ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 666 จะอยู่กับพวกเขาจนโตเลยเหรอ
ตอนที่ 666 จะอยู่กับพวกเขาจนโตเลยเหรอ
ด้วยตารางงานอันแน่นขนัดของเฉินเจียเหอ เขาจึงจำเป็นต้องกลับไปที่หน่วยทำงานหลังวันที่เจ็ดของเทศกาลปีใหม่
ในยามที่เขายุ่ง เขาต้องทำงานอย่างน้อยวันละสิบสองชั่วโมง
เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังเล็ก เขาก็ทำความสะอาดบ้านจนสะอาดเอี่ยมอ่อง และเติมของตู้เย็นจนเต็ม จากนั้นจึงค่อยออกไปทำงาน
ในขณะที่เฉินเจียเหอกำลังจะออกจากบ้าน โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงของครอบครัวทางแม่ที่บอกให้หลินเซี่ยไปอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสองวัน
จากนั้นกล่าวต่อว่าเซี่ยไห่จะมารับ ให้พวกเขาเตรียมตัวเอาไว้ จะได้ไปอยู่ที่บ้านจนถึงวันเทศกาลโคมไฟ
ว่าตามธรรมเนียมแล้ว ลูกสาวที่แต่งงานออกไปต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ในช่วงเทศกาลโคมไฟ
“หู่จือ จัดเสื้อผ้าไว้สักสองชุดด้วยนะ เดี๋ยวเราจะไปอยู่ค้างบ้านคุณตาคุณยายกัน”
“แม่ รอเดี๋ยวครับ เก็บเงินอั่งเปาปีใหม่ให้ผมก่อน”
ปีนี้หู่จือได้เงินอั่งเปาปีใหม่อู้ฟู่มาก
เขาได้ยินว่าจะต้องไปค้างที่บ้านคุณตาคุณยาย จึงกลัวว่าหากเก็บเงินอั่งเปาไว้ที่บ้านจะไม่ปลอดภัย จึงขอให้หลินเซี่ยเป็นคนเก็บไว้
เขายื่นกระเป๋าเงินใบน้อยของตัวเองให้แม่
“แม่ช่วยนับให้ผมหน่อยว่ามีทั้งหมดเท่าไหร่ นับครบแล้วฝากเก็บให้ผมด้วยนะครับ”
หู่จือเทเงินทั้งหมดในกระเป๋าออกมาแล้วเริ่มนับ
พบว่ามีธนบัตรอยู่ห้าสิบใบ โดยที่ธนบัตรใบละสิบหยวน ห้าหยวน และสองหยวนล้วนเป็นใบใหม่เอี่ยม
หู่จือนับจนครบแล้วก็เอ่ยขึ้น “แม่ ผมนับได้ทั้งหมดแปดร้อยยี่สิบหยวนละครับ”
หลินเซี่ยที่อยู่ด้านข้างมองเขานับเงินอย่างแม่นยำไม่มีผิดพลาดเลยสักนิด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เด็กคนนี้ฉลาดมาก คิดเลขเก่งจริงๆ
“เจ้าลูกชาย ปีใหม่นี้ลูกเป็นเศรษฐีตัวน้อยแล้วนะ”
หู่จือยื่นเงินให้กับหลินเซี่ยอย่างใจกว้างพร้อมกับพูดว่า “แม่ เอาเงินนี้ไปทำธุรกิจได้นะฮะ”
“แม่มีเงินอยู่จ้ะ” หลินเซี่ยใส่เงินของหู่จือลงในซอง “อีกไม่กี่วันแม่จะไปเปิดบัญชีให้ แล้วเอาเงินไปฝากไว้ พอถึงปีใหม่แต่ละปี แม่จะเก็บเงินค่าอั่งเปาไว้ให้เรื่อยๆ จนกว่าลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่นะ”
หลังจากหลินเซี่ยพูดจบ เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แม่แท้ๆ ของหู่จือปรากฏตัวแล้ว ถึงตอนนั้นหู่จือจะอยู่กับพวกเขาจนถึงวัยผู้ใหญ่หรือเปล่า?
ถ้าหู่จือรู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิตของเขาในวันหนึ่ง เขาจะเลือกทางไหน?
เธอพลันอึดอัดใจขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่แท้ๆ ของหู่จือจะมาเยี่ยมเด็กน้อยในทุกสองสามวันของเทศกาลโคมไฟ
ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอรู้สึกเห็นใจแม่ของหู่จือ
แต่ในฐานะแม่เลี้ยงของหู่จือ เธอก็แอบมีความคิดเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง
เธอไม่อยากให้หู่จือโดนพาตัวไปเลยจริงๆ
พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานจนมีความผูกพันกันในฐานะแม่ลูก
แถมหู่จือมองว่าเธอกลายเป็นแม่ของเขาไปแล้ว
“แม่ มัวเหม่ออะไรอยู่เหรอครับ รีบเอาเงินไปซ่อนสิ”
หลินเซี่ยพลันได้สติ กระพริบตาที่รู้สึกร้อนผ่าว ก่อนตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ได้จ้ะ ลูกเก็บเสื้อผ้าของลูกลงกระเป๋าก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะเอาเงินไปเก็บไว้ให้”
หลินเซี่ยลงกลอนลิ้นชักที่เก็บเงินอั่งเปาปีใหม่ของหู่จือ เมื่อหันมาเห็นรูปถ่ายครอบครัวสามคนตั้งอยู่ที่หัวเตียง ความเศร้าโศกก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง
เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องนอน พอสองแม่ลูกเก็บของเสร็จ เซี่ยไห่ก็มาพอดี
หลินเซี่ยเห็นตารางชีวิตอันยุ่งเหยิงของเซี่ยไห่แล้วก็เกรงใจ “อารอง ลำบากคุณมารับพวกเราแล้ว ความจริงพวกเราอยู่บ้านที่นี่กันได้อยู่ค่ะ”
“ฉันคิดว่าคนบ้างานอย่างเจียเหอไม่มีเวลามาสนใจเธอกับหู่จือหรอก เขาเป็นคนโทรมาขอให้ฉันพาพวกเธอกลับบ้านแม่เองแหละ พวกเธอสองคนจะได้อยู่บ้านแม่อย่างสบายใจโดยที่พวกเราไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
หลินเซี่ยรู้สึกประหลาดใจ “เขาโทรไปบ้านนั้นเหรอคะ?”
“ใช่ไง ไม่งั้นเราคงคิดว่าพวกเธอยังอยู่ในบ้านพักสวัสดิการกองทัพ” เซี่ยไห่รับเอากระเป๋าเป้นักเรียนใบเล็กของหู่จือและกระเป๋าเป้ของหลินเซี่ยมาสะพาย จูงมือหู่จือ ก่อนจะบอกกับหลินเซี่ย “ตรวจบ้านให้ทั่วทั้งนอกบ้านในบ้านเลยนะ ปิดไฟ ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยหรือยัง”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยรู้ว่าเฉินเจียเหอรับรู้ได้ว่าเธออยู่ที่บ้านพักสวัสดิการกองทัพไม่ค่อยสะดวก จึงรับตัวเธอกับหู่จือกลับบ้าน แล้วให้เซี่ยไห่รับพวกเธอไปบ้านแม่
เมื่อก่อนตอนยังไม่ตั้งครรภ์ ยามอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหาร เธอก็จะเข้าไปช่วยโจวลี่หรงกับคุณย่าเฉินลงมือทำกับข้าวและงานอื่นๆ อีกทั้งยังช่วยทำงานบ้านทั่วไปอย่างขยันขันแข็ง
แต่พอตั้งครรภ์แล้ว โจวลี่หรงก็ไม่ให้เธอได้กระดิกตัวทำอะไรที่อยากทำเลย
เนื่องจากสภาพร่างกายตอนนี้ของเธอไม่เอื้ออำนวย ซึ่งงานบางอย่างเธอก็ทำไม่ได้จริงๆ
เธอจึงรู้สึกอึดอัดใจกับการนั่งเฉยๆ รอการปรนนิบัติจากคนอื่น
โดยเฉพาะคุณปู่และคุณพ่อสามีที่ค่อนข้างจริงจัง เธอเลยไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองที่บ้านนั้น
ความจริงแล้วเธอกับหู่จืออยู่ด้วยกันที่บ้านนี้ก็ได้ แต่เฉินเจียเหอเป็นห่วง
เฉินเจียเหอเห็นว่าเธอดูสบายและเป็นตัวของตัวเองมากกว่ายามที่ได้อยู่บ้านแม่
ทั้งนอนดูทีวี กินขนมบนโซฟาได้ตามสบาย
อีกทั้งยังหยอกล้อคุยเล่นหัวกับอารองและหลินจินซานได้โดยไม่ต้องเกรงใจ และยังสั่งให้น้องสาวทำนู่นทำนี่ได้โดยไม่รู้สึกเป็นภาระ
หลายคนถามว่าลูกสะใภ้สามารถปฏิบัติกับแม่สามีเหมือนแม่แท้ๆ ได้หรือไม่
จากประสบการณ์ของหลินเซี่ยก็คือ……ทำไม่ได้
เธอสามารถใช้งานแม่ของตนได้ตามใจชอบ ยามที่แม่ของตนเองทำอะไรผิดพลาด เธอก็สามารถติเตียน บอกข้อผิดพลาดของท่านได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ
กระทั่งทะเลาะเบาะแว้งกันได้โดยไม่รู้สึกกดดันใดๆ
แต่ด้วยนิสัยของหลิวกุ้ยอิงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอจะทะเลาะกัน
สำหรับแม่สามี สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดก็คือ การเคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสันติ
ส่วนการไหว้วาน การติเตียน?
