ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 710 ชะตาชีวิตไร้ทายาท
ตอนที่ 710 ชะตาชีวิตไร้ทายาท
“อ๊ะ?” หู่จือแสดงท่าทางตื่นตกใจยามเห็นสีหน้าถมึงทึงของโจวลี่หรง เขาก้มหน้าลงไม่กล้าส่งเสียง เหมือนเด็กที่กระทำความผิด
โจวลี่หรงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “น้องยังเล็กขนาดนี้ เธอไปเขย่าตัวเขาได้ยังไง?”
“ผมไม่ได้เขย่า”
เขาแค่ห่มผ้าห่มให้น้อง ไม่รู้ว่าทำไมน้องถึงตื่น
โดยไม่ให้โอกาสหู่จือได้อธิบาย โจวลี่หรงอุ้มเด็กขึ้นมา แล้วพูดกับเขาว่า “เดี๋ยวฉันจะส่งเธอกลับบ้านพักทหาร ไปอยู่กับพวกปู่ทวดของเธอนะ”
เมื่อหู่จือได้ยินว่าคุณย่าจะส่งเขาไปที่บ้านพักสวัสดิการในค่ายทหาร น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาทันที แต่ไม่กล้าส่งเสียง
หลินเซี่ยที่อยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงของโจวลี่หรง จึงรีบเดินออกมา เมื่อมาถึงห้องนอนก็เห็นหู่จือยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ส่วนโจวลี่หรงอุ้มเด็กที่กำลังร้องไห้จ้า สีหน้าดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง
เธอถามโจวลี่หรง “แม่ เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เธอเพิ่งผละจากไปแค่สองนาที ทำไมถึงเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้?
หลินเซี่ยเห็นหู่จือร้องไห้ จึงดึงเขาเข้ามากอด
โจวลี่หรงขมวดคิ้ว น้ำเสียงหนักแน่น “หู่จือทำอะไรไม่คิด ตอนที่ฉันเข้ามา เขาก็กำลังเขย่าเด็ก เธอดูสิ เขาปลุกน้องจนตื่น ฉันว่าเด็กต้องตกใจแน่ ๆ”
โจวลี่หรงกลัวว่าเด็กจะตกใจจนขวัญหาย จึงอุ้มเด็กไปที่เปล และเอ่ยปลอบขวัญ
“จิ่งชู ไม่ต้องกลัวนะ ขวัญเอ๋ยขวัญมา”
โจวลี่หรงเรียนรู้วิธีการปลอบขวัญแบบผู้อาวุโสในบ้านเกิด หากเวลาใดเด็กตกใจก็ใช้วิธีนี้ เพื่อให้สามจิตเจ็ดวิญญาณ*ของเขากลับเข้าที่
(*三魂七魄 เป็นความเชื่อทางปรัชญาเต๋า เชื่อว่ามนุษย์ประกอบด้วยจิต 3 ดวง และวิญญาณ 7 อย่าง หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปจะทำให้เป็นคนไม่สมประกอบหรือถึงแก่ชีวิต หากเทียบกับความเชื่อไทยก็คือความเชื่อเรื่อง 32 ขวัญ)
หลินเซี่ยอยู่ในสภาพนอนไม่เต็มอิ่มอยู่แล้ว พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกโมโหมาก
แค่เขย่าเด็กนิดหน่อยเอง จะเป็นอะไรไป?
ถึงกับต้องตื่นตระหนกขนาดนั้นเลยเหรอ?
