ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 619 หรือว่าจะเป็นฝีมือแม่ของหู่จือ?
ตอนที่ 619 หรือว่าจะเป็นฝีมือแม่ของหู่จือ?
หลินเซี่ยมองไปที่เฉินเจียเหอ จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาพร้อมกับตำหนิตัวเองด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันผิดเองที่ไม่คอยดูแลเขาให้ดี แถมยังพูดไร้สาระต่อหน้าเขา ถ้าฉันไม่บอกซะตั้งแต่แรกว่าอยากกินขาหมู เขาคงไม่ออกไปข้างนอกตามลำพังแน่”
เฉินเจียเหอกอดหญิงสาวที่ร้องไห้จนตัวโยนพร้อมกับปลอบโยนเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย อย่าโทษตัวเองเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”
ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถังจวิ้นเฟิงเป็นคนที่สงบสติอารมณ์ได้มากที่สุดในเวลานี้ เขาบอกว่า “ทุกคนช่วยอดทนรอหน่อย ตอนนี้ผม เหล่าเฉิน และเหล่าเซี่ยกำลังจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ จากนั้นหน่วยของเราจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบที่สถานีรถไฟ พี่สะใภ้ คุณท้องอยู่ คุณควรกลับบ้านไปพักผ่อนและรอฟังข่าว ในขณะที่คนอื่นออกไปตามหาเด็กข้างนอก ตราบใดหู่จือไม่ได้ออกนอกเส้นทางที่เขาคุ้นเคย กำลังคนมากมายก็ไม่น่าจะตามตัวได้ยาก”
ถังจวิ้นเฟิงจัดแจงเตรียมการอย่างรวดเร็ว วางแผนว่าจะส่งไล่เสี่ยวอวิ๋นกลับไปที่โรงเรียนก่อน จากนั้นค่อยไปที่สถานีตำรวจ
ไล่เสี่ยวอวิ๋นเองก็เคยเผชิญหน้ากับพวกค้ามนุษย์ เมื่อได้ยินว่าลูกชายของเฉินเจียเหอหายตัวไป หล่อนก็เป็นกังวลมากไม่แพ้กัน เหนือสิ่งอื่นใดคือเข้าใจความรู้สึกของคนที่ทำอะไรไม่ถูกได้ดีกว่าใคร ๆ
หล่อนไม่ได้ขอให้ถังจวิ้นเฟิงไปส่ง แต่กลับไปที่โรงเรียนด้วยตัวเอง ขอให้ถังจวิ้นเฟิงไปจัดการธุระโดยเร็ว
หลินเซี่ยไม่มีกะจิตกะใจจะกลับบ้านเพื่อรอฟังข่าวอย่างนิ่งนอนใจได้ในเวลานี้ เธอต้องการออกไปตามหาคนพร้อมกับคนอื่น ๆ
เฉินเจียเหอมองใบหน้าซีดเซียวของหลินเซี่ย ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง
“เซี่ยเซี่ย ฟังจวิ้นเฟิงเถอะ พวกเราจะไปตามหาเด็กกันเอง คุณต้องกลับบ้านไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องกังวล ผมจะพาลูกชายของเรากลับมาให้เร็วที่สุด”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงปิดร้านทันที ทุกคนแยกย้ายกันออกไปตามหาหู่จือ
หลังจากที่ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินมาถึงและได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เมื่อมองไปทางหลินเซี่ยที่กำลังขอโทษพวกเขาไม่หยุดปาก ผู้เฒ่าเฉินก็ถอนหายใจและพูดว่า “เซี่ยเซี่ย อย่าโทษตัวเองไปเลย เรามาช่วยกันตามหาด้วยกันดีกว่า”
เฉินเจียเหอขอให้คุณแม่เซี่ยช่วยพาหลินเซี่ยกลับบ้านไปพักผ่อน จากนั้นทุกคนก็เริ่มออกตามหาเด็กชายไปทั่วเมือง
เฉินเจียเหอและถังจวิ้นเฟิงก้าวขึ้นไปนั่งอยู่ในรถของเซี่ยไห่ระหว่างทางไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ ถังจวิ้นเฟิงมองไปที่เฉินเจียเหอแล้วถามว่า “หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น?”
