ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 664 ชื่อเดิมอันเต็มไปด้วยเรื่องชู้สาว
ตอนที่ 664 ชื่อเดิมอันเต็มไปด้วยเรื่องชู้สาว
หลินเซี่ยได้ยินคำถามที่เสิ่นอวี้หลงถามเซี่ยหลานแล้วก็เข้าใจในทันที ว่าเหตุใดเสิ่นอวี้หลงถึงได้อยากพบเธอมากมายขนาดนี้
เธอพลันรู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นก็แอบสังเกตสีหน้าของเสิ่นอวี้หลง ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ของเสิ่นอวี้หลง หากรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวในช่วงที่ผ่านมา เกรงว่าเขาคงจะหมดสติไปอีกครั้ง
เซี่ยหลานเองก็ดูอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เสิ่นอวี้หลงยังคงจ้องมองไปที่เซี่ยหลาน รอคำตอบจากหล่อนอยู่เช่นนั้น
เซี่ยหลานกับลุงฝ่ายแม่ของเขาพูดถึงชื่อเซี่ยเซี่ยให้เขาได้ยินหลายครั้งตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้
ตอนแรกเสิ่นอวี้หลงยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงใคร จนกระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมาหลังฟื้นคืนสติได้ เขาจึงค่อยๆ วิเคราะห์จากคำพูดของพวกเขา จนได้รู้ว่าเซี่ยเซี่ยก็คือเสิ่นอวี้อิ๋งพี่สาวของตน
ทำไมพวกเขาถึงเรียกเสิ่นอวี้อิ๋งพี่สาวของเขาว่าเซี่ยเซี่ย?
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาจึงถามเซี่ยหลานถึงข้อสงสัยนี้
เขาจำไม่ได้ว่าพี่สาวของเขามีชื่อเล่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
แต่พอถามทีไร แม่ของเขาก็เอาแต่ตอบอ้ำอึ้ง
เสิ่นอวี้หลงจึงรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
เขาหมดสติไปนานเป็นปี แม้ท่าทางของแม่จะดูดีใจที่เขาฟื้นขึ้นมาได้ แต่เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ
พ่อก็ไปทำงานต่างเมือง ปู่ก็ไม่ได้รีบมาเยี่ยมเขาเลย
พี่สาวก็เปลี่ยนชื่อไป
มื้อเที่ยงเขาจึงเริ่มอารมณ์เสีย งอแงว่าถ้าเซี่ยหลานไม่บอกสาเหตุ เขาจะไม่กินข้าว
และเขาต้องการพบกับหลินเซี่ย เพื่อให้เธอมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
แม้เขาจะหลับไปนาน แต่ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ สมองเขาก็ยังแจ่มใจ ความทรงจำก็ไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด
เขาจดจำเรื่องราวได้หมดทุกอย่างก่อนจะหมดสติไป ยกเว้นแค่ชื่อของพี่สาวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่ทำไมเขาและแม่ถึงได้มาพักอยู่ที่บ้านของลุง?
คำถามเหล่านี้ เขาจำเป็นต้องได้คำตอบ
เสิ่นอวี้หลงตอนนี้เป็นหนุ่มอายุสิบเจ็ดแล้ว เขาไม่ได้โง่เขลา
คำถามที่เขาถามอย่างกะทันหันทำให้เซี่ยหลานไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่เซี่ยหลานก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้ กลับมองไปที่หลินเซี่ยแทน
สายตาของเสิ่นอวี้หลงเบนมาทางหลินเซี่ย หันมาถามเธอว่า “พี่เปลี่ยนชื่อเป็นเซี่ยเซี่ยตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”
หลินเซี่ยสบตากับเฉินเจียเหอ สีหน้าทั้งคู่แฝงความลำบากใจ
คำถามนี้ เธอควรจะตอบอย่างไรดี
เซี่ยหลานไม่ได้โทรมานัดแนะกับเธอล่วงหน้าเลย
เธอไม่รู้ว่าเซี่ยหลานอธิบายให้เสิ่นอวี้หลงฟังว่าอย่างไร
“ผมได้ยินคุณแม่เรียกพี่ว่าเซี่ยเซี่ย พอถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็ไม่ยอมตอบ”
เสิ่นอวี้หลงมองมาทางหลินเซี่ยพร้อมกับความสงสัยเต็มเปี่ยม “พี่เปลี่ยนชื่อไปตอนไหน แล้วทำไมถึงเปลี่ยน?”
