ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 622 เบาะแส
ตอนที่ 622 เบาะแส
เสิ่นอวี้อิ๋งฟังคำข่มขู่ของหลินเซี่ยทางโทรศัพท์จบ หล่อนก็หันไปถามเซี่ยหลานอย่างหัวเสีย
“แม่ หลินเซี่ยรู้ได้ยังไงว่าลูกถูกส่งไปสถานสงเคราะห์ไหน? หล่อนรู้ชื่อลูกได้ยังไง?”
เซี่ยหลานมองเสิ่นอวี้อิ๋งที่มีสีหน้าขุ่นเคือง ตอบเสียงเรียบ “ฉันไม่ได้เป็นคนบอก”
แต่เสิ่นอวี้อิ๋งไม่เชื่อ
เรื่องที่หล่อนส่งลูกสาวไปสถานสงเคราะห์กับชื่อลูกเป็นความลับสุดยอด มีเพียงหล่อนกับเซี่ยหลานสองคนที่รู้
ถ้าเซี่ยหลานไม่ได้บอกหลินเซี่ย เธอจะทำนายออกมาเองได้หรืออย่างไร?
เซี่ยหลานมองสีหน้าร้อนใจของเสิ่นอวี้อิ๋งพลางถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกชายของเฉินเจียเหอหายตัวไป เธอเป็นคนทำใช่ไหม?”
แววตาเสิ่นอวี้อิ๋งไหวระริก แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พลางแค่นหัวเราะ “แม่ แม่คิดว่าฉันมีสามเศียรหกกรหรือไง? ฉันถอดจิตได้อย่างนั้นหรือ?”
“พักนี้เธอสนิทกับเสิ่นเสี่ยวเหมย พวกเธอร่วมมือกันทำใช่ไหม?” เซี่ยหลานมองหล่อนด้วยสายตาเฉียบคม พูดเน้นทีละคำ “การลักพาตัวเด็กเป็นอาชญากรรม มีโทษหนัก อาจถึงขั้นประหารชีวิตได้ ฉันเตือนพวกเธอว่าอย่าเล่นกับไฟจะดีกว่า ถ้าเธออยากเข้าไปอยู่ในคุกเป็นเพื่อนเสิ่นเถี่ยจวินก็เชิญตามสบาย ยังไงซะถ้าเธอทำผิดจริง ฉันบอกเธอตรง ๆ เลยว่าฉันจะไม่ช่วยเธอหรอกนะ ไม่ว่าจะโดนตัดสินจำคุกกี่ปี เธอก็ต้องรับผิดชอบเอง ฉันจะตัดขาดความเป็นแม่ลูกกับเธอด้วย ฉันจะไม่ใจอ่อนแน่ ชีวิตของเธอ เธอเป็นคนเลือกเอง เธอก็รับผิดชอบตัวเองก็แล้วกัน”
เซี่ยหลานสีหน้าเย็นชา เสียงพูดไม่ดังนัก ทว่าเด็ดขาดอย่างมาก พูดจบก็จ้องเสิ่นอวี้อิ๋งตาไม่กะพริบ
เสิ่นอวี้อิ๋งถูกเซี่ยหลานจ้องจนขนลุกซู่ แววตื่นตระหนกวาบผ่านดวงตาของหล่อน
แต่แล้วหล่อนก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
หล่อนหลบสายตาวาวโรจน์ของเซี่ยหลาน ตัดพ้อว่า “แม่ แม่ก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เชื่อลูกที่เลี้ยงมาเอง แต่กลับไม่เชื่อฉัน ใครเป็นลูกในไส้ของแม่กันแน่? ฉันรู้ว่าแม่รังเกียจที่ฉันเติบโตมาในชนบท ไม่ว่าเมื่อไหร่ แม่ก็รักแต่ลูกสาวที่เลี้ยงมาเองเท่านั้น”
เสิ่นอวี้อิ๋งพูดจบก็ร้องไห้วิ่งออกไปจากห้อง
เซี่ยหลานไม่ได้ตามไป
หล่อนนั่งอยู่บนโซฟา โทรศัพท์หาหลินเซี่ย
“เซี่ยเซี่ย เรื่องนี้มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า? เด็กอาจพลัดหลงไปเองก็ได้? อวี้อิ๋งไม่มีความกล้าขนาดนั้นหรอก”
หลินเซี่ยตอบ “แม่ พักนี้เสิ่นอวี้อิ๋ง เสิ่นเสี่ยวเหมยกับถังหลิงกลับมาจับกลุ่มกันอีกแล้ว คนเดียวอาจไม่กล้า แต่ถ้าสามคนร่วมมือกันก็ไม่แน่ ฉันหวังว่าแม่จะช่วยพูดกับหล่อน ถ้าไม่อยากให้เจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย หล่อนควรจะรีบพาลูกชายของฉันมาส่ง ไม่อย่างนั้น ฉันสาบานได้เลยว่าวันนี้ฉันจะทำให้หล่อนมีชื่อก้องเมืองไห่เฉิงในชั่วข้ามคืนแน่”
