ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 709 ทรมานทั้งคืน
ตอนที่ 709 ทรมานทั้งคืน
ครั้นผู้เฒ่าเฉินถามเรื่องที่เซี่ยไห่ร่วมมือกับวังซูเฟิน เซี่ยไห่ยิ้มแล้วตอบว่า “ลุงเฉิน ผมเปิดร้านสาขาหนานเฉิงแล้วครับ มีคุณวังซูเฟินเป็นผู้จัดการอยู่”
“ใครลงทุนล่ะ” ผู้เฒ่าเฉิน ถามด้วยความสงสัย
เซี่ยไห่อธิบาย “แน่นอนว่าผมลงทุนเองครับ ส่วนหล่อนเป็นผู้ให้เช่าที่ ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ ไม่เพียงได้ค่าเช่า แต่ยังมีเงินเดือนด้วย รับรายได้สองทางเลยครับ”
นี่คือข้อเสนอความร่วมมือที่เซี่ยไห่คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วมอบให้วังซูเฟิน
ที่ว่าเป็นผู้จัดการ จริง ๆ แล้วก็คือหัวหน้าพนักงาน
เขาไม่มีทางมอบอำนาจหลักให้วังซูเฟินเด็ดขาด
หล่อนเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย นิสัยหรือก็น่าเป็นห่วง ถ้าให้เป็นผู้รับผิดชอบ ก็จะกลายเป็นนักธุรกิจขี้โกง ไม่สอดคล้องกับแนวคิดวัฒนธรรมองค์กรของเขา
แต่เซี่ยไห่ก็เห็นคุณค่าของทำเลร้านหล่อนจริง ๆ
ดังนั้นหลังจากเจรจากันหลายครั้ง เขาจึงเสนอเงินเดือนที่คุ้มค่าให้กับวังซูเฟิน แล้วทั้งสองฝ่ายก็บรรลุข้อตกลงร่วมกัน
“ดีจังเลย” เมื่อผู้เฒ่าเฉินได้ยินว่าวังซูเฟินกับเซี่ยไห่ร่วมมือกันจริง ๆ เขาก็ดีใจมาก
จริง ๆ แล้วเขารู้ดีว่าฐานะครอบครัวลูกชายคนรองในตอนนี้แข็งแกร่งแค่เพียงเปลือกนอก
มีแค่ร้านให้เช่าไม่กี่ร้าน ไม่มีรายได้จากที่อื่นอีกแล้ว
งานของหลานชายอย่างเฉินเจียหมิง ได้มาจากการฝากฝัง เป็นแค่ตำแหน่งว่าง ๆ ไม่ได้รับเงินเดือนมากนัก
ตอนนี้ถ้ามีรายได้พิเศษ อย่างน้อยลูกชายขี้แพ้ของเขาก็จะโดนดุด่าน้อยลงหน่อยเวลาอยู่ที่บ้าน
หลังทุกคนกินอาหารที่บ้านเฉินเจียเหอเสร็จแล้วก็วางแผนจะกลับ
ผู้เฒ่าเฉินกับเซี่ยเหลยกลัวว่าการเข้าไปในห้องนอนของหลินเซี่ยจะเป็นการไม่สะดวก จึงบอกคุณย่าเฉินว่า “เราไม่เข้าไปดีกว่า บอกเซี่ยเซี่ยให้พักผ่อนให้ดี พวกเราจะมาเยี่ยมหล่อนกับลูกอีกครั้งในอีกสองสามวัน”
หลังจากที่ครอบครัวเฉินกลับไปแล้ว พวกเซี่ยไห่ก็กลับบ้านด้วย ก่อนจะกลับ เซี่ยไห่ได้กำชับเฉินเจียเหอซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ดูแลหลินเซี่ยให้ดี อย่าให้แม่ที่ดื้อรั้นทำให้หลินเซี่ยโมโห
หู่จืออยากอยู่เฝ้าแม่และน้องชาย ไม่ยอมกลับไปกับหลิวกุ้ยอิงเด็ดขาด
“ยาย ผมยังไม่อยากไปบ้านยาย แม่ผมกลับมาแล้ว ผมอยากอยู่กับหล่อน ผมอยากช่วยแม่ดูแลน้องชาย”