แม่สามีของเธออวดอ้างตนนักหนาว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ตอนนี้กลับมาเชื่อเรื่องงมงายแบบนี้
ช่างหน้าไหว้หลังหลอกจริง ๆ
เธอเดินตรงไปรับเด็กจากมือของโจวลี่หรง
“แม่คะ ลูกฉันไม่ได้เป็นลูกเทวดา ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก”
หลินเซี่ยป้อนนมให้เด็ก พอเด็กได้อยู่ในอ้อมกอดของเธอก็หยุดร้องไห้ทันที
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าแม่สามีของเธอนำอาหารเช้ามาให้แค่เธอคนเดียว เธอจึงพูดกับหู่จือว่า “หู่จือ อย่าร้องไห้นะ ไปเอาอาหารเช้ามากินเองนะ”
หู่จือแอบมองโจวลี่หรงอย่างระแวง ไม่กล้าไปที่ครัว
หลินเซี่ยวางเด็กลง ลูบหัวหู่จือ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปล้างหน้าก่อนนะ แล้วค่อยเอาอาหารเช้ามากินด้วยกัน”
“ครับ”
หู่จือเดินออกไป ขณะที่โจวลี่หรงยังชักสีหน้าไม่พอใจ
หล่อนพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย เธอต้องบอกหู่จือนะว่าห้ามเขย่าเด็กแบบนั้น เด็กเพิ่งเกิดได้ไม่นานเอง ถ้าตกใจมากเด็กจะร้องไห้ตลอดเวลานะ”
“แม่คะ หู่จือเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาด พวกเราในฐานะผู้ปกครองก็ควรใจเย็นและค่อยๆ สอนเขา แม่ดุเขาแบบนี้จะทำให้เขากลัวนะคะ”
หลินเซี่ยพูดกับโจวลี่หรงด้วยน้ำเสียงใส่อารมณ์ที่เห็นได้ยาก
เธอมองโจวลี่หรงด้วยท่าทางจริงจัง “ฉันหวังว่าคุณจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อย่าไปมีอคติกับหู่จือ เขาเป็นเด็กน่าสงสาร คนอายุเท่าคุณควรจะมีใจที่เปิดกว้างและอดทนเสียบ้าง”
โจวลี่หรงยิ่งมีสีหน้าย่ำแย่เมื่อได้ยินหลินเซี่ยพูดแบบนี้
ผิวหน้าร้อนผ่าวชาดิกราวกับโดนตบ
หู่จือถูกคนในตระกูลเซี่ยตามใจจนเสียคน ถ้าไม่ดุด่าสั่งสอนเขาบ้าง เขาก็จะไม่หลาบจำ
หลินเซี่ยกลัวว่าหากพูดแรงไปมากกว่านี้โจวลี่หรงจะทนไม่ไหว เธอจึงบอก “พอแล้วค่ะ แม่เองก็ทำงานมาทั้งเช้า ไปกินอาหารเช้าก่อนเถอะ ฉันจะอุ้มเด็กไว้เอง”
ตอนที่หลินเซี่ยป้อนนมลูกเสร็จ เฉินเจียเหอก็กลับมาพอดี
ทันทีที่เปิดประตู เขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุภายในบ้าน
แม่ของเขานั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารคนเดียว
เขาถามโจวลี่หรง “แม่ครับ เซี่ยเซี่ยตื่นหรือยัง”
โจวลี่หรงไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ตื่นแล้ว”
เฉินเจียเหอมองหล่อนแวบหนึ่งแล้วเดินกลับห้อง ก็เห็นหู่จือนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก กำลังกินโจ๊กครึ่งชาม
หลินเซี่ยก็กำลังกินอาหารเช้าอยู่เช่นกัน
“กินอาหารเช้ากันอยู่เหรอ” เฉินเจียเหอถามพร้อมรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย เมื่อคืนคุณหลับสบายไหม”
หลินเซี่ยคิดในใจว่าไม่ค่อยสบายเท่าใด
แต่เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนล้าของเฉินเจียเหอ ก็พลันไม่อยากให้เขากังวล
เธอฝืนยิ้มแล้วตอบว่า “ดีมากค่ะ คุณกินข้าวหรือยังหรือยังคะ”
“อืม ผมกินที่โรงงานแล้ว” เฉินเจียเหอมองลูกชาย ตอนนี้เจ้าตัวน้อยอิ่มท้องแล้ว กำลังนอนเงียบ ๆ ไม่ร้องไม่งอแงอยู่ในเปลเด็ก ช่างน่ารักเหลือเกิน
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่า?” เฉินเจียเหอถามหลินเซี่ยเบา ๆ
หลินเซี่ยกลัวว่าโจวลี่หรงจะบุกเข้ามากะทันหัน จึงตัดบทไป “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
แน่นอนว่าเธอเพิ่งตอบคำถามเฉินเจียเหอเสร็จ โจวลี่หรงก็เดินเข้ามา
“เจียเหอ ล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยอุ้มลูกนะ”
หลินเซี่ย “!!!”
