ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 667 การสู่ขอแต่งงาน
ตอนที่ 667 การสู่ขอแต่งงาน
หลิวกุ้ยอิงยกมันฝรั่งทอดสีเหลืองทองอร่ามที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับโรยด้วยเครื่องปรุงที่ปรุงขึ้นเองโดยเฉพาะ
เธอที่เห็นเซี่ยอวี่กับลินดาที่ปรึกษางานกันเสร็จแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวอวี่ ลินดา รีบนั่งกินเถอะ มีเหลียงเฝิ่นด้วยนะ ถ้าพวกเธอไม่ชอบกินเหลียงเฝิ่นก็บอกให้เราทำอย่างอื่นเพิ่มได้”
เซี่ยอวี่กับลินดายังไม่ทันได้พูดอะไร คุณแม่เซี่ยก็พูดแทรกขึ้นมา “อิงจื่อ แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าตามใจพวกหล่อนนักสิ จะทำอะไรเพิ่มอีกทำไม กินเหลียงเฝิ่นด้วยกันนี่แหละ”
“พี่สะใภ้ พวกเรากินได้ค่ะ ไม่ต้องทำเพิ่มหรอก”
อากาศในช่วงปีใหม่ยังคงหนาวเย็น หลิวกุ้ยอิงจึงนำเหลียงเฝิ่นที่ทำเสร็จแล้วไปผัดกับต้นหอมในน้ำมันคาโนลา แล้วราดด้วยน้ำซุปอุ่นๆ ได้ออกมาเป็นอาหารรสชาตินุ่มนวลสดชื่นและไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
เซี่ยอวี่เพิ่งหยิบมันฝรั่งทอดขึ้นมากินเพียงคำเดียว ลินดาก็รีบห้าม “กินของทอดให้น้อยหน่อย เดี๋ยวอ้วนแล้วจะถ่ายรูปไม่สวย”
“อ๋อ”
ถ้าเป็นเรื่องกิน เซี่ยอวี่ก็ค่อนข้างจะว่านอนสอนง่าย หล่อนจะเชื่อฟังและไม่กินของที่ลินดาบอกว่ากินไม่ได้
มันฝรั่งทอดเพียงคำเดียวก็พอ
คุณแม่เซี่ยมองหลานสาวที่กินจนปากมันเยิ้ม ก่อนเบนสายตาไปมองลูกสาวที่กินได้แค่คำเดียว
เซี่ยอวี่ผู้น่าสงสาร
ตั้งแต่เป็นนักแสดง เซี่ยอวี่ก็ไม่เคยได้กินตามใจอยากเลย
เมื่อก่อนพอหาเงินได้ หล่อนมักจะซื้อไก่ทอดซื้อขาหมู ซื้อบรรดาเนื้อสัตว์มาให้นางกับเซี่ยเหลยกินเนืองๆ แต่ตอนนี้เป็นเพราะต้องรักษาหุ่น หล่อนจึงไม่อาจกินตามใจปากได้มากนัก
เด็กคนนี้ เพื่อรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยงาม กลับต้องแลกมาด้วยการทรมานตัวเองที่ไม่น่ายินดี
เซี่ยไห่เปิดห้องเต้นรำคืนแรกของปีได้อย่างสวยงาม
เขาหันไปหาเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ เมื่อไหร่จะเปิดร้านครับ?”
เซี่ยเหลยตอบ “รอให้ผ่านเทศกาลโคมไฟไปก่อน ช่วงนี้คงไม่มีคน แถมเซี่ยเซี่ยก็กลับมาแล้ว อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาก่อนเถอะ”
“จริงด้วย ตอนนี้ทุกคนมีเวลาว่างก็รีบทำของอร่อยๆ มากินกันเถอะ พอผ่านเทศกาลโคมไฟไปแล้วต่างคนต่างก็จะยุ่งกับงานของตัวเอง คงหาเวลากินข้าวร่วมกันยากแล้วล่ะ”
คุณแม่เซี่ยเพิ่งพูดจบ เซี่ยอวี่ก็พูดสวนขึ้นมา “ฉันกับลินดาต้องไปทำงานพรุ่งนี้แล้วค่ะ”
หญิงชราได้ยินว่าพวกเธอมีงานยุ่งในช่วงปีใหม่ ก็ถามด้วยคิ้วขมวดมุ่น “พรุ่งนี้ไปทำอะไร?”