หลินเซี่ยไม่มีเวลามาพูดพร่ำกับเซี่ยหลาน พูดจบเธอก็วางสายทันที เธอกับเซี่ยไห่มาถึงสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแล้ว หลินจินซานกับชุนฟางก็มาถึงแล้ว
พวกเธอไปพบผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า บอกว่าอยากรับอุปการะทารกอายุประมาณไม่กี่เดือน
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด เสิ่นเสี่ยวอวี้และทารกวัยไล่เลี่ยกันถูกอุ้มออกมาให้พวกเธอดูว่าถูกชะตากับคนไหน
หลินเซี่ยมองแวบเดียวก็เห็นเสิ่นเสี่ยวอวี้ในอ้อมแขนหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ทารกในอ้อมกอดของหล่อนก็คล้ายจะได้ยินเสียงของหลินเซี่ย จึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข ขยับแขนขยับขาไปมา ใช้วิธีนี้มาดึงดูดความสนใจจากพวกหลินเซี่ย
หลินเซี่ยสังเกตเห็นความร่าเริงของเด็กคนนั้นจึงมองไปหลายทีอย่างอดไม่ได้
ทารกวัยแค่สามเดือนกว่า ทำไมถึงมีแววตาดูเป็นผู้ใหญ่แบบนั้น?
หลินเซี่ยมองไปอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายของเด็กน้อยสบเข้ากับเธอ จากนั้นก็ขยับมือไปมา ทำท่าเหมือนอยากมาหาเธอ
หลินเซี่ยจ้องเด็กคนนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ดูเหมือนว่าสายตาน่ากลัวของเธอจะทำให้เด็กตกใจ เด็กน้อยที่เดิมทีดูร่าเริงมีสีหน้าหม่นหมองลงทันตาเห็น
“เอาคนนี้แหละ”
สิ้นเสียงหลินเซี่ย แววตาของทารกน้อยในอ้อมแขนของหญิงวัยกลางคนก็สดใสขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหลินตาแหลมจริง ๆ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีมาก กินอิ่มแล้วก็ไม่ร้องงอแงสักนิด เลี้ยงง่ายมากเลยค่ะ”
“ฉันมารับเด็กไปให้พี่ชายและพี่สะใภ้เลี้ยงน่ะค่ะ”
หลินเซี่ยหันไปพูดกับหลินจินซานและชุนฟาง “ฉันว่าเด็กคนนี้ไม่เลว พวกพี่สองคนอยู่ที่นี่ทำหน้าที่อาสาสมัคร เลี้ยงดูเด็กคนนี้สักพัก ลองดูว่าเด็กคนนี้ยอมให้พวกพี่อุ้มหรือเปล่า ดูว่าพวกพี่มีวาสนากับเด็กคนนี้หรือไม่”
ระหว่างทาง หลินเซี่ยคุยกับหลินจินซานและชุนฟางเรียบร้อยแล้ว ให้พวกเขาอ้างว่าจะรับเลี้ยงเด็กสักคน เพื่อมาเป็นอาสาสมัครที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้ คอยดูแลลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋ง ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งมาตามหาก็ให้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ห้ามให้เสิ่นอวี้อิ๋งพาเด็กคนนี้ไปเด็ดขาด
หลินจินซานให้ความร่วมมืออย่างดี “เลี้ยงง่ายก็ดี ฉันชอบเด็กที่ไม่งอแง”
หลินจินซานและชุนฟางอยู่ต่อ แต่หลินเซี่ยตามเซี่ยไห่กลับไป
“เซี่ยเซี่ย เธอรู้สึกบ้างไหมว่าลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋งดูแปลกชอบกล”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น “แปลกตรงไหน?”
