ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 589 ความเหงา
ตอนที่ 589 ความเหงา
เซี่ยไห่อยากดื่มย้อมใจ เฉินเจียซิ่งและหลินจินซานจึงต้องนั่งเป็นเพื่อนทั้งคู่ แต่ไม่ดื่มกับเขา
หลินจินซานต้องไปส่งชุนฟางกลับบ้าน ในขณะที่เฉินเจียซิ่งกลัวว่าชายชราจะดุด่าเอาได้ถ้าเห็นว่าเขาดื่มหนัก
หยางหงเสียเองก็ไม่กล้าปล่อยให้เฉินเจียซิ่งดื่มมากเกินไป เพราะกลัวชายชราจะคิดว่าหล่อนพาเขาออกไปเที่ยวเล่นเสเพล
“พวกนายยังไม่ย้ายออกมาอีกเหรอ?” เซี่ยไห่ถาม
เฉินเจียซิ่งตอบกลับ “เราว่าจะย้ายบ้านหลังปีใหม่”
พวกเขาเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน สภาพการเงินไม่เอื้ออำนวยให้ย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง ได้แต่อาศัยอยู่ในบ้านพักทหารต่อไปอีกสองเดือน รอจนกระทั่งมีเงินเก็บเพียงพอถึงย้ายออกไปและหาเลี้ยงตัวเองได้
สองหนุ่มไม่ยอมดื่มเป็นเพื่อน
เซี่ยไห่จึงพูดกับลู่เจิ้งอวี่ว่า “มา เจิ้งอวี่ ดื่มด้วยกันเถอะ”
หลังจากที่ลู่เจิ้งอวี่ได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ เขาก็มองไปที่หญิงสาวข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว
เซี่ยไห่กลอกตาใส่เขาอย่างหมดคำจะพูด “ทำไมต้องหันไปมองเสี่ยวเยี่ยนด้วย?”
“ผมว่าผมไม่ดื่มดีกว่า”
ลู่เจิ้งอวี่อธิบายว่า “ถ้ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับห้องเต้นรำแล้วผมดื่มมากเกินไป จะไม่มีใครอยู่รับมือหรือจัดการ แค่ร้องเพลงก็พอ”
เนื่องจากไม่มีใครดื่ม เซี่ยไห่จึงขอให้บริกรนำเครื่องดื่มแบบปกติมา จากนั้นทุกคนก็ดื่มด้วยกัน
ลู่เจิ้งอวี่คิดเพลงอยู่ในใจได้สักพักแล้ว เป็นเพลงที่เขาอยากร้องให้ผู้หญิงที่ตัวเองชอบฟัง
เขาวิ่งไปด้านหน้า หยิบไมโครโฟน แล้วทำการเลือกเพลง
ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบผู้ชายที่ดื่มเหล้า
แต่พวกหล่อนทุกคนชอบคนที่มีความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ
เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องทำในสิ่งที่อีกฝ่ายน่าจะชอบ
ลู่เจิ้งอวี่คลิกเลือกเพลง ‘ก้าวไปตามจังหวะเพลง’
ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นคนไม่ประสีประสาและซื่อสัตย์คนนี้จะมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษเมื่อเขาร้องเพลง กลายเป็นหนุ่มหัวใจศิลป์ไปโดยสิ้นเชิง
เสียงของลู่เจิ้งอวี่ไพเราะมาก ทั้งยังชัดเจนทุกคำ ถ่ายทอดบทเพลงนี้ออกมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมต้องมองเห็นจุดประสงค์ของเขาที่เลือกร้องเพลงเพลงนี้
ทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่าบางทีเขาอาจถือโอกาสสารภาพรักหลังจากร้องเพลงจบด้วยซ้ำ
ผลปรากฏว่า หลังจากที่เขาร้องเพลงจบ เขาก็ไม่ทำอะไรต่อ กลับไปยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลินเยี่ยนอีกครั้ง