“พอดีต้องลองแต่งหน้าแต่งตัว นัดถ่ายรูปโฆษณา มีงานอีกเยอะแยะที่ต้องทำเลยล่ะค่ะ”
“ยังไม่พ้นเทศกาลโคมไฟเลย จะออกไปทำงานทำไม รอบนี้ไม่ใช่ว่าคิวงานไม่เยอะเหรอ”
คุณแม่เซี่ยมองลูกสาวและว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยอาการปวดหัว
สองสาวแกร่งนี่ช่างขยันขันแข็งกันทำงานเหลือเกิน แล้วเมื่อไรจะมีเวลาสานต่อความสัมพันธ์ล่ะ
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูกังวลของคุณแม่เซี่ย เซี่ยอวี่ก็พูดว่า “ฉันจะให้ลินดาจัดการเรื่องเวลา เสร็จงานพวกนี้แล้วจะหาเวลาว่างกลับมาหมั้น”
ได้ยินอย่างนั้น คิ้วที่ขมวดมุ่นของคุณแม่เซี่ยก็คลายลง
“ได้ๆๆ ในเมื่อหาเวลาไว้จัดงานหมั้นได้ งั้นพวกเธอไปทำงานพรุ่งนี้เลย”
พอกินอาหารเสร็จ เซี่ยไห่ก็ตะโกนเรียกหลินจินซานให้ไปทำงานที่ห้องเต้นรำ เมื่อคืนมีชายหญิงมาเที่ยวเยอะมาก ห้องคาราโอเกะเต็มหมด วันนี้จึงตั้งใจเปิดร้านเร็วกว่าปกติ
“เสี่ยวไห่ แกกับจินซานเลิกงานแล้วกลับมานอนพักเร็วๆ อย่าลืมไปสู่ขอชุนฟางพรุ่งนี้นะ”
“รู้แล้ว”
เซี่ยไห่กินอาหารฝีมือพี่สะใภ้ของเขาเสร็จ ก็ลากตัวหลินจินซานออกไป
หลินจินซานยังต้องหาเงินค่าซ่อมรถให้เซี่ยไห่อยู่ เขาจึงอยากให้เปิดร้านเร็วๆ เพื่อจะได้เงินค่าจ้าง
วันถัดมา
เซี่ยเหลย หลิวกุ้ยอิง เซี่ยไห่ และหลินจินซานต่างไปที่บ้านชุนฟางเพื่อสู่ขอเจ้าสาว
พ่อแม่ของชุนฟางไม่ได้แจ้งญาติคนไหนเลย พวกเขาจัดงานขึ้นอย่างเงียบๆ มีเพียงสองครอบครัวเจอกัน พูดคุยกันเอง
เพราะฐานะของครอบครัวที่ค่อนข้างธรรมดา พ่อแม่ของชุนฟางจึงมีท่าทางสำรวมเป็นพิเศษเมื่อพวกเซี่ยเหลยเข้าไปในลานบ้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยไห่คนนี้ ที่ถือว่าเป็นเจ้านายใหญ่
เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา รองเท้าหนังขัดมันวาว เรือนผมก็แต่งน้ำมันจนขึ้นเงา
ดูไม่เข้ากับบ้านที่เรียบง่ายหลังนี้เลย
ทว่าเซี่ยไห่กลับไม่มีท่าทีถือตัว คุยง่าย พอชุนฟางนำปอเปี๊ยะมาเสิร์ฟ เขาก็จัดการนั่งลงแล้วหยิบมากิน พลางบอกว่าหิวตั้งแต่ตอนอยู่บนรถ
เมื่อชุนหลินน้องชายของชุนฟางเดินเข้ามาทักทายทุกคน เซี่ยไห่ก็ตบไหล่คุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง พอได้ยินว่าเขาเป็นนักศึกษา เซี่ยไห่ก็มองชุนหลินด้วยสายตาเปลี่ยนไป พลางยกนิ้วให้เขาไม่หยุด
เมื่อเห็นของกำนัลที่เซี่ยไห่กับคนอื่นๆ นำมาอย่างใจกว้าง พ่อของชุนฟางก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ของพวกนี้คงราคาสูงมากสินะครับ ลำบากพวกคุณแย่เลย”
เซี่ยไห่ตอบอย่างยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อจินซานต้องจะตบแต่งกับลูกสาวคุณแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอกครับ”
แม่ของชุนฟางเตรียมอาหารเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ตอนที่พวกเขาไปบ้านตระกูลเซี่ย ครอบครัวเซี่ยก็เลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าครอบครัวของตัวเองจะไม่ได้ร่ำรวย แต่พวกเขาก็ต้องการแสดงความจริงใจออกมาเช่นกัน
แม่ของชุนฟางทำอาหารหลายอย่าง ทั้งยังซื้อเหล้ามาด้วย
พ่อแม่ของชุนฟางเป็นคนซื่อสัตย์ เมื่อพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้น พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากขออะไรเลย เพียงแค่บอกให้เป็นไปตามธรรมเนียมก็พอ
ส่วนเรื่องอื่น พวกเขาไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ
ขอเพียงให้หลินจินซานจริงใจกับชุนฟางก็พอ
ดังนั้น เรื่องนี้จึงตกลงกันได้อย่างราบรื่น
แม่ของชุนฟางทำอาหารเก่ง อาหารบ้านๆ ที่หล่อนทำนั้นอร่อยมาก พวกเขาทุกคนจึงรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย
พ่อของชุนฟางบอกว่าให้พวกเขาดูฤกษ์งามยามดีเพื่อหมั้นกันเสีย
ส่วนเรื่องงานแต่งงาน พวกเขาหวังว่าจะให้จัดช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อขอเวลาเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการที่ลูกสาวของตนจะต้องออกเรือน
เซี่ยเหลยและเซี่ยไห่ดื่มเหล้ากับพ่อของชุนฟาง และพูดคุยกันอย่างมีความสุข