เซี่ยไห่กล่าวว่า “ดูไม่เหมือนทารกวัยสามเดือนเลยสักนิด สีหน้าก็แปลกมาก ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้”
ถึงจะหัวเราะ แต่ก็ต่างจากเสียงหัวเราะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของทารกคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
เสียงหัวเราะของเด็กคนนั้นดูเหมือนพยายามดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง
“อาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันเหรอคะ?” หลินเซี่ยนึกว่าเธอมีอคติกับเด็กคนนี้ถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ไม่นึกว่าเซี่ยไห่จะรู้สึกเช่นเดียวกัน
หมายความว่า ลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋งดูแปลกจริงๆ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนี้
เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการควบคุมเด็กคนนี้ไว้ให้ได้ ใช้เด็กคนนี้เป็นตัวประกัน กุมจุดอ่อนของเสิ่นอวี้อิ๋งเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านถังจวิ้นเฟิงก็เรียกประชุมด่วน พุ่งเป้าสงสัยกลับไปที่พวกเสิ่นอวี้อิ๋ง
โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่หลินเซี่ยให้มา ตามหาผู้ชายชื่อเจิ้งต้าหมิง
เสิ่นอวี้อิ๋งถูกคำขู่ทางโทรศัพท์ของหลินเซี่ยทำให้ปริวิตกจริงจังเสียแล้ว
หล่อนติดต่อไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเป็นอันดับแรก แต่กลับได้ยินผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าพูดว่า วันนี้มีคนจะรับอุปการะเสิ่นเสี่ยวอวี้ ตอนนี้กำลังสร้างความคุ้นเคยกันอยู่
เซี่ยหลานใช้เส้นสายฝากเด็กเข้าสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เสิ่นอวี้อิ๋งไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่ของที่นั่นจึงไม่รู้จักหล่อน เข้าใจว่าหล่อนอยากรับอุปการะเหมือนกันจึงแนะนำให้หล่อนแวะเข้ามาดู ถ้าพบเด็กที่ถูกชะตา ก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอน มีคุณสมบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดก็สามารถรับอุปการะได้
พอเสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินว่ามีคนมารับอุปการะเสิ่นเสี่ยวอวี้ หล่อนก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของหลินเซี่ย
หล่อนไม่คิดเลยว่าหลินเซี่ยจะรู้เรื่องของเธอละเอียดถึงขนาดนี้
เซี่ยหลานพูดว่าไม่ได้บอกหลินเซี่ยว่าส่งเด็กไปที่ไหน แต่หลินเซี่ยกลับรู้แม้กระทั่งชื่อเด็ก
หลินเซี่ยรู้เรื่องของหล่อนกระจ่างดุจนิ้วมือของตัวเอง
เสิ่นอวี้อิ๋งรู้สึกหวาดกลัวจับใจ
รู้สึกว่าครั้งนี้ถ้าจัดการได้ไม่ดี ชื่อเสียงของหล่อนอาจถึงคราวป่นปี้จริง ๆ ก็ได้
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่มีแก่ใจไปสนเรื่องอื่น ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วรีบออกไปหาถังหลิง
จากข้อมูลที่หลินเซี่ยให้มา การใช้เส้นสายของตระกูลเฉิน บวกกับทุกคนออกตามหาหู่จือกันแต่เนิ่น ๆ ในที่สุดก็ได้เบาะแสในตอนค่ำของวันรุ่งขึ้น
จากการสอบถามมีคนให้เบาะแสว่า เมื่อวานช่วงสิบโมงเช้า เด็กชายคนหนึ่งถือถุงขาหมูออกมาจากร้านขายขาหมู จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งตามหลังเด็กคนนั้นไป
สมัยนี้กล้องวงจรปิดเป็นของหายาก โดยเฉพาะตามถนนทั่วไปยิ่งไม่มี
ต้องอาศัยการสอบถามจากผู้คนเพื่อหาเบาะแส
ตอนนี้มีเบาะแสแล้ว จากการสืบสวนสอบสวน พบว่าชายที่ถือถุงปุ๋ยคนนั้นก็คือเจิ้งต้าหมิงที่หลินเซี่ยพูดถึง
ตำรวจสืบพบที่ทำงานของเจิ้งต้าหมิงแล้ว
หลังจากเจิ้งต้าหมิงถูกเสิ่นเถี่ยจวินซ้อมจนน่วมก็ไม่กล้าไปทำงานที่ร้านซ่อมจักรยานหน้าโรงเรียนมัธยมต้นอีก
แต่จากการสอบถามเจ้าของร้านซ่อม พบว่าเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา เจิ้งต้าหมิง
ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
แต่เขาลาออกไปเมื่อหลายวันก่อน โดยอ้างว่าจะกลับบ้านเกิด
เฉินเจียเหอโทรหาโจวเจี้ยนกั๋ว ให้เขาไปดูว่าเจิ้งต้าหมิงกลับบ้านหรือเปล่า ขณะเดียวกันก็บอกให้ไปแจ้งความทางนั้นเอาไว้ ถ้าเจิ้งต้าหมิงกลับบ้านเกิดจริง พอลงจากรถไฟจะได้เข้าจับกุมตัวทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีเบาะแสที่จะตามตัวหู่จือเจอแล้ว ขอให้เจอตัวไวๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………