ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 603 นายจะละทิ้งมิตรภาพเพื่อความรักเชียวเหรอ?
ตอนที่ 603 นายจะละทิ้งมิตรภาพเพื่อความรักเชียวเหรอ?
เซี่ยไห่บอกว่าเขาอาจถอนตัวออกไปจากชีวิตของถังจวิ้นเฟิงได้ กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ กลัวด้วยซ้ำว่าถังจวิ้นเฟิงจะตัดสินใจแบบนั้นจริง ๆ ในสักวันหนึ่ง
ว่าแต่ เขากลัวอะไรล่ะ?
ขณะที่กำลังเสียสมาธิ เขาก็ได้ยินถังจวิ้นเฟิงพูดว่า “ไล่เสี่ยวอวิ๋นกับฉันตกลงคบกันแล้ว”
“จริงหรือหลอกเนี่ย?” เซี่ยไห่ตกใจ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ถังจวิ้นเฟิงเพิ่งจะพูดออกมาอย่างใคร่ครวญมากขึ้น
เขามองดูอีกฝ่าย แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย และถามด้วยรอยยิ้มว่า “หมายความว่า อีกหน่อยพวกเราคงต้องถอยออกไปจากชีวิตนายสินะ?”
ถังจวิ้นเฟิงเลือกความรัก หมายความว่าเขาจะละทิ้งมิตรภาพกับพวกเขาทั้งหมดเลยเชียวเหรอ?
ถ้าไล่เสี่ยวอวิ๋นไม่สามารถยอมรับได้ว่าพวกเขารับรู้อดีตของหล่อน ทั้งยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับเฉินเจียเหอที่เคยเห็นหล่อนตอนตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายที่สุดได้ แปลว่าพวกเขาต้องทำราวกับตัวเองไม่มีตัวตนไปจากชีวิตของถังจวิ้นเฟิงจริง ๆ น่ะสิ?
จู่ ๆ เซี่ยไห่ก็รู้สึกเศร้าอยู่ลึก ๆ ในใจ
ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจไปกับเขาด้วย
ช่างเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งมาก
หลังจากที่เขาตกหลุมรัก เขาจึงพอจะเข้าใจความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง
บางครั้งความรักอาจทำให้ผู้คนตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นได้จริง ๆ
หุนหันพลันแล่นมากจนยอมสละโลกทั้งใบของตัวเอง
“คิดบ้าอะไรของนายน่ะ?” ถังจวิ้นเฟิงกลอกตามองเขา “เห็นฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แล้วไล่เสี่ยวอวิ๋นล่ะ…” เซี่ยไห่ถามอย่างไม่มั่นใจ
ถังจวิ้นเฟิงกล่าวว่า “หล่อนบอกว่าจะพยายามเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างตรงไปตรงมา ความเจ็บปวดที่หล่อนพยายามหลีกหนีซ่อนอยู่ในใจหล่อนมาโดยตลอดอยู่แล้ว และมันจะออกมาทำร้ายหล่อนเป็นครั้งคราว การเผชิญหน้ากับความกลัวเท่านั้นถึงจะทำให้หล่อนกำจัดความกลัวได้อย่างแท้จริง”
นี่คือสิ่งที่ไล่เสี่ยวอวิ๋นเรียกเขาไว้และพูดกับเขาในตอนที่เขากำลังจะออกมาจากบ้านตระกูลไล่วันนี้
หล่อนบอกว่าหล่อนหนีทุกอย่างมานานพอสมควรแล้ว หวังว่าจะละทิ้งทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ได้สักที แต่ก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้
หล่อนปล่อยมือจากเขาไม่ได้เลย
ดังนั้นเพื่อความรักและเพื่อให้ได้กลับมาใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์อย่างแท้จริงในอนาคต หล่อนจึงเลือกที่จะเผชิญทุกสิ่งอย่างกล้าหาญ
หล่อนพักอยู่ที่บ้านของเอ้อร์เลิ่งเป็นเวลาครึ่งเดือน นอกเหนือจากความกลัวทางจิตใจแล้ว เอ้อร์เลิ่งก็ไม่ได้ทำอะไรที่เข้าข่ายทำร้ายหล่อนเลย
เฉินเจียเหอก็ถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตของหล่อนเช่นเดียวกัน
เพื่อคนที่หล่อนรัก และเพื่อขจัดความเสียหายทางจิตใจที่เกิดจากเหตุการณ์เลวร้ายให้ออกไปจากชีวิตโดยสิ้นเชิง หล่อนควรเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ
เมื่อได้ยินคำพูดของถังจวิ้นเฟิง เซี่ยไห่ก็รู้สึกประทับใจมาก และแสดงความชื่นชมต่อไล่เสี่ยวอวิ๋นอย่างจริงใจ “ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดาเลย”
ถังจวิ้นเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใช่ หล่อนกล้าหาญมาก แล้วก็รักฉันมากเหมือนกัน”
รักมากพอที่จะยอมอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อเขา
ถังจวิ้นเฟิงเหลือบมองนาฬิกาของเขาแล้วพูดว่า “กินเร็วเข้า นี่ก็เย็นมากแล้ว วันนี้หล่อนไปทำงานวันแรก ฉันต้องไปรอรับหล่อน”
“โรงเรียนประถมหนานกวน”
เซี่ยไห่รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “หือ? นั่นไม่ใช่โรงเรียนประถมที่เจียเหอกับเซี่ยเซี่ยพูดถึงหรอกเหรอ? พวกเขาตั้งใจจะพาหู่จือไปสมัครเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาในปีหน้า”
“จริงเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงตระหนักได้ว่าโรงเรียนประถมที่ว่าดูเหมือนจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานใหม่ของเฉินเจียเหอ
บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาก็ได้
เซี่ยไห่บอกกับเขาว่า “พยายามดูแลหล่อนให้ดี ตอนนี้พวกเราพี่น้องยังไม่ติดต่อเสวนากับนายก็ได้ รอให้ไล่เสี่ยวอวิ๋นออกมาจากเงามืดทางจิตใจได้อย่างสมบูรณ์ และเต็มใจที่จะเริ่มทำความรู้จักกับทุกคน นายค่อยพาหล่อนมารู้จักกับพวกเราทีหลัง”
“เหล่าเซี่ย ขอบใจนะ”
ถังจวิ้นเฟิงกินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว พูดว่า “ฉันไปก่อนนะ นายจ่ายให้ด้วย”
“ไร้สาระ นายเคยออกเงินเองตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ถังจวิ้นเฟิงไปที่โรงเรียนประถมหนานกวนเพื่อรอรับไล่เสี่ยวอวิ๋น ในขณะที่ทั้งสองกำลังรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พวกเขาก็บังเอิญเจอกับหลินเซี่ยและหลินเยี่ยนที่เพิ่งก้าวลงจากรถประจำทาง
พวกเธอแบกถุงใบใหญ่และใบเล็กหลายถุง พยายามแทรกตัวเพื่อลงจากรถ หลินเยี่ยนคือคนที่ใช้แรงงานได้สมบุกสมบันที่สุด
ถังจวิ้นเฟิงเห็นหลินเซี่ยจึงเข้าไปทักทายเธอ “พี่สะใภ้ ซื้ออะไรกันมาเยอะแยะ?”
“เราไปซื้อของมาเติมสต๊อกกันน่ะ” หลินเซี่ยเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ถัง จวิ้นเฟิง จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหน้าที่ถัง มารอขึ้นรถกับเพื่อนเหรอคะ?”
“ใช่ กำลังรอรถเลย” ถังจวิ้นเฟิงเห็นพวกเธอถือถุงใบใหญ่สองใบ จึงถามว่า “นั่นสินค้าสำหรับร้านเช่าชุดเจ้าสาวหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “ใช่ค่ะ ฉันซื้อของเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและบำรุงผิวหน้าสำหรับเจ้าสาวน่ะ”
เมื่อถังจวิ้นเฟิงเห็นว่าสายตาของหลินเซี่ยยังคงจ้องมองไปที่ไล่เสี่ยวอวิ๋น เขาก็แนะนำเขาอย่างไม่ปิดบังว่า “นี่แฟนผมเอง”
“เจ้าหน้าที่ถังมีแฟนแล้วเหรอเนี่ย? ทำไมไม่เห็นได้ยินเฉินเจียเหอพูดถึงเรื่องนี้เลย?”
เมื่อเธอเอ่ยถึงชื่อของเฉินเจียเหอ ไล่เสี่ยวอวิ๋นก็มองไปที่หลินเซี่ยด้วยท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีความกังวล
ถังจวิ้นเฟิงตอบกลับ
“เหล่าเฉินยังไม่รู้หรอก ผมยังไม่มีเวลาบอกเขา”
หลินเซี่ยยิ้มและทักทายไล่เสี่ยวอวิ๋น “สวัสดีค่ะ ฉันหลินเซี่ย เป็นภรรยาเพื่อนรุ่นพี่ของเจ้าหน้าที่ถัง ส่วนนี่น้องสาวฉันเองค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” ไล่เสี่ยวอวิ๋นตอบกลับอย่างสุภาพ
“พี่สะใภ้ อยากให้ผมช่วยถือของไหม?”