ใบหน้าของเฉินเจียเหอเปลี่ยนเป็นสีเข้มในขณะที่ตอบกลับว่า “ถ้าพวกเราหาตัวหล่อนไม่พบ ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือหล่อน”
หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด เซี่ยไห่ก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ดูตกใจเล็กน้อย “พวกนายกำลังพูดถึงแม่แท้ ๆ ของหู่จืองั้นเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงพยักหน้า “ใช่ เดาไม่ผิดแล้วน่าจะเป็นหล่อน ดูเหมือนว่าฉันเคยเห็นหล่อนแวบหนึ่งที่สถานีรถไฟเมื่อปลายปีที่แล้ว จากนั้นฉันก็คอยสอดส่องมองดูตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นหล่อนอีกเลย อดคิดไม่ได้ว่าหล่อนอาจจะคอยตามติดชีวิตความเป็นไปของหู่จืออยู่ก็ได้ และวันนี้หล่อนน่าจะหาโอกาสติดต่อเขาได้ เลยพาเด็กออกไป”
เซี่ยไห่รู้สึกสับสน “ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหล่อนอยากได้หู่จือคืนจริง ๆ ก็ควรจะมาคุยกับเจียเหอต่อหน้าซะก่อนสิ หู่จืออายุตั้งหกขวบแล้ว คิดทึกทักพาตัวเด็กไปแบบนี้ คิดว่าเด็กจะยอมติดตามไปด้วยความเต็มใจงั้นเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงยกริมฝีปากขึ้นพลางเยาะเย้ย “เหล่าเซี่ย นายน่ะมองโลกในแง่ดีเกินไป คนอย่างหล่อนหรือจะกล้ามาคุยกันซึ่งหน้า? หล่อนมีความกล้าพอที่จะคุยกับเหล่าเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่? อีกอย่าง หล่อนรู้ดีแก่ใจว่าเหล่าเฉินไม่มีทางคืนลูกให้โดยง่ายแน่ เด็กคนนั้นถูกหล่อนทิ้งตั้งแต่เขาอายุพ้นขวบเดียวมาได้ไม่นาน เหล่าเฉินเลี้ยงดูเขามาห้าปีแล้ว จะยอมคืนเขาให้หล่อนง่าย ๆ ได้ยังไง? หู่จือไม่รู้จักหล่อนเลยด้วยซ้ำ ข้อสันนิษฐานนี้ไม่น่าเป็นไปได้”
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการไขคดี ถังจวิ้นเฟิงสรุปว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงคนนี้จะพาเด็กที่โตเท่าหู่จือไปด้วยตัวเอง หล่อนต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด ครอบครัวของหล่อนหรือผู้ชายที่หล่อนแต่งงานด้วยในภายหลังก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ไหนจะครอบครัวเดิมของหล่อน หรือพี่ชายที่พวกเราเคยเจอมาก่อน ถ้าจะตามหาเด็ก เราน่าจะต้องมุ่งความสนใจไปที่ลุงของหู่จือให้มากขึ้นด้วย”
“เอาล่ะ เหล่าเซี่ย ขับเร็วกว่านี้หน่อย”
เมื่อเขามาถึงสถานีรถไฟ เฉินเจียเหอกังวลและไม่อยากสิ้นเปลืองกำลังคน เขาพูดกับเซี่ยไห่ว่า “นายตามจวิ้นเฟิงไปแจ้งความเถอะ ฉันจะไปดักรอตรงทางเข้าสถานีรถไฟก่อน”
ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนลักพาตัวหู่จือจริง ๆ หล่อนคงจะมุ่งหน้าออกจากไห่เฉิงทันที ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแข่งกับเวลาเพื่อไปที่สถานีรถไฟและหยุดยั้งหล่อนเอาไว้
ฤดูหนาวแบบนี้ มีผู้โดยสารทยอยเดินทางกลับบ้านที่สถานีรถไฟเป็นจำนวนมาก ผู้คนเนืองแน่นไปทั่วบริเวณ รอบข้างเต็มไปด้วยคนที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน
ในที่สุดเขาก็เบียดเข้ามาได้สำเร็จ เก้าอี้ข้างชานชาลาเต็มไปด้วยผู้คนและสัมภาระ บางคนนอน บางคนนั่งงีบหลับ หอบกระสอบ ถุงไนลอน และกระเป๋าเดินทางทุกชนิดวางเต็มไปหมด
เฉินเจียเหอเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เบียดตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปด้วยความยากลำบาก ค้นหาไปทีละแถว
ตราบใดที่รถไฟเข้ามาเทียบชานชาลาในสถานี และผู้โดยสารเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามา เฉินเจียเหอจะออกไปดักรออยู่ตรงทางเข้า
ในไม่ช้าเซี่ยไห่ ถังจวิ้นเฟิง และสหายตำรวจจากสถานีตำรวจก็มารวมตัวกันหลายนาย ทุกคนเริ่มสืบสวนไปในทิศทางที่ต่างกัน
มุ่งเป้าตรวจสอบผู้ที่มีความสัมพันธ์กับเด็กเป็นหลัก
เฉินเจียซิ่ง หลินจินซาน และกลุ่มคนหนุ่มสาวยังออกไปค้นหาตามสถานที่ที่หู่จืออาจเคยไป หรือรู้จักเมื่อก่อนหน้านี้
แม้แต่บ้านของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนอนุบาลและบ้านพักครูก็ยังถูกตรวจค้น