หลินเยี่ยนเป็นน้องสาวคนเล็กในหมู่พวกเขา หลินเซี่ยและหลินจินซานก็เป็นพี่ชายพี่สาวของหล่อน ดังนั้นลู่เจิ้งอวี่จึงเต็มไปด้วยแรงกดดัน ไม่กล้าแสดงความรู้สึกต่อหลินเยี่ยนมากเกินไป
หลินเซี่ยสังเกตลู่เจิ้งอวี่อยู่ตลอด เห็นว่าถึงแม้สถานการณ์จะพาไป แต่เขาก็ไม่ได้ฉวยโอกาสทำอะไรอย่างที่ใคร ๆ คิด เอาแต่เขายืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลินเยี่ยน
เพลงที่ลู่เจิ้งอวี่เพิ่งร้องจบทำให้หลินจินซานรู้สึกเหมือนเครื่องติด เขาหยิบไมโครโฟนมาร้องเพลงอีกครั้ง
ทุกคนร้องเพลงกันจนถึงประมาณห้าทุ่ม หยางหงเสียกระตุ้นให้เฉินเจียซิ่งรีบกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจเข้าบ้านไม่ได้แล้ว
“เอาล่ะ พวกเราควรแยกย้ายกันกลับได้แล้ว”
เฉินเจียซิ่งพาหยางหงเสียกลับบ้าน หลินจินซานเองก็ขอตัวไปส่งชุนฟางเช่นกัน บ้านใหม่ของหลินเซี่ยอยู่ไกลจากที่นี่เกินไป อีกทั้งวันนี้เฉินเจียเหอต้องทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน หลินเซี่ยจึงตัดสินใจว่าจะไปนอนค้างที่บ้านของพ่อแม่
เซี่ยไห่บอกว่า “ถ้างั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
หลินเยี่ยนเองก็ถูกเซี่ยไห่พากลับไปที่บ้านของพวกเขาด้วย บ้านหลังนี้กว้างขวาง มีห้องว่างหลายห้อง ถึงห้องที่ว่าจะเล็กหน่อย แต่ก็เหมาะสำหรับให้หลินเยี่ยนนอนคนเดียว
เซี่ยไห่กำลังจะไปส่งหลานสาวกลับบ้าน ก่อนออกเดินทางเขาบอกกับลู่เจิ้งอวี่ว่า
“เจิ้งอวี่ คืนนี้คงต้องฝากร้านไว้กับนายแล้ว คืนนี้จินชานคงไม่มีอารมณ์จะกลับไปทำงานนักหรอก”
ขึ้นชื่อว่าไปส่งแฟนกลับบ้าน ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่กลับมาจนกระทั่งเที่ยงคืน
เซี่ยไห่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเศร้าโศกอีกครั้งในใจ
ในอกรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ
ทันใดนั้นใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของใครคนหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจของเขาอย่างควบคุมไม่ได้
ลู่เจิ้งอวี่ตอบกลับ “ผมเข้าใจแล้ว”
เซี่ยไห่พาหลินเซี่ยและหลินเยี่ยนขึ้นรถ จากนั้นก็เริ่มถอนหายใจ “เฮ้อ ฉันดีใจจริง ๆ ที่เห็นว่าพวกหนุ่มสาวอายุน้อยสมัยนี้ยังมีเรี่ยวแรงแข็งขันกันแค่ไหน”
หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “อารอง ทำไมต้องถอนหายใจด้วยล่ะ? คุณเองก็ยังเป็นหนุ่มแน่นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
ความขมขื่นปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยไห่ “ภายนอกฉันอาจจะดูเหมือนไม่แก่ แต่ภายในฉันแก่หง่อมเชียวล่ะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหลานสาว เซี่ยไห่ก็ปริปากพูดออกมาได้อย่างสะดวกใจ “เซี่ยเซี่ย ฉันว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองเริ่มรู้สึกอ้างว้างยังไงชอบกล มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? คนหนุ่มสาวเขาเคยรู้สึกเหมือนที่ฉันรู้สึกกันบ้างหรือเปล่า?”