“ฉันเปลี่ยนเมื่อปีที่แล้วน่ะ”
หลินเซี่ยคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเดินไปที่เตียง สายตาก็มองมาที่เสิ่นอวี้หลง พลางถอนหายใจอธิบาย “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ หลังจากที่นายประสบอุบัติเหตุ นายก็ถูกพาไปรักษาหลายที่ หมอหลายท่านพยายามช่วยแต่ก็ไม่เป็นผล ทำอย่างไรนายก็ไม่ฟื้นสักที แม่เป็นห่วงจนแทบขาดใจ หล่อนเครียดมากจนสีผมที่เคยดกดำก็กลายเป็นหงอกขาว สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่น แม่ที่เป็นหมอยึดหลักตรรกะเหตุผลแท้ๆ ยังต้องไปจุดธูปไหว้พระที่วัด จนได้เจอกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง พระอาจารย์ท่านว่าชื่อของฉันความหมายไม่ค่อยดี เหมือนคำว่า “อิ๋ง” จะไม่เป็นมงคลอะไรนี่แหละ ท่านก็เลยให้ที่บ้านเปลี่ยนชื่อให้ฉัน เผื่อว่ามันอาจจะทำให้นายฟื้นขึ้นมาได้”
หลินเซี่ยกุเรื่องขึ้นอย่างน้ำไหลไฟดับ
“เอาเป็นว่าเพื่อให้นายฟื้นขึ้นมา เราได้ทำทุกวิถีทางที่พอจะทำได้หมดแล้ว เรื่องเปลี่ยนชื่อเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันเลยทำตามพระอาจารย์บอกและเปลี่ยนชื่อเป็นเซี่ยเซี่ย”
หลินเซี่ยแต่งเรื่องขึ้นมาได้รวดเร็ว แถมยังฟังดูสมเหตุสมผลจนไม่มีใครสงสัย
เมื่อวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ไสยศาสตร์จึงกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขา
คนอื่นๆ ในห้องต่างก็โล่งใจ สายตาที่มองหลินเซี่ยนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
สาวน้อยคนนี้ช่างหัวไวสมองใสเสียจริง
ผู้เฒ่าเซี่ยนึกคร่ำครวญในใจ เหตุใดตอนเรียนหนังสือหล่อนถึงไม่ฉลาดแบบนี้บ้าง
ในขณะที่เสิ่นอวี้หลงฟังแล้วยังรู้สึกงงๆ
แต่ก็สงสารแม่ของเขาจับใจ
เขาจำเรื่องราวหลังจากที่ตัวเองหมดสติไม่ได้ แต่พอได้มองดูแม่ เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เพราะแม่ของเขาดูซูบซีดและแก่โทรมลงมาก บนศีรษะมีแต่ผมขาวขึ้นเต็มไปหมด ต่างจากหมอสาวที่ทั้งฉลาดและสง่างามในความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลออกมาทางหางตา
เขาเสียใจต่อพี่สาวของเขาด้วย เพราะเมื่อก่อนเขาไม่ชอบหล่อนเลย
แต่พอถึงคราวจำเป็น หล่อนกลับเปลี่ยนแม้กระทั่งชื่อของตัวเองเพื่อเขา
หลินเซี่ยรู้สึกตกใจที่เห็นเสิ่นอวี้หลงร้องไห้ ด้วยกลัวว่าเขาจะรู้สึกผิดในเรื่องนี้ จึงพูดปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“พระอาจารย์ยังบอกด้วยว่า ชื่อเดิมของฉันมันทำให้เจอแต่เรื่องชู้สาว มีแต่ผู้ชายเลวๆ เข้ามา”
เสิ่นอวี้หลงได้ยินหลินเซี่ยพูดก็เพิ่งนึกขึ้นได้ “พี่สาว ผมจำได้ว่าตอนนั้นพี่คบกับหลิวจื้อหมิงอยู่นี่”
จากนั้นก็แอบเหลือบมองเฉินเจียเหอ