หลินเซี่ยก็อยากอยู่กับหู่จืออีกสักพัก เธอก็พูดว่า “ไม่งั้นปล่อยให้หู่จืออยู่ด้วยก็ได้ค่ะ วันพรุ่งนี้จะได้หยุดพักผ่อน รอให้เฉินเจียเหอพาเขาไปโรงเรียนอนุบาลในวันจันทร์”
“ช่างเถอะ เธอมันใจร้าย อยู่ต่อไปเดี๋ยวก็รู้สึกเอง”
เซี่ยไห่ขมวดคิ้วใส่หู่จือ แล้วก็จากไป
หู่จือเฝ้าอยู่ข้างเปลเด็กของน้องชาย แต่เรียกอย่างไรทารกน้อยก็ไม่หันมามอง
“เสี่ยวหู่ ฉันหู่จือเป็นพี่ชายของนาย นายมองฉันหน่อยสิ”
ทารกน้อยได้ยินเสียงของหู่จือแล้วก็หันมามองเขาจริง ๆ
ครั้งนี้ทำเอาหู่จือภูมิใจสุด ๆ รู้สึกมั่นใจว่าน้องชายเข้าใจคำพูดของเขา
โจวลี่หรงได้ยินเสียงอุทานของหู่จือ จึงอธิบายให้ฟัง “เขาไม่เข้าใจคำพูดของเธอหรอก เขาแค่ได้ยินเสียงของเธอเท่านั้นแหละ”
หู่จือไม่ยอมแพ้ พูดว่า “แต่ผมบอกให้เขามองผม เขาก็มองผมอย่างว่าง่ายเลย”
โจวลี่หรงยิ้ม ขี้เกียจที่จะโต้แย้งกับเด็ก ๆ
หลินเซี่ยกำชับกับหู่จือ “หู่จือ ลูกต้องฟังที่ย่าบอกนะ ต่อไปถ้าจะเล่นกับน้องชาย ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าใกล้น้องทุกครั้ง จำได้ไหม”
หู่จือพยักหน้า “จำได้ครับ”
เฉินเจียเหอต้องไปทำงานตอนกลางคืน เนื่องจากเขาลาหยุดไปหลายวันแล้ว คืนนี้เขาต้องไปเข้ากะกับวิศวกรหยางเพื่อทดสอบข้อมูลบางอย่าง
วิศวกรหยางบอกว่างานไม่สามารถดำเนินต่อได้หากไม่มีเขา เขาจึงจำเป็นต้องไปที่นั่นในตอนกลางคืน
ที่บ้านจึงเหลือแค่โจวลี่หรง หลินเซี่ย และหู่จือ
ถึงตอนกลางคืน หู่จือก็ร้องขอจะนอนกับหลินเซี่ยอีก
“หู่จือ ไปนอนในห้องของตัวเองเถอะ ไม่งั้นจะเป็นการรบกวนน้อง”
หลินเซี่ยมองสายตาอ้อนวอนของหู่จือแล้วไม่อยากปฏิเสธ เธอบอกกับโจวลี่หรงว่า “แม่คะ ปล่อยให้เขานอนที่นี่เถอะนะคะ”
แต่โจวลี่หรงกลับมีท่าทางเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้หู่จือนอนในห้องของหลินเซี่ย
“เชื่อฟังหน่อย ไปนอนได้แล้ว”
หู่จือรู้สึกหวาดกลัวโจวลี่หรงจากใจจริง จึงต้องเชื่อฟังและกลับไปนอนในห้องของตัวเอง
โจวลี่หรงบอกว่าจะมานอนกับหลินเซี่ย
หลินเซี่ยปฏิเสธอย่างเก้อเขินพร้อมกับยิ้มแหย “แม่คะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันทำเองได้ ฉันให้ลูกกินนมแม่ พอหิวก็กินได้เลย สะดวกมากเลยค่ะ แม่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
แต่โจวลี่หรงไม่ฟังเธอเลย
หล่อนยังหอบผ้าห่มมาปูนอนบนพื้นอีกด้วย
หลินเซี่ยเห็นเหตุการณ์นี้ก็อึ้งงันไป
ถ้าปล่อยให้แม่สามีนอนบนพื้น แล้วคนอื่นรู้เข้าจะพูดถึงเธออย่างไร
เธอมองหน้าโจวลี่หรงด้วยสีหน้ากังวล พยายามเกลี้ยกล่อม “แม่คะ นอนบนเตียงเถอะนะคะ เตียงใหญ่ขนาดนี้ สองคนนอนก็ไม่อึดอัดเลย ทำไมต้องไปนอนบนพื้นด้วยล่ะคะ ถ้าใครเห็นเข้าจะว่ายังไง”
