ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 669 โอกาสมาถึงแล้ว
ตอนที่ 669 โอกาสมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นว่าอาเขยรองของชุนฟางเปลี่ยนท่าที เซี่ยเหลยก็ทำเพียงตอบอย่างสุภาพ ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายมากแล้ว
จากนั้นเขาก็มองพ่อของชุนฟาง แล้วเอ่ยอย่างสุภาพว่า “พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เชิญครับๆ”
ครั้นอาเขยรองเห็นว่าเหล่าพระประธานออกไปจากบ้านได้เสียที เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ยังไม่ทันจะหายใจทั่วท้อง เขาก็ได้ยินเซี่ยไห่เอ่ยขึ้น “อาเขยรองชุนฟาง อย่าลืมเตรียมค่าซ่อมรถให้ผมด้วยนะ อีกวันสองวันผมจะกลับมาทวง”
อาเขยรองพลันเข่าแทบทรุดตรงนั้น
ระหว่างทางกลับบ้าน เซี่ยไห่ก็ถอนหายใจ “ทำไมชุนฟางถึงได้มีญาติเพี้ยนๆ แบบนี้เหมือนกันนะ?”
หลินจินซานเติบโตมาในครอบครัวประหลาด พอเขาเข้าเมืองมามีแฟน แฟนเขาก็ไม่วายมีญาติพิลึกเป็นโขยงอีก
นี่มันบุพเพอาละวาดหรืออย่างไร?
หลินจินซานยิ้มแหยๆ และรีบอธิบาย
“อารอง แต่พ่อแม่ของชุนฟางใจดีมากเลยนะ ปกติแล้วพวกท่านไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับอาเขยรองของชุนฟางเท่าไหร่”
“ครอบครัวอาหญิงรองแค่อิจฉาชุนฟางที่ได้แฟนดีๆ อย่างผมน่ะ”
เซี่ยไห่ที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมากลอกตาใส่หลินจินซาน “ไม่ใช่ว่าตัวเองมีดีอะไรหรอก คนอื่นเขาอิจฉาสถานะครอบครัวของเราต่างหาก อย่าเข้าใจผิดล่ะ”
หลินจินซานทำหน้าบึ้งเตรียมตั้งท่าจะแย้งเซี่ยไห่ หลิวกุ้ยอิงก็พูดสวนขึ้นมา “จินซาน อารองเขาพูดไม่ผิด ต่อไปนี้ต้องรู้จักประมาณตนเองซะบ้าง”
เซี่ยเหลยไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เซี่ยไห่และหลิวกุ้ยอิงพูด “จินซานเป็นลูกของเรา เราเป็นรากฐานให้ลูกแล้วมีอะไรที่เขาต้องประมาณตนอีก?”
การเอาแต่พร่ำบอกหลินจินซานว่าควรประมาณตนนั้นไม่ใช่เป็นการบอกว่าเขามีแซ่หลินและเป็นคนนอกหรอกหรือ?
มันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกกันเปล่าๆ
เซี่ยไห่หันไปมองเซี่ยเหล่ย พลางอธิบายว่า “ที่ผมกับพี่สะใภ้ตั้งใจจะบอกคือให้เขาเป็นคนอ่อนน้อมเจียมตัว ขยันขันแข็ง อย่าทระนงตนเท่านั้นเอง”
“อารอง ผมไม่ได้ทระนงตน ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าผมทระนงตนล่ะ? คนเรามันก็ต้องอยากอวดรวยกันบ้าง แต่ผมรู้สถานะของตัวเองดี ผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของลุงเซี่ย ไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณ ทรัพย์สินของคุณไม่เกี่ยวอะไรกับผม ไม่ต้องคิดว่าผมจะละโมบอยากได้หรอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดเหรอ?”
หลินจินซานรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก คำพูดของเซี่ยไห่ทำให้หัวใจดวงน้อยที่แสนเปราะบางของเขาเจ็บปวด เขาหลุบตาลงเอ่ยเสียงกระด้าง
“ผมไม่คิดจะแย่งอะไรจากพวกคุณเลย ความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นสิ่งเดียวที่ผมอยากได้”
เขาเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาด้วยตาแดงก่ำ “ลองถามแม่ผมดูก็ได้ว่าก่อนหน้านี้บรรยากาศครอบครัวของพวกเราเป็นยังไง สิ่งที่ผมอยากได้ก็คือความรัก ไม่ใช่ทรัพย์สิน”
คำพูดของหลินจินซานกระทบหัวใจของเซี่ยเหลยอย่างรุนแรง
เซี่ยเหลยตบไหล่หลินจินซานเสียงหนักแน่น “จินซาน ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันเคยบอกแล้วว่าตั้งแต่วันที่แม่เธอแต่งงานกับฉัน ฉันก็ถือว่าเธอและเสี่ยวเยี่ยนเป็นลูกของฉัน อย่าไปฟังคำพูดเพ้อเจ้อของอารองเลย”
เซี่ยไห่โอบคอหลินจินซาน และทั้งสองก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน “ฉันเข้าใจนายดี และไม่คิดว่านายจะขาดอะไรด้วย ที่ฉันเตือนให้นายประมาณตัวเองก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าสัมภเวสีอย่างอาเขยรองของชุนฟางจะเข้ามารังควานนายกับชุนฟางจนอยู่ไม่เป็นสุข เข้าใจไหม?”
หลินจินซานมีอารองนิสัยพิลึกที่บ้านเกิดผู้ขี้เกียจเห็นแก่กินคนหนึ่งเช่นกัน
เซี่ยไห่จึงรู้สึกว่าคนพวกนั้นอาจจะมารบกวนหลินจินซานในสักวันหนึ่ง
ว่าตามตรงแล้ว เซี่ยไห่ไม่ได้คิดว่าญาติพวกนั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้หลินจินซานได้หรอก
แต่เห็นหน้าคนพวกนั้นทีไรก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ
หลินจินซานเริ่มเข้าใจความหวังดีของเซี่ยไห่
“ผมรู้แล้ว ต่อไปผมกับชุนฟางจะอยู่ห่างๆ จะไม่ยุ่งกับคนพวกนั้นแล้ว”
“ไป กลับบ้าน”
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเซี่ยกับคุณแม่เซี่ยก็เข้ามารุมล้อม
คุณแม่เซี่ยรีบถาม “เป็นไงบ้าง คุยราบรื่นไหม? พ่อแม่ชุนฟางว่ายังไง?”
เซี่ยเหลยบอก “ราบรื่นทุกอย่าง เรื่องสินสอดเขาไม่ได้พูดถึง เราก็ให้ตามมาตรฐานสินสอดทั่วไปก็แล้วกัน”
“ลุงเซี่ย เรื่องค่าสินสอดเดี๋ยวผมจัดการเอง ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” พอหลินจินซาน ได้ยินเซี่ยเหลยพูดเรื่องสินสอด เขาก็พูดอย่างจริงจัง “ผมโตแล้ว ผมต้องมีความรับผิดชอบ เรื่องนี้ให้ผมเป็นคนจัดการเอง”
เซี่ยเหล่ยหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เธอมีหรือ?”
“มีครับ” หลินจินซานตอบอย่างมั่นใจ “อารองให้เงินผมตั้งเยอะ ผมกินอยู่ที่บ้านไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเลย เก็บไม่กี่เดือนก็ครบแล้ว”
ก่อนหน้านี้เขาก็กลัวว่าพ่อแม่ของชุนฟางจะเรียกสินสอดเยอะจนเขาแบกรับตัวคนเดียวไม่ไหวจนต้องให้ที่บ้านช่วยเหมือนกัน
แต่พวกเขากลับไม่ได้ระบุว่าจะรับเท่าไร หากว่ากันตามธรรมเนียมแล้ว สินสอดในเมืองแพงสุดก็หนึ่งพันแปดร้อยหยวน
ได้ยินมาว่าสินสอดของภรรยาเฉินเจียซิ่งก็แค่เก้าร้อยเก้าสิบหยวน
ถึงจะให้เกินพันหยวนมานิดหน่อย ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
เซี่ยไห่ให้เงินเดือนสูงมาก แถมงานที่ร้านยังสามารถเก็บค่าคอมมิชชันจากการขายเหล้าและอื่นๆ ได้อีก