หลินเซี่ยพยักหน้าหนักแน่น “อืม ใช่แล้ว ก็ไอ้นั่นไงผู้ชายเลวคนนั้น ทำฉันเจ็บไม่น้อย พอฉันเปลี่ยนชื่อก็ได้เจอพี่เขยแล้วไง เห็นไหมว่าพี่เขยดีกว่าตั้งเยอะ”
เสิ่นอวี้หลงหันไปมองเฉินเจียเหออีกทีพลางพึมพำ “ดีตรงไหน ไม่เห็นจะดีเลย”
เฉินเจียเหอกระแอมแล้วก็ก้าวเข้ามาจ้องหน้าหนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียง พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “อวี้หลง เราเพิ่งรู้จักกัน อยู่ด้วยกันนานๆ เดี๋ยวนายก็จะเห็นข้อดีของฉันเองแหละ”
เสิ่นอวี้หลงเอ่ยเสียงเย็น “ผมยังไม่เห็นข้อดีคุณเลย เห็นแค่ว่าคุณแก่กว่าพี่สาวผมมาก”
เฉินเจียเหอ “!!!”
“น้าครับ พ่อผมไม่แก่หรอก” หู่จือพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม “พ่อผมแข็งแรงมากเลยนะ สร้างรถไฟได้ด้วย”
“สร้างรถไฟเหรอ” เสิ่นอวี้หลงมีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อย เขาหันไปมองเฉินเจียเหอด้วยความสงสัย
เฉินเจียเหอกระแอมไอ และเปิดปากพูด “แนะนำตัวสักนิด ฉันชื่อเฉินเจียเหอเป็นวิศวกรเทคนิคของโรงงานรถไฟไห่เฉิง รับผิดชอบงานวิจัยและพัฒนารถไฟ”
เสิ่นอวี้หลงได้ฟังคำแนะนำตัวของเขา สายตาที่มองเฉินเจียเหอก็เปลี่ยนไปในทันที
เขาถาม “คุณเก่งกว่าพ่อผมเหรอ”
แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นผู้อำนวยการโรงงาน แต่ก็เป็นเพียงตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่ใช่ความรู้ความสามารถที่แท้จริง
เฉินเจียเหอตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
“โอ้”
เสิ่นอวี้หลงเหลือบมองเฉินเจียเหอด้วยหางตา
ถึงอีกฝ่ายจะสร้างรถไฟเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็เลี่ยงความจริงไม่ได้ว่าอายุห่างจากพี่สาวของเขาไปมาก
พอฟื้นขึ้นมา พี่สาวก็ถูกชายชราลักพาตัวไปจนตั้งท้อง
เขารู้ดีว่าพี่สาวตนค่อนข้างโง่เขลามาแต่เด็ก ถึงได้ถูกหลอกจากคนนี้ทีคนโน้นที
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกหดหู่ใจที่ตนเองไม่สามารถทำหน้าที่น้องชายได้ดีพอ
เขาจึงถามเซี่ยหลานว่า “แม่ครับ พ่อไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ”
พอเสิ่นอวี้หลงถามถึงเสิ่นเถี่ยจวินอีกครั้ง เซี่ยหลานก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามทันที
“อวี้หลง แม่ว่าสีหน้าลูกดูไม่ค่อยสู้ดี ลูกไปนอนพักก่อนดีกว่านะ อย่าฝืนตัวเองเกินไป เดี๋ยวเขาทำงานเสร็จแล้วก็กลับมาเองแหละ”
“ครับ” เสิ่นอวี้หลงนั่งอยู่ตั้งแต่หลินเซี่ยกับคนอื่นๆเข้ามา ตอนนี้จึงเหนื่อยมาก รู้สึกว่าทั้งตัวเมื่อยล้าอ่อนแรง ทำให้ต้องนอนลง
พอเขานอนลง เขาก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยหลานปิดประตูเบาๆ แล้วเดินนำหลินเซี่ยและคนอื่นๆ ไปที่โถงกลาง