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาเห็นว่าเพื่อน ๆ ทุกคนรอบตัวต่างก็ทยอยมีคนรักเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น พ่อหนุ่มลอยชายอย่างเขาเริ่มไม่เข้าพวกอีกต่อไป ต้องคิดหาข้ออ้างเป็นเวลานานเพื่อที่จะให้พวกเขายอมออกมาสังสรรค์กันนอกบ้านโดยไม่ให้กระทบกับครอบครัว ยิ่งนัดเจอกันอยาก ความว้าเหว่ก็เข้าครอบงำจิตใจอย่างหักห้ามไม่ได้
หลินเซี่ยได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อารอง คุณน่าจะถึงวัยที่สมควรมีความรักแล้วมั้ง”
เซี่ยไห่กระแอมไออย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “อย่านอกเรื่องสิ ฉันถามจริงจัง สาว ๆ แบบพวกเธอเคยรู้สึกเหงากันบ้างไหม?”
“ก็มีบ้าง แต่ถ้าเรามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง พูดคุยกับเขาได้เวลาพบเจอปัญหา ความเหงาที่ว่าจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง คนรักเป็นสถานะที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้ เพราะเราสามารถคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง ดังนั้นต่อให้บางครั้งจะรู้สึกเหงา ไม่นานก็จะถูกอีกฝ่ายบรรเทาให้จางลงในไม่ช้า” หลินเซี่ยพูดกับเซี่ยไห่ที่กำลังขับรถอยู่ “อารอง บางทีคุณอาจจะต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้วล่ะ”
เซี่ยไห่ไม่ตอบคำพูดของหลินเซี่ย ถามหลินเยี่ยนอีกครั้ง
“เสี่ยวเยี่ยน เธอล่ะเคยเหงาหรือเปล่า?”
หลินเยี่ยนตอบกลับ “ตอนที่พี่สาวกับแม่แต่งงาน ฉันรู้สึกอึดอัดและเหงามาก รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความมั่นคงอะไรให้ยึดเกาะ แต่เดี๋ยวนี้ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะ”
เซี่ยไห่ยิ้มและแซวว่า “เพราะตอนนี้เธอมีลู่เจิ้งอวี่คอยช่วยปรับทุกข์สินะ?”
พอเซี่ยไห่พูดถึงลู่เจิ้งอวี่ ใบหน้าเล็ก ๆ เหนียมอายของหลินเยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ “เปล่าค่ะ ฉันน่าจะคุ้นเคยกับมันและปรับตัวได้แล้ว แต่ละวันก็ยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น”
“อารอง ที่คนโสดเหงามากกว่าคนมีคู่ เพราะเวลาแก่ตัวลงก็ได้แต่ทนเหงาอยู่คนเดียว จัดการกับความรู้สึกนั้นได้ยากมาก ฉะนั้นหาคนมาแต่งงานด้วยตั้งแต่ตอนที่ยังหนุ่มอยู่ดีกว่า ตอนนี้คุณอาจไม่รู้สึกหรอก แต่ถ้าแก่ตัวเมื่อไหร่ ยังไงการมีเพื่อนเป็นคู่ชีวิตก็ดีกว่า หรือมีลูกด้วยกันสักคน นั่นจะทำให้คุณมีกำลังใจในการทำงาน อยู่คนเดียวนานวันเข้าผู้คนจะค่อย ๆ หมดไฟในการดิ้นรนเพื่อใช้ชีวิต ยิ่งเมื่อคนรอบข้างมีครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของตัวเองกันไปหมด คุณจะเอาตัวเองผูกติดกับพวกเขาก็ไม่ได้ ยิ่งอายุมากขึ้น เพื่อนก็มีแต่จะห่างหายจากกันไป”
คำพูดของหลินเซี่ยกระทบใจดำของเซี่ยไห่เข้าเต็มเปา
