว มีใครดื่มเบียร์บ้างไหมครับ?” ลู่เจิ้งอวี่ถามหลินเยี่ยนและคนอื่น ๆ
หยางหงเสียส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ฉันว่าไม่ดื่มดีกว่าค่ะ”
“ฉันก็ไม่ดื่มเหมือนกัน” ชุนฟางตอบ
ลู่เจิ้งอวี่มองไปที่หลินเยี่ยน แสงในดวงตาของเขาอ่อนลง “เสี่ยวเยี่ยนก็ไม่ดื่มเหมือนกันใช่ไหม?”
ถึงแม้มันจะเป็นคำถาม แต่กำหนดคำตอบไว้ตายตัวอยู่แล้ว
“ไม่ดื่มค่ะ”
ลู่เจิ้งอวี่ตั้งค่าเครื่องเล่น VCD ให้พวกเธอ เลือกแผ่นดิสก์เพลงตามคำขอของหลินเซี่ย หลังจากปรับไมโครโฟนทั้งหมดแล้ว เขาก็ส่งต่อทุกอย่างให้หลินเซี่ย
“ผู้จัดการลู่ กลับไปทำงานของคุณต่อได้เลย พวกเราจะจัดการที่เหลือเอง”
“ครับ พี่สะใภ้ ถ้าต้องการอะไรเรียกผมได้เลย”
ลู่เจิ่งอวี่เพิ่งลงไปชั้นล่าง บังเอิญสวนทางกับหลินจินซานที่กำลังจะมาเข้างานพอดี
หลินจินซานเดินเข้ามาพร้อมกับพาดเสื้อแจ็กเก็ตหนังไว้บนไหล่ ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เมื่อเขาเห็นลู่เจิ่งอวี่เดินลงมาชั้นล่างพร้อมถาดในมือ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ข้างบนมีลูกค้าคนพิเศษมาเหรอ? ผู้จัดการลู่ถึงได้ขึ้นไปให้บริการด้วยตัวเอง?”
ลู่เจิ้งอวี่ตอบกลับ “อืม แขกผู้มีเกียรติน่ะ”
หลินจินซานเข้ามาถามอย่างเร่งรีบว่า “แขกผู้มีเกียรติคนไหน? คงไม่ใช่อารองกับอาสะใภ้รองของน้องเขยฉันหรอกนะ?”
ก่อนหน้านี้อารองและอาสะใภ้รองมาที่ห้องเต้นรำเพื่อเยี่ยมชมกิจการ พวกเขาร้องเพลงและเต้นรำกันบ้าระห่ำ จิกหัวใช้เขากับลู่เจิ้งอวี่กันให้ยุ่ง
อย่าบอกนะว่ามาที่นี่อีกแล้ว?
ลู่เจิ้งอวี่บอกว่า
“พวกหล่อนมีเกียรติกว่าพวกเขามาก”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ลู่เจิ้งอวี่พูด หลินจินชานก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
เขาว่าจะวิ่งไปชะโงกดูที่ห้องส่วนตัว แต่เมื่อคิดว่าอาจเป็นการไม่สุภาพ ดังนั้นจึงทำได้แค่เดินตามลู่เจิ้งอวี่และถามซักไซ้
ลู่เจิ่งอวี่ทนฟังคำถามของหลินจินซานจนปวดหัว จึงยอมตอบว่า “พี่สะใภ้หลินเซี่ย ชุนฟาง เสี่ยวเยี่ยน และคนอื่น ๆ กำลังร้องเพลงกันอยู่”
“จริงเหรอ? เซี่ยเซี่ยกับชุนฟางก็อยู่ด้วยเหรอ?”
เมื่อหลินจินซานได้ยินแบบนั้น เขาก็ตั้งท่าจะวิ่งขึ้นไปชั้นบน
แต่ลู่เจิ้งอวี่หยุดเขาไว้ “ใกล้ถึงเวลาทำงานแล้ว อย่าขึ้นไปรบกวนแขกเลย”
“โอ้”
ลู่เจิ้งอวี่กลับไปทำงานต่อ ขณะที่หลินจินซานยืนอยู่ที่นั่น หรี่ตาลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอดูยัยสามคนนั้นหน้าแตกเลยค่ะ ยิ่งเกลียดหน้าเขากลับยิ่งเจอเขา
จินซานกำลังคิดอะไรอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)