เฉินเจียเหอที่สวมชุดทำงานค่อนข้างเก่าพลันรับคำ
โจวลี่หรงจึงเดินออกไปอีกครั้ง
เฉินเจียเหอเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตและไปล้างตัวอีกรอบ จนหลินเซี่ยได้กลิ่นสบู่หอมฟุ้งจากตัวเขา
ดูเหมือนว่าเฉินเจียเหอจะถูกโจวลี่หรงบงการสำเร็จแล้ว
จริง ๆ แล้วการรักษาความสะอาดเป็นเรื่องดี เป็นเพราะผู้สูงอายุหลายคนไม่รักษาความสะอาด เวลาดูแลเด็กก็มักจะเกิดความขัดแย้งกับคนรุ่นหลาน
แต่บ้านของเธอนับว่ากลับกัน
นิสัยของโจวลี่หรงนับว่าค่อนข้างสุดโต่งทีเดียว
คนในครอบครัวยังพอไหว แต่ถ้าคนนอกเข้ามาเจอหล่อนเป็นแบบนี้ พวกเขาก็คงรู้สึกอึดอัดมาก
แน่นอนว่าโจวลี่หรงไม่เคยสนใจเรื่องมนุษยสัมพันธ์พวกนั้น ซึ่งหลินเซี่ยไม่เคยได้ยินว่าหล่อนมีเพื่อนเลย
หล่อนสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น
แต่คนรุ่นหลานของพวกเขาไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะหลินเซี่ยที่เปิดร้านทำธุรกิจ มีญาติพี่น้องเยอะแยะ ทุกคนรักเธอ แล้วก็รักลูกของเธอด้วย
เธอไม่สามารถทำตามแม่สามีจนทำให้ทุกคนโกรธได้
ตอนที่โจวลี่หรงออกไปซื้อของ หลินเซี่ยจึงให้หู่จือไปทำการบ้านในห้อง แล้วเล่าเรื่องที่โจวลี่หรงดุหู่จือให้เฉินเจียเหอฟัง
เธอพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แม่คุณดุหู่จือแรงขนาดนั้น หู่จือจะมีปมในใจนะ”
หลินเซี่ยจำได้ว่าตอนที่เธอเพิ่งแต่งงานกับเฉินเจียเหอที่บ้านเกิด หู่จือเคยเรียกโจวลี่หรงลับหลังว่าแม่มดเฒ่า
ตอนที่เขาเรียกแบบนั้น ตายายของเฉินเจียเหอก็ไม่ได้ห้าม
เช่นเดียวกับคู่สามีภรรยาโจวเจี้ยนกั๋ว พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ชอบโจวลี่หรง แม้แต่ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเฉินเองก็รู้สึกสิ้นหวังกับพฤติกรรมของโจวลี่หรง
ต่อมาโจวลี่หรงยอมรับผิดด้วยตัวเอง เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอและหู่จือ ความสัมพันธ์ของทุกคนจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ดูเหมือนว่าตอนนั้นหล่อนแค่กลัวว่าเฉินเจียเหอจะตัดขาดจากหล่อนจริงๆ จึงจำใจยอมประนีประนอม
“ผมจะลองคุยกับแม่ดู” เฉินเจียเหอได้ยินเรื่องพฤติกรรมของแม่เขาแล้วก็ปวดหัวมาก
หลินเซี่ยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “คุณพูดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หล่อนไม่ยอมรับหู่จือตั้งแต่แรกแล้ว พอตอนนี้มีเสี่ยวหู่ หล่อนยิ่งผลักไสหู่จือมากขึ้นไปอีก ต่อไปหล่อนคงคิดว่าเงินที่พวกเราหาได้จะต้องแบ่งให้หู่จือใช้ ก็จะยิ่งเกลียดหู่จือมากขึ้น”
หลินเซี่ยนึกถึงละครที่เคยดูในชาติก่อน หลังจากลูกสะใภ้คลอดลูก พ่อสามีก็ส่งเด็กที่รับเลี้ยงไว้ให้คนอื่น ทำให้ทั้งบ้านวุ่นวายไปหมด
“ฉันนึกอะไรออกแล้ว” หลินเซี่ยพลันตาเป็นประกาย มองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้ามีเลศนัย
เฉินเจียเหอเข้ามาใกล้ ยิ้มถามว่า “นึกอะไรได้เหรอ?”