ยังไม่ต้องพูดถึงอนาคต แค่ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นแล้ว
สมัยก่อนเขาหาเงินได้น้อยกว่านี้ แต่สหายพี่น้องอยู่กับเขาทุกครั้งที่เขาต้องการ มารวมตัวกัน แบ่งปันทุกข์สุขในชีวิต คุยโม้โอ้อวด ทะเลาะกัน แล้วก็แยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตที่ยุ่งยากวุ่นวายของใครของมัน เขารู้สึกว่างาน สหายพี่น้อง และครอบครัวคือทุกอย่างสำหรับเขา
กระทั่งต่อมา สหายพี่น้องทยอยเจอคู่ครองกันไปทีละคน แม้แต่พี่ใหญ่ที่อายุเข้าวัยครึ่งคน และแม่ผู้ชราที่เคยโหยหาเขามากที่สุดก็ไม่ต้องการเขาอีกต่อไป
พี่ใหญ่มีพี่สะใภ้และมีลูกสาวกด้วยกันหนึ่งคน แม่เฒ่าก็มีทั้งหลานและเหลนหลายคน ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่ต้องการเขาอีก
ทุกครั้งที่เห็นเขา ทุกคนต่างพากันทอดถอนหายใจ หรือไม่ก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากเสวนาด้วยเท่าใด
เซี่ยไห่รู้สึกว่าเขาอาจไม่เหมาะกับการครองตัวเป็นโสดอีกต่อไป
แต่พอคิดถึงประเด็นนี้ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจเขาโดยไม่รู้ตัว
ทุกอย่างเหมือนเป็นการฉายภาพย้อนกลับ แม้แต่ฉากที่เขาเห็นหล่อนตอนเปิดประตูห้องน้ำ…
จิตใจของเซี่ยไห่ว้าวุ่นอย่างบ้าคลั่ง
มือที่ประคองพวงมาลัยพลอยกระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนตกใจ
“อารอง เมาเหรอ? ยังเห็นถนนหนทางชัดอยู่ไหม? พวกเรากลัวแทบตาย”
“ไม่เมาซะหน่อย” เซี่ยไห่รีบสลัดภาพยุ่งเหยิงในใจของออกไป มุ่งความสนใจกลับมาจดจ่อที่การขับรถ
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็หยิบกุญแจแล้วไขเปิดประตู ปรากฏว่าเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงยังไม่เข้านอน
แม้แต่เซี่ยอวี่ก็ยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและดูทีวีกับพวกเขา
เซี่ยไห่ถามทุกคน “ทำไมยังไม่นอนกันอีกล่ะ?”
เซี่ยเหลยมองไปที่ลูกสาวของเขาและหลินเยี่ยน “เซี่ยเซี่ยกับเสี่ยวเยี่ยนไม่ได้บอกว่าจะมานอนค้างที่นี่หรอกเหรอ? เราตั้งใจอยู่รอรับพวกเธอ”
เซี่ยไห่ที่เดิมทีรู้สึกเหงาอยู่แล้ว รู้สึกรังเกียจมากยิ่งขึ้นในเวลานี้ “ปกติผมก็กลับบ้านดึกเป็นประจำ ไม่เคยเห็นพี่มาอยู่รอเลย”
คุณแม่เซี่ยเดินเข้ามาและพูดตัดรำคาญ “ลูกอายุตั้งขนาดนี้แล้ว จะเอาตัวเองไปเทียบกับหลานตัวเองได้ยังไง?”
เซี่ยไห่ “!!!”
ครอบครัวนี้ไม่มีที่ว่างให้เขาอีกต่อไป
“ฉันมีข่าวดีจะบอกพวกคุณด้วยค่ะ” หลินเซี่ยพูดอย่างตื่นเต้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
คุณแม่เซี่ยและคนอื่น ๆ ต่างมองดูเธอ “ข่าวดีอะไรกันเซี่ยเซี่ย?”
เซี่ยอวี่โพล่งขึ้นมา “หรือเธอจะบอกว่าตัวเองท้องลูกแฝด?”
หลินเซี่ย “…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ลองดูสักตั้งค่ะอารอง มันเป็นสัญญาณว่าอารองต้องหาแฟนแล้วนะคะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………