เซี่ยเหล่ยตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม “ได้ เรื่องสินสอดให้เธอจัดการเอง ส่วนอย่างอื่นเดี๋ยวพวกเราจะช่วยกัน”
หลินจินซานมองบรรดาผู้ใหญ่ในบ้านที่เอาใจใส่งานแต่งของเขาอย่างมาก ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
พอรู้ว่ามีพวกเขาคอยสนับสนุน เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่มีอะไรเลย อยากทำอะไรสักอย่างก็ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จนวิตกกังวลไปหมด
หลินจินซานไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปทำงานอย่างมีความสุข
เซี่ยไห่ก็ออกไปเช่นกัน คาราโอเกะตอนนี้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงและมีคนมาใช้บริการอยู่เสมอ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาก็จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความรับผิดชอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างช่วงเทศกาลปีใหม่
ถนนหนทางช่วงนี้ไม่ค่อยปลอดภัยนัก มีอันธพาลออกอาละวาดอยู่เต็มไปหมด
เหตุผลที่ไม่มีใครกล้ามาสร้างเรื่องที่ห้องเต้นรำ เพราะพวกอันธพาลแถวนี้รู้ดีว่าเจ้าของร้านมีคนในเป็นตำรวจ
เซี่ยไห่จะไปตรวจตราทุกวัน รวมถึงคาราโอเกะอีกสองสาขาที่เขาเปิดในเมืองไห่เฉิงก็ต้องไปดูแล
เซี่ยไห่กับหลินจินซานเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน เซี่ยอวี่กับหลินดาก็กลับมา
เซี่ยอวี่ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หลินเซี่ยลุกขึ้นพลางยิ้มถาม “ไปถ่ายรูปลองชุดเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ไม่ได้ถ่าย” ลินดาว่า “ช่างภาพมีปัญหานิดหน่อย อาจต้องรอกันอีกหลายวัน”
เซี่ยอวี่ก้าวเข้ามาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับบ่นกระปอดกระแปด “น่ารำคาญ จะต้องล่าช้าไปอีกกี่วันเนี่ย”
ลินดาเอ่ยปลอบหล่อน “อดทนนิดนึง เดี๋ยวถ้าผู้กำกับเหยียนเขาได้ช่างภาพแล้ว เขาจะแจ้งให้ทราบ”
พอได้ยินว่าถ่ายทำล่าช้าลงเพราะช่างภาพ ดวงตาของหลินเซี่ยก็กระตุก ก่อนลองถามไป “คุณอา ไม่ลองให้ซานเหยียช่างภาพประจำร้านชุดเจ้าสาวของเราไปทำงานแทนล่ะคะ”
เซี่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกออกว่าซานเหยียที่หลินเซี่ยพูดถึงคือใคร
ช่างภาพหนุ่มประจำร้านชุดแต่งงานน่ะหรอ?
เซี่ยอวี่ลังเล “เขาทำงานได้เหรอ?”
งานนี้เป็นภาพนิ่งในกองถ่าย ไม่ใช่ถ่ายภาพนิ่งในสตูดิโอ
“เขาเคยทำงานในสำนักพิมพ์ คุณเองก็เห็นผลงานที่เขาถ่ายในร้านชุดแต่งงานของเราแล้วนี่คะ ฝีมือดีมาก เหมือนมีพรสวรรค์แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ”
“นี่มันภาพนิ่งจากกองถ่ายนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต่อให้เราจะบอกว่าได้ก็เถอะ”
หลินเซี่ยคว้าแขนลินดาทำท่าอ้อน “พี่ลินดา พี่ช่วยแนะนำหน่อยสิ ให้เขาได้ลองดู ถ้าถ่ายออกมาไม่ดีก็คัดออกได้ ฉันสัญญากับซานเหยียแล้วว่าถ้ามีงานถ่ายภาพจะบอกเขา เขาอยากได้งานทำ เขาอยากได้คนให้โอกาส”
ชาติก่อนซานเหยียมีชื่อเสียงมากในอุตสาหกรรมนี้ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงขาลง ในตอนที่เธอรับสมัคร เธอก็สัญญากับเขาว่าถ้ามีโอกาสดีๆ จะแนะนำให้
และตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว
“ก็ได้”
ลินดาจัดการโทรหาผู้กำกับเหยียนแล้วบอกว่าหล่อนมีช่างภาพแล้ว
ผู้กำกับเหยียนสอบถามข้อมูลพื้นฐานของจางซุ่นแล้วก็รู้สึกลังเลอยู่บ้าง
“ผู้กำกับเหยียน พวกเราเห็นว่าถ้าจ้างเขาแล้วเราจะประหยัดทั้งเวลาทั้งงบประมาณน่ะค่ะ เอาอย่างนี้ดีไหมคะ เดี๋ยวพวกเราจะให้หลินเซี่ยแต่งหน้าให้เซี่ยอวี่ก่อน แล้วให้ช่างภาพคนนั้นถ่ายภาพสองเซ็ต พรุ่งนี้จะส่งไปให้คุณดูก่อน ถ้าโอเคเราค่อยคุยกันอีกที”
เมื่อลินดาพูดจบ ผู้กำกับเหยียนตอบกลับทันทีว่า “ได้เลยครับ พวกเราจะดูรูปก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกที”
หลินเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ฟังการสนทนาของลินดากับผู้กำกับเหยียนอยู่ ก็อดชื่นชมความสามารถในการทำงานของลินดาไม่ได้
ไม่กินเวลาและทรัพยากรของผู้กำกับและทีมงาน ให้เกียรติคนระดับสูงเต็มที่
พอลินดาวางสาย หลินเซี่ยก็พูดว่า “พี่ลินดา งั้นฉันติดต่อไปหาซานเหยียเลยนะคะ”
เซี่ยอวี่พยักหน้า “โทรเลย ถ้าเขาว่างอยู่ เดี๋ยวเราก็ไปร้านชุดแต่งงานกันเลย”
เซี่ยอวี่เต็มใจให้โอกาสคนหนุ่มสาวในร้านชุดแต่งงานของหลินเซี่ยเช่นกัน
หล่อนเคยลำบากมาก่อน ตอนนี้มีที่ยืนในวงการนี้แล้ว จึงเต็มใจหนุนหลังและพร้อมให้โอกาสพวกเขา
โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องมีความสามารถจริงๆ
หลินเซี่ยกดโทรศัพท์ตามตัวจางซุ่น
ไม่นาน จางซุ่นก็รับสาย
“ซานเหยีย ฉันหลินเซี่ยนะ”
หลินเซี่ยกล่าว “ตอนนี้มีงานที่หาได้ยากมาก ฉันแนะนำคุณให้มา…”
พอหลินเซี่ยพูดกับอีกฝ่ายจบ ซานเหยียก็ดูลังเลในตอนแรก
เขาเหมือนไม่มั่นใจ “ถ่ายภาพนิ่งเหรอ ผมจะทำได้เหรอ?”
“เราต้องถ่ายรูปให้เสร็จก่อน แล้วก็ส่งให้ผู้กำกับกับทีมงานดู ถ้าเขาตอบรับก็จะได้เซ็นสัญญาเลยนะ มันเป็นโอกาสดีมากๆ ฉันว่าคุณควรคว้าไว้”
จางซุ่นที่อยู่ปลายสายได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบว่า “งั้นดีเลย ผมจะไปที่ร้านเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย จางซุ่นก็รีบเตรียมอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพ
หลินเซี่ยยิ้มแล้วมองไปทางเซี่ยอวี่อีกครั้ง แล้วอ้อนหล่อนว่า “คุณอาคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ”
“ฉันไม่ลำบากหรอก แต่เธอเนี่ย ท้องโตขนาดนี้จะไหวเหรอ” เซี่ยอวี่หันไปมองหลานสาวแล้วเอ่ยถาม
หลินเซี่ยตอบพลางหัวเราะ “พี่ลินดาขับรถให้ ส่วนฉันก็ถือโอกาสนี้ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายด้วยไงคะ”
เมื่อได้ยินว่าสามสาวจะออกไป คนในบ้านก็รีบกำชับให้เซี่ยอวี่กับลินดาดูแลหลินเซี่ยให้ดี ส่วนเซี่ยเหลยก็รั้งตัวหู่จือเอาไว้ ด้วยกลัวว่าหลานชายจะตามไปอีกคน
ตั้งแต่ที่หู่จือถูกลักพาตัวหน้าร้านชุดแต่งงาน พวกเขาจึงเกิดความกลัวขึ้นมา และไม่ยอมปล่อยให้หู่จือตามหลินเซี่ยออกไปที่ร้านชุดแต่งงานเป็นอันขาด
พอลินดาขับรถไปถึงร้านชุดแต่งงาน จางซุ่นที่มาถึงก่อนแล้วกำลังจัดฉากอยู่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ทุกคนรักนายหมดนะจินซาน อย่าน้อยเนื้อต่ำใจไปเลย
โอกาสมาถึงแล้วต้องรีบคว้าไว้นะ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสดีๆ แบบนี้มาอีกเมื่อไหร่
ไหหม่า(海馬)