หลินเซี่ยบอกเว่า “ไม่เป็นไร พวกเราถือได้ ไม่ได้หนักอะไร เดินไปอีกแค่ไม่กี่ก้าว”
ถังจวิ้นเฟิงรู้ว่าหลินเซี่ยท้องอยู่ และเห็นว่าหลินเยี่ยนออกแรงมหาศาลเพื่อที่จะหิ้วถุงใบใหญ่อย่างทุลักทุเล ในฐานะสุภาพบุรุษแล้ว ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนิ่งดูดาย เขาจึงอาสาว่า “ให้ผมช่วยเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงหยิบถุงจากมือของหลินเซี่ย มืออีกข้างจับมือไล่เสี่ยวอวิ๋น แล้วเดินตามไปส่งพวกเธอถึงที่ร้าน
“ขอบคุณค่ะ รบกวนแล้ว”
ร้านเช่าชุดแต่งงานอยู่ตรงข้ามกันกับป้ายรถเมล์ในแนวทแยง ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ถังจวิ้นเฟิงวางสิ่งของของพวกเธอลง แล้วขอตัวพาไล่เสี่ยวอวิ๋นจากไป
หลินเซี่ยเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งคุยกันในร้านก่อน แต่ถังจวิ้นเฟิงปฏิเสธ
หลินเซี่ยจึงหยิบลิปสติกแท่งหนึ่งจากในร้าน แล้วมอบให้ไล่เสี่ยวอวิ๋น ยิ้มและพูดว่า “นี่คือลิปที่ฉันเพิ่งซื้อมา ฉันให้ คุณเป็นคนผิวขาว เฉดสีนี้น่าจะเหมาะกับคุณมาก”
รอยยิ้มของหลินเซี่ยสื่อสารความจริงใจออกมาได้ดีมาก ดวงตาของไล่เสี่ยวอวิ๋นจึงอ่อนแสงลงเมื่อมองเห็นรอยยิ้มอันสดใสและใจดีบนใบหน้าของอีกฝ่าย
หลังจากเก็บตัวอยู่ในบ้านมาเป็นเวลานาน หล่อนก็กลายเป็นโรคหวั่นวิตกทางสังคม ไม่รู้วิธีการเข้ากับคนแปลกหน้า เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ถูกหลอกมาก่อน จึงมีท่าทางต่อต้านโดยสัญชาตญาณเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่คุ้นเคย
ไม่รู้ว่าควรรับสิ่งที่อีกฝ่ายให้มาหรือเปล่า
ถังจวิ้นเฟิงต้องพูดว่า
“พี่สะใภ้ยกให้ คุณรับไว้เถอะ”
“ค่ะ” ไล่เสี่ยวอวิ๋นหยิบลิปสติกขึ้นมา กล่าวขอบคุณ จากนั้นถังจวิ้นเฟิงก็พาหล่อนออกไป
…
“เซี่ยเซี่ย แน่ใจเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนเขาจริง ๆ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ไม่น่าผิด ฉันเห็นกับตา และไม่ได้หูหนวก แถมเขายังจับมือกันตลอดเวลาด้วย พอใจหรือยัง?”
หลินเซี่ยมองเห็นการแสดงออกที่ซับซ้อนของเฉินเจียเหอ จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? คุณไม่มีความสุขหรือไงที่เพื่อนตัวเองสละโสด?”
“เปล่า ผมแค่สงสัยว่าแฟนของเขาจะใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า” เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลินเซี่ยนั่งลงข้างเขา จู่ ๆ ก็เริ่มถามซุบซิบ “ผู้หญิงคนไหน? คุณรู้จักเหรอ?”
“แฟนของเขาหน้าตาเป็นยังไง?” เฉินเจียเหอมองไปที่หลินเซี่ยแล้วถาม
หลินเซี่ยตอบว่า “ผมสั้น ตาโต ผิวขาวมาก แต่ดูเหมือนเป็นคนเก็บตัวและไม่ใช่คนช่างพูดสักเท่าไหร่ ฉันให้ลิปสติกหล่อนไปแท่งหนึ่ง กว่าหล่อนจะยอมหยิบมันไปได้ต้องรอให้ถังจวิ้นเฟิงบอกก่อน”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลินเซี่ยแล้ว เฉินเจียเหอก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นแน่ ๆ”
“คนไหนล่ะ?” หลินเซี่ยมองเขาอย่างไม่อดทนเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางลึกลับและเคร่งขรึมของเฉินเจียเหอ
“ผู้หญิงคนที่โดนพวกค้ามนุษย์จับไปขายให้บ้านของเอ้อร์เลิ่ง” เฉินเจียเหอตอบ
หลินเซี่ยตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด “ว่าไงนะ?”
“หล่อนคือหญิงสาวที่ชื่อไล่เสี่ยวอวิ๋น”
“พระเจ้าช่วย เจ้าหน้าที่ถังคบหากับเหยื่อที่เขาเคยไปช่วยเหลือไว้”
หลินเซี่ยเองก็รู้สึกเหลือเชื่อกับข่าวดังกล่าว
“ครั้งที่แล้วอารองเคยเกลี้ยกล่อมให้เขาซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง เขาน่าจะยอมรับฟังแล้ว”
ในเวลานี้ ในขณะที่เฉินเจียเหอมีความสุขที่เพื่อนของเขายอมสละโสดเสียที อารมณ์ของเขาก็ซับซ้อนพอ ๆ กันกับอารมณ์ของเซี่ยไห่
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องนี้ โทรศัพท์มือถือของหลินเซี่ยก็ดังขึ้น เป็นเซี่ยไห่นั่นเองที่โทรมา โดยบอกว่าเขาอยากคุยสายกับเฉินเจียเหอ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีคนรู้เรื่องเพิ่มแล้ว ความสัมพันธ์นี้จะยังดำเนินต่อไปได้หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)