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้มาก ญาติทั้งสองฝ่ายก็เข้ากันได้ดี
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนนั่งดื่มชาพูดคุยกัน
พ่อชุนฟางบอกว่าสมัยหนุ่มๆ เขาก็เคยเป็นทหารเกณฑ์สามปี เมื่อได้คุยกับเซี่ยเหลยจึงถูกคอเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งช่วงบ่าย พวกเขาก็เตรียมตัวกลับ ยังไม่ทันลุกออกจากลานบ้าน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ชุนหลิน ชุนหลิน”
ชุนหลินที่ได้ยินเสียงนี้พลันขมวดคิ้วฉับ มองไปที่พ่อของเขา “พ่อ ดูเหมือนว่าอาเขยรองจะมา”
“เขามาที่นี่ทำไม?” พ่อชุนฟางก็ขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน
ครั้นชุนหลินเปิดประตู ก็เห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในลานบ้าน
คนที่เดินเข้ามามีหัวล้านเลี่ยนทรงง่ามเทโพ สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนัง ดูร่ำรวย สายตาของเขากวาดสำรวจลานบ้านอย่างรวดเร็ว
ภายในบ้าน แม่ของชุนฟางรู้สึกเกรงใจที่พวกเขานำของมาให้มากมาย จึงพยายามจะยัดสามชั้นหมักเกลือที่หล่อนทำเองให้หลิวกุ้ยอิง แต่หลิวกุ้ยอิงไม่อยากรับ ตอนนี้ทั้งคู่จึงกำลังโต้เถียงกันด้วยเสียงค่อนข้างดัง
สายตาของอาเขยรองมองมาที่ชุนหลิน และถามว่า “มีแขกมาที่บ้านหรือ”
“ครับ” ชุนหลินตอบอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้องโถงโดยไม่สนใจใคร และก็ได้เห็นหลินจินซานพร้อมกับแขกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก
“อาเขยรอง มาได้ยังไง” พ่อของชุนฟางเห็นน้องเขยรองแล้วก็รู้สึกปวดหัว
ทำไมไม่มาก่อนหน้านี้หรือช้ากว่านี้ ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วย
น่าเบื่อชะมัด
“ผมมาเยี่ยมญาติ ผ่านมาแถวนี้พอดี เลยแวะมาดู” สายตาของเขาไล่จากเซี่ยเหลยถึงเซี่ยไห่ พลางคาดเดาว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่
แท้จริงแล้วภรรยาของเขาส่งเขามาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากรถยนต์ของหลินจินซานถูกชน
เป็นเพราะเขาจงใจโบกรถแบบส่งเดชจนทำให้รถชนเสาไฟฟ้า เขาจึงกลัวจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าซ่อมรถ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเลยไม่กล้าไปพบหน้าครอบครัวชุนฟางเลย
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายวัน ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร
ดังนั้น ภรรยาของเขาเลยให้เขามาดูสถานการณ์
ว่าชุนฟางเลิกกับแฟนเพราะเรื่องรถชนหรือไม่
เขาหันมาถามหลินจินซานว่า “คนพวกนี้เป็นใคร?”
“คนพวกนี้คือพ่อแม่ของผม และอารองครับ”
หลินจินซานแนะนำให้พวกเขาทราบว่า “นี่คืออาเขยรองของชุนฟาง”
“อาเขยรอง?” ตั้งแต่คนผู้นี้ก้าวเข้ามา เซี่ยไห่ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดี
สายตานั้นช่างดูไม่เป็นมิตรสุดๆ
พอได้ยินว่าเขาคืออาเขยรองของชุนฟาง เขาก็หรี่ตามองแล้วก็ถามเสียงเข้ม “คุณใช่ไหมที่จงใจโบกรถมั่วจนรถผมไปชนกับเสาไฟฟ้า?”
“หา?” อาเขยรองของชุนฟางไม่คิดว่าจะถูกจับได้ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามา เขาจึงรีบปฏิเสธพัลวัน “เปล่าๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย หลินจินซานมันขับรถไม่ดีเอง ผมเป็นแค่คนโดยสาร”
เขามองสีหน้าโกรธเกรี้ยวของเซี่ยไห่ ก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที พลันถามเสียงอ่อน “พวกคุณมาทวงค่าซ่อมรถเหรอครับ?”
เซี่ยไห่กอดอกแล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่ เราตามมาทวงค่าซ่อมรถ ได้ยินมาว่าเรื่องนี้คุณต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง ผมจ่ายค่าซ่อมรถไปพันห้า คุณต้องจ่ายอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง”
เซี่ยไห่ยื่นมือออกไปหาเขา
อาเขยรองของชุนฟางตกใจจนตาค้าง
ครึ่งหนึ่ง? เจ็ดร้อยห้าสิบ?
นี่ถือว่าไม่ปล้นกันเลยเหรอ?
เขามาผิดเวลาแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มาก็ดี ได้เวลาไล่บี้ทวงหนี้แล้วเซี่ยไห่
ไหหม่า(海馬)