โจวลี่หรงปูที่นอนให้ตัวเอง ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันนอนบนพื้นแล้วกัน ไม่งั้นจะไปเบียดเธอ”
“ไม่เบียดหรอกค่ะ เตียงกว้างเกือบสองเมตรเชียวนะคะ”
“ฉันกลัวร้อน” โจวลี่หรงปูที่นอนเสร็จอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ห่มผ้าห่มบางๆ ผืนเดียว แล้วบอกหลินเซี่ยว่า “ถ้าเธอมีอะไรก็เรียกฉันนะ”
พูดจบก็ไม่ขยับเขยื้อน
เหมือนไม่ยอมพลิกตัวเลย
“ค่ะ”
หลินเซี่ยเห็นหล่อนดื้อรั้นขนาดนั้นก็นอนลงบนเตียงด้วยความกังวลใจยิ่งนัก
เพิ่งคลอดลูกได้แค่ 5 วันก็เป็นแบบนี้แล้ว แล้วในการอยู่เดือนอีก 40 วัน จะให้เธอทนไหวได้อย่างไร
หลินเซี่ยไม่อาจข่มตาหลับได้เลย แต่โจวลี่หรงปิดไฟแล้ว เด็กก็เชื่อฟังดี นอนหลับไม่ร้องไม่งอแง ในห้องไม่มีเสียงใด ๆ เลย
ตอนนี้เพิ่งสองทุ่มครึ่ง แต่เนื่องจากช่วงฤดูร้อนมีกลางวันยาวนานมาก ท้องฟ้าของไห่เฉิงตอนสองทุ่มครึ่งจึงยังไม่มืดสนิท ข้างล่างอพาร์ตเมนต์ยังมีเสียงเพื่อนบ้านคุยกันอยู่
การที่พวกเธอปิดไฟนอนตัวแข็งทื่อแบบนี้ ทำให้หลินเซี่ยแทบจะซึมเศร้าแล้ว
ไม่รู้ว่าโจวลี่หรงหลับไปแล้วหรือยัง ไม่มีเสียงใด ๆ เลย
หลินเซี่ยทำแม้กระทั่งหวังให้เด็กตื่นมาร้องไห้สักหน่อย แบบนี้เธอจะได้มีข้ออ้างเปิดไฟ แล้วลุกขึ้นนั่งได้
ผลคือตอนที่เด็กร้องไห้กลางดึก โจวลี่หรงก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน แล้วเปิดไฟไปดูเด็ก
ความเร็วของหลินเซี่ยสู้หล่อนไม่ได้เลย
“มานี่ ให้ย่าอุ้มนะ”
หล่อนเหมือนกลายเป็นคนละคน พูดกับเด็กอย่างอ่อนโยน จากนั้นสำรวจว่าเด็กปัสสาวะหรือไม่แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนอุ้มเด็กยื่นให้หลินเซี่ย
ตอนที่หลินเซี่ยให้นมลูก โจวลี่หรงก็ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ
รอจนเด็กกินนมเสร็จ หลินเซี่ยบอกว่าเธอจะขออุ้มเด็กสักพัก แต่โจวลี่หรงไม่ยอมให้เธออุ้ม
“เธอพักผ่อนเถอะ ฉันจะกล่อมเขาให้หลับเอง”
โจวลี่หรงอุ้มเด็กไปจากมือ ทำให้มือของหลินเซี่ยว่างเปล่า ได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ
โจวลี่หรงพูดเสียงเรียบ “รีบนอนได้แล้ว”
“อ่า”
หลินเซี่ยเหมือนนักเรียนประถมที่เชื่อฟัง ได้แต่นอนลงไปอีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
เด็กดื่มนมแค่ครั้งเดียวตอนกลางคืน หลินเซี่ยตื่นนานแล้ว ไม่รู้สึกง่วงเลย เอาแต่นอนตัวแข็งทื่อ
ตอนไปเข้าห้องน้ำกลางดึก เธอจงใจอ้อยอิ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก สุดท้ายโจวลี่หรงก็คลุมเสื้อผ้าออกมาตามหาเธอ