หลินเซี่ยลูบคางพูดว่า “ตอนกลับไป คุณลองบอกแม่นะว่าหมอแผนจีนเย่รู้วิชาโจวอี้ เขาเคยทำนายว่าเราสองคนมีชะตาไร้ทายาท เป็นเพราะหู่จือที่มีชะตาพี่น้อง เราถึงมีลูกได้”
เฉินเจียเหอ “!!!”
เขามองหน้าหลินเซี่ยด้วยสีหน้าประหลาด อดหัวเราะไม่ได้ “ถ้าพูดแบบนี้ไปแล้วสหายโจวลี่หรงจะเชื่อเหรอ”
เขาเองก็ไม่เชื่อ
หลินเซี่ยพูดว่า “เชื่อสิ ทำไมจะไม่เชื่อ ต่อให้หล่อนจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ในเวลาสำคัญ หล่อนก็ยังเชื่อเรื่องงมงายอยู่ดี”
ไม่อย่างนั้นเมื่อเช้านี้หล่อนคงไม่กอดลูกเธอแล้วเอ่ยคำเรียกขวัญหรอก
หลินเซี่ยเพิ่งคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้ แต่พอพูดออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกใจหายวาบขึ้นมา
ในชาติก่อน เธอกับเฉินเจียเหอก็ไม่มีลูกเช่นกัน
บางทีพวกเขาอาจได้รับอานิสงส์จากหู่จือจริงๆ
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติต่อหู่จือให้ดี
เขาไม่เพียงเป็นทายาทที่หัวหน้าของเฉินเจียเหอทิ้งไว้ในโลกนี้ แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของสหายร่วมรบอีกสองสามคนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นดวงดาวนำโชคของพวกเขาอีกด้วย
“ได้ ผมจะหาโอกาสคุยกับหล่อน”
หลินเซี่ยกระซิบกับเขา “เรื่องนี้ไม่ควรบอกแค่แม่คนเดียว คุณต้องหาเวลาที่เป็นทางการหน่อย ให้ทุกคนในครอบครัวรู้ด้วย”
ถ้าแอบบอกแค่โจวลี่หรงคนเดียว หล่อนอาจจะไม่เชื่อ
เธอกลัวว่าในอนาคตเมื่อเสี่ยวหู่โตขึ้น ทัศนคติของคนอื่น ๆ ในตระกูลเฉินที่มีต่อหู่จืออาจจะเปลี่ยนไป
ดังนั้นต้องอุดรอยรั่วเอาไว้ให้หมด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในเมื่อใช้เหตุผลคุยด้วยไม่ได้ก็ใช้ความเชื่อไสยศาสตร์เล่นงานทางจิตใจซะเลย ลึกๆ แล้วมนุษย์ทุกคนมีความเชื่องมงายบางอย่างกันหมดนั่นแหละ
ไหหม่า(海馬)
…………….