นั่นถือเป็นการกระทำที่ไม่เคารพกันอย่างถึงที่สุด
บางทีเรื่องแบบนี้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลก็เป็นได้
แต่ในตอนต้องอยู่กับแม่สามีโจวลี่หรงซึ่งมีบุคลิกเอาเรื่องและค่อนข้างเคร่งขรึม เธอจึงรู้สึกเกร็งๆ จะพูดจาอะไรก็เกรงใจ
พอลงมาจากห้องพักด้านบน หู่จือที่เห็นรถสีแดงก็ร้องขึ้นว่า “คุณตารอง ซื้อรถใหม่มาเหรอครับ”
“ไม่ใช่ ของคุณยายรองต่างหาก”
“มา ขึ้นรถกันเถอะ”
พอหลินเซี่ยและหู่จือกลับถึงบ้าน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็ออกมาต้อนรับ
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่า ทุกครั้งที่พ่อมาต้อนรับเธอ เขาก็มักจะสวมผ้ากันเปื้อนอยู่เสมอ
“เข้ามาเร็ว พ่อทอดลูกชิ้นไว้ให้ลูกแล้ว รีบมากินสิ”
“ว้าว พ่อ ใกล้หมดเทศกาลปีใหม่แล้วนะคะ ทำไมยังทอดลูกชิ้นอยู่อีก”
พ่อของเธอยุ่งอยู่กับการทำอาหารทั้งวันจริงๆ
หลิวกุ้ยอิงรีบยกจานลูกชิ้นทอดมาวางบนโต๊ะทันทีที่หลินเซี่ยและหู่จือก้าวเข้ามาในบ้าน
“ก็ลูกกับหู่จือชอบกินกันไม่ใช่เหรอ ในนี้ยัดไส้หัวไชเท้ากับหมูสับด้วยนะ ในหม้อยังมีมันฝรั่งทอดอีก พวกลูกกินกันไปก่อนเถอะ พ่อจะเข้าไปดูแปบนึง”
เซี่ยเหลยพูดพลางเดินเข้าไปในครัว ส่วนหลิวกุ้ยอิงรีบเดินตามเข้าไปติดๆ
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พ่อของเธอทำอะไร แม่ของเธอก็จะเดินตามไปทุกที
พ่อของเธอก็เช่นกัน ถ้าแม่ไม่อยู่ในสายตา พ่อจะเผลอมองหาโดยไม่รู้ตัว
แม้ทั้งคู่จะไม่พูดจาหวานใส่กัน แต่การกระทำก็เพียงพอที่จะแสดงถึงความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันแล้ว
นี่แหละที่เรียกว่าการอยู่กินกันจนแก่เฒ่า
หลินเซี่ยกับหู่จือพาเมื่อล้างมือ เสร็จแล้วจึงมานั่งกินลูกชิ้นทอด
หลินเซี่ยหยิบให้เซี่ยไห่หนึ่งชิ้น เขาโบกมือปฏิเสธยกใหญ่เพราะเห็นว่ามันเลี่ยนเกินไป
คุณแม่เซี่ยเฝ้ามองสองคนที่กินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู ยิ้มพลางเอ่ยเตือน “ค่อยๆ กินสิ ไม่มีใครแย่งหรอก ทั้งหมดนี้เป็นของพวกเธอทั้งนั้น”
เซี่ยอวี่กับลินดาเดินเข้ามาพอดี เซี่ยอวี่ยิ้มพลางพูด “ไม่มีใครแย่งได้ยังไง พวกเราก็อยากกินนะ”
หลินเซี่ยที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ยินเสียงของเซี่ยอวี่ก็เงยหน้าขึ้น
เซี่ยอวี่เห็นหลินเซี่ยที่สองแก้มพองกลมเหมือนกระรอก ก็กลอกตาใส่อย่างหมดคำพูด “เซี่ยเซี่ย ครอบครัวเฉินเขาไม่ให้พวกเธอกินข้าวหรือไง กลับมาถึงได้หิวโซขนาดนี้”
“ไม่ใช่หิวหรอกค่ะ พ่อกับแม่ทำอาหารอร่อยเกินไป ฉันเลยเผลอกินเยอะไปหน่อย ”
หู่จือที่ทั้งปากแน่นเต็มไปด้วยอาหารพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่ครับ ตายายทำอาหารอร่อยมาก กับข้าวที่ย่าทำไม่อร่อยเท่านี้”
“ก็เพราะตายายเธอเปิดร้านอาหาร ส่วนย่าเธอเป็นข้าราชการ มันเทียบกันไม่ได้หรอก กลับบ้านนั้นแล้วห้ามพูดอย่างนี้นะ ย่าเธอเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ถ้าท่านได้ยินเข้าท่านจะเสียใจเอา” คุณแม่เซี่ยกลัวว่าหู่จือจะพูดไม่คิดจนชวนให้เข้าใจผิด จึงรีบตีเขาด้วยรอยยิ้ม
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้หู่จือได้อยู่กับบ้านเซี่ยเซี่ยจนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่เถอะ แม่แท้ๆ ไม่มีปัญญาเลี้ยงถึงขนาดนี้หรอก
ไหหม่า(海馬)