หลินเซี่ยได้แต่หาข้ออ้าง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่คะ ฉันจะดื่มน้ำหน่อย”
“เธอห้ามดื่มน้ำเย็นนะ” โจวลี่หรงรีบหยิบแก้วน้ำของเธอไป แล้วรินน้ำร้อนให้
“แม่คะ แม่ไปนอนเถอะ ฉันดื่มเสร็จแล้วจะไป”
โจวลี่หรงไม่ตอบ ยืนอยู่ข้างหลังเธอเงียบ ๆ แล้วรอคอย
หลินเซี่ยถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง จิบน้ำร้อนนิดหน่อยแล้วก็กลับห้องนอน
พอเธอนอนลง โจวลี่หรงก็ปิดไฟ
ในที่สุดก็ผ่านพ้นจนถึงรุ่งเช้ามาได้ โจวลี่หรงตื่นไปทำอาหารเช้าแล้ว
หลินเซี่ยนั่งขึ้น ยืดแขนยาว ๆ อย่างแรง
คืนนี้ช่างยาวนานจริง ๆ
เธอมองนาฬิกา พบว่าใกล้เจ็ดโมงแล้ว เฉินเจียเหอน่าจะเลิกงานกะดึกแล้ว
“แม่ฮะ ผมตื่นแล้วครับ”
หู่จือตื่นมาอย่างสดชื่น วิ่งเข้ามาทักทายหลินเซี่ย
จากนั้นเขาก็ทักทายน้องชายอย่างเป็นทางการ “เสี่ยวหู่ อรุณสวัสดิ์นะ พี่ชายตื่นแล้ว”
หู่จือพูดอย่างกระตือรือร้น แต่ผลปรากฏว่าน้องชายยังหลับอยู่ เขาจึงพูดอีกว่า
“น้องชาย ตื่นได้แล้ว ถ้านอนต่อจะโง่นะ”
นี่คือคำพูดที่หลินเซี่ยใช้ล่อลวงหู่จือเวลาที่เขาขี้เกียจตื่นนอน
บอกเขาว่าถ้านอนนานเกินไปตอนเช้าจะทำให้โง่
ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กฉลาดคนนี้จะเอาไปใช้กับน้องชายบ้าง
หลินเซี่ยรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย เตือนเบา ๆ ว่า “เสี่ยวหู่ เบาเสียงหน่อย ปล่อยให้เขานอนต่อเถอะ”
ถ้าปลุกตอนนี้เดี๋ยวจะร้องไห้
หู่จือพูดอย่างจริงจังมาก
“แม่ครับ น้องจะโง่นะ”
“ตอนน้องยังเล็ก ๆ แบบนี้ ถ้าปลุกให้ตื่นกลางคันต่างหากถึงจะโง่ ลูกนั่งเป็นเพื่อนเขาดี ๆ นะ อย่าส่งเสียงล่ะ แม่ไปล้างหน้าก่อน”
หลินเซี่ยกำชับหู่จือสองประโยค แล้วออกจากห้องนอน
โจวลี่หรงถือจานอาหารเช้าเดินออกมาจากครัว พอดีได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก
สีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไป รีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นหู่จือกำลังก้มหน้าอยู่ข้างเปล เอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเปลเหมือนกำลังเขย่าทารกน้อย
เด็กร้องไห้โฮ
โจวลี่หรงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ตวาดเด็กด้วยสัญชาตญาณ “เธอกำลังทำอะไรน่ะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อยู่กับโจวลี่หรงแล้วเหมือนเป็นนักโทษที่โดนจับตาดูอยู่ทุกยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยค่ะ เฮ้อ สู้ๆ นะเซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)