“เซี่ยเซี่ย ลูกมีไหวพริบดีจริงๆ แม่กลัวว่าลูกจะพลั้งปากไปเสียแล้ว”
เซี่ยหลานมองหลินเซี่ยด้วยสายตาซาบซึ้งใจ
เป็นเพราะหล่อนผ่านเรื่องราวหลายต่อหลายเรื่อง บวกกับต้องอดหลับอดนอนเพราะดูแลเสิ่นอวี้หลงในตอนกลางคืน ทำให้ความคิดของหล่อนเชื่องช้าไม่แจ่มใส ไม่อาจตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วฉับไวยามเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ
โชคดีที่หลินเซี่ยยังเฉลียวฉลาด
หากหลินเซี่ยบอกเหตุผลที่แท้จริงในเรื่องที่เปลี่ยนชื่อ เสิ่นอวี้หลงก็จะรู้ว่าเขากับหลินเซี่ยไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ
แล้วเรื่องนี้จะโยงไปถึงเรื่องสับเปลี่ยนตัวเด็ก จากนั้นเสิ่นอวี้หลงก็คงจะถามหาบุคคลตัวการที่เป็นคนสับเปลี่ยนตัวเด็ก
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป
เสิ่นอวี้หลงเพิ่งฟื้น เขาไม่ควรได้ยินเรื่องกระทบกระเทือนทางจิตใจ
หลินเซี่ยเอ่ยขึ้น “แม่คะ ฉันรู้ดีค่ะว่าควรทำอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือให้อวี้หลงรักษาสุขภาพให้ดีก่อน เรื่องอื่นค่อยคุยกับเขาทีหลัง”
ผู้เฒ่าเซี่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ปิดได้นานแค่ไหนก็ปิดไป สุขภาพของเขาตอนนี้สำคัญที่สุด”
ผู้เฒ่าเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้น
“เอาเป็นว่าเราก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องบอกเรื่องที่เซี่ยเซี่ยไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเขา ถึงยังไงเสิ่นอวี้อิ๋งก็ไม่มาปรากฏตัวอยู่แล้ว ถือว่าไม่มีหล่อนเลยก็แล้วกัน”
เซี่ยหลานส่ายหน้าอย่างจนใจ “ถ้าเสิ่นอวี้หลงหายป่วย เขาก็คงจะจับได้อยู่ดี”
หล่อนอยากให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม
แต่บางความสัมพันธ์คงจะย้อนกลับไปไม่ได้
อย่างน้อยตอนนี้หลินเซี่ยก็มีพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองแล้ว
พวกเขาคงเป็นแค่ญาติกัน
ตอนนี้เสิ่นอวี้หลงยังนอนอยู่บนเตียง ยังพอปิดบังเขาได้อยู่
แต่ถ้าเมื่อใดเขาฟื้นตัวดีจนเดินได้แล้ว แน่นอนว่าคงปกปิดเรื่องนี้ได้อีกไม่นาน
หลินเซี่ยกล่าว “คุณตา คุณแม่ อย่ากังวลไปเลยค่ะ รอให้เสิ่นอวี้หลงหายดีแล้ว พวกเราค่อยบอกความจริงกับเขาก็ได้ ฉันว่าเขาน่าจะเข้าใจนะคะ เพราะเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ได้ งั้นตอนนี้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับแล้วกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยเซี่ยทำดีมาก ตอนนี้อย่าเพิ่งให้อวี้หลงรู้ความจริงเลย
พี่เขยยังไม่แก่นะอวี้หลง อย่าบู้บี้พี่เขยแบบนั้นสิ
ไหหม่า(海馬)