ยิ่งนานท้องฟ้าก็ยิ่งมืดลง ทุกคนกลับไม่พบอะไรเลย
ที่สถานีรถไฟในตอนกลางคืนหนาวเย็นมาก เฉินเจียเหอและเซี่ยไห่นั่งยอง ๆ อยู่ที่นั่น สภาพอากาศเป็นอุปสรรคต่อการตามหาคนในตอนกลางคืนให้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
เฉินเจียเหอขอให้พ่อของเขาส่งใครสักคนไปที่สถานีขนส่งเพื่อทำการตรวจสอบด้วยเช่นกัน
ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงใช้สายสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีเพื่อกะเกณฑ์คนช่วยออกตามหาอีกแรง
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า อารมณ์วิตกกังวลของทุกคนก็ยิ่งทวีคูณและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลินเซี่ยที่อยู่บ้านกินข้าวไม่ลง รู้สึกกระสับกระส่ายและอยากออกไปตามหาลูกตลอดเวลา
แต่คุณแม่เซี่ยไม่ยอมให้เธอออกไปข้างนอกเด็ดขาด
“เซี่ยเซี่ย เชื่อฟังหน่อย สุขภาพของหลานเป็นสิ่งสำคัญ เราควรรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน ตราบใดที่มีข่าวดีพวกเขาต้องรีบรายงานกลับมาที่นี่แน่ ต่อให้หลานออกไปตระเวนหาข้างนอกก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ”
หลินเซี่ยออกไปไหนไม่ได้เลยเมื่อมีหญิงชราคอยจับตาดูอยู่
“มาเถอะ ใจร่ม ๆ เข้าไว้ จิบซุปชามนี้เสียก่อน เดี๋ยวเราค่อยโทรหาเจียเหอทีหลัง”
คุณแม่เซี่ยยืนอยู่ต่อหน้าหลินเซี่ยพร้อมชามซุปในมือแล้วขอร้องเธอ แม้ว่าหลินเซี่ยจะไม่อยากดื่มกิน แต่ก็ยังรับชามมาจิบนิดหน่อยพอเป็นพิธี
คุณแม่เซี่ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่เห็นว่าหลานสาวทุกข์ทรมานใจมากแค่ไหน นางคอยปลอบประโลมอีกฝ่ายเบา ๆ “จิบซุปชามนี้ให้หมดนะ หมั่นคิดถึงลูกในท้องของตัวเองเข้าไว้ หลานจะปล่อยให้เขาอดไม่ได้”
หลินเซี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกินซุปให้หมด
“คุณย่า คุณย่าก็กินด้วยสิคะ” ตั้งแต่หญิงชราพาเธอกลับมา อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเช่นเดียวกัน หลินเซี่ยจึงลุกขึ้นไปตักซุปมาให้หญิงชรา
คุณแม่เซี่ยตอบว่า “ย่ากินแล้ว ตอนนี้ไม่รู้สึกหิวเลย”
พวกเธอทั้งสองอยู่แต่ในบ้านจนเวลาล่วงไปถึงประมาณหนึ่งทุ่ม เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต่างทยอยกลับมาทีละคน
“เป็นยังไงบ้าง? มีข่าวอะไรบ้างไหม?”
เซี่ยเหลยส่ายหัวด้วยท่าทางเคร่งขรึม
คุณแม่เซี่ยมองดูสีหน้าเหนื่อยล้าของลูกชายและลูกสะใภ้คนโต รู้สึกเป็นทุกข์และผิดหวังในเวลาเดียวกัน
เซี่ยเหลยถามหญิงชราว่า “เซี่ยเซี่ยอยู่ไหน?”
“อยู่ในบ้าน ตอนนี้เด็กคนนั้นกังวลใจจะขาดอยู่แล้ว ถ้าภายในเร็ว ๆ นี้ยังไม่เจอหู่จืออีก แม่คิดว่าร่างกายหล่อนน่าจะทนฝืนต่อไม่ไหว”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเข้าไปในบ้าน เมื่อหลินเซี่ยเห็นพวกเขากลับมาพร้อมกับสีหน้าผิดหวัง เธอก็ตระหนักว่าไม่น่าจะมีข่าวดี
หลินเซี่ยโทรหาเซี่ยไห่อีกครั้ง “อารอง เฉินเจียเหออยู่กับคุณหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่ตอบกลับ “อยู่สิ พวกเราทุกคนอยู่ที่สถานีรถไฟกันหมด ประจำที่อยู่ตามห้องซื้อตั๋วและชานชาลา ตอนนี้หาใครไม่เจอ ได้แต่นั่งยอง ๆ ดักรอคน”
เฉินเจียเหอในตอนนี้เป็นเหมือนคนบ้า เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นใครจูงมือเด็กชายมาด้วย เขาจะปรี่เข้าไปกระชากตัว แต่ทุกครั้งกลับพบว่าไม่ใช่ลูกชายของเขา
การกระทำนั้นแลกมากับการถูกดุ ถูกเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี
หลังจากเขาขอโทษผู้ปกครองรายหนึ่งเสร็จ เขาก็พุ่งตัวไปคว้าเด็กอีกคน
หลินเซี่ยพูดกับเซี่ยไห่ทางโทรศัพท์ว่า “อารอง ฉันคิดว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเสิ่นอวี้อิ๋งและถังหลิงนะคะ”
จริง ๆ แล้วเธอคาดเดาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าหู่จือหายตัวไป
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หรือว่าจะเป็นอย่างที่เซี่ยเซี่ยว่ากันนะ สองคนนี้ยังมีคดีแค้นกับเซี่ยเซี่ยอยู่
ไหหม่า(海馬)
……………………………………