ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 722 อภิชาติบุตรของแม่
ตอนที่ 722 อภิชาติบุตรของแม่
เซี่ยอวี่ในช่วงนี้รู้สึกทั้งเพลียทั้งง่วงทั้งวัน จึงนอนเก็บแรงเตรียมพักผ่อนเพื่อการถ่ายทำในลำดับถัดไป
ส่วนเย่ไป๋ต้องไปปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการประชุมทางวิชาการเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว
ก่อนจากไป เขาอยากให้เซี่ยอวี่ไปด้วย แต่เซี่ยอวี่ช่วงนี้มีสภาพจิตใจไม่ค่อยดี ขี้เกียจเคลื่อนไหว จึงปฏิเสธเขาไป
ขืนไปปักกิ่ง เขาก็มีแต่ประชุมทุกวัน ส่วนหล่อนก็เอาแต่นอนที่โรงแรมอยู่ดี
เย่ไป๋บอกกับเซี่ยอวี่ว่ารอเขาประชุมกลับมาแล้วจะบอกเรื่องหนึ่งให้ทราบ
เซี่ยอวี่ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้
หล่อนหมกตัวอยู่ในเก้าอี้นอนในลานบ้านทั้งวัน บ้างก็ถือบทอ่าน พอรู้สึกง่วงก็กางบทปิดหน้าแล้วนอนหลับไปเฉยๆ ไม่ได้ไปดูหลินเซี่ยเลย
หล่อนพบว่าทุกครั้งที่เห็นเจ้าตัวเล็กที่หลินเซี่ยคลอด ความเป็นแม่ล้นก็เหมือนเอ่อขึ้นมาในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
และก็จะคิดจินตนาการไปต่างๆ นานา
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินเจิ้นเจียงพาโจวลี่หรงมาที่บ้านเฉินเจียเหอ
ในตอนที่เฉินเจิ้นเจียงจะออกจากบ้าน โจวลี่หรงบอกว่าตัวเองมีธุระ เลยจะไม่ไปด้วย
ผู้เฒ่าเฉินได้ยินคำพูดของหล่อนเข้าพอดี จึงซักไซ้ไล่เรียงเรื่องความขัดแย้งระหว่างหล่อนกับหลินเซี่ยอีกครั้ง
โจวลี่หรงตอบไม่ได้ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหากับหลินเซี่ย หล่อนจึงต้องออกเดินทางไปกับเฉินเจิ้นเจียง
ก่อนอื่นพวกเขาไปซื้อของมาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก โดยจงใจคำนวณเวลามาให้ตรงกับช่วงที่เฉินเจียเหออยู่บ้านพอดี
เมื่อทั้งคู่ไปถึง เฉินเจียเหอกำลังต้มซุปให้หลินเซี่ยอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นพ่อกับแม่ของตนมา เขาจึงรีบมาต้อนรับ
เขาเหลือบมองไปทางด้านหลังของพ่อ และไม่คิดเลยว่าแม่ของเขาก็มาด้วย
“พ่อ แม่ รีบเข้ามาเถอะครับ”
เฉินเจิ้งเจียงเห็นลูกชายของเขาสวมผ้ากันเปื้อน จึงขมวดคิ้ว
สาเหตุหลักคือกลัวว่าเฉินเจียเหอจะทำอาหารไม่อร่อย แถมยังเสียเวลางานอีกด้วย
เขาได้ยินมาว่าขณะนี้เฉินเจียเหอกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการวิจัยและพัฒนา รถโดยสารรุ่นใหม่
ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ควรอยู่ในโรงงานเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา
งานทำอาหารเหล่านี้ ปล่อยให้โจวลี่หรงที่เกษียณแล้วทำก็ได้
“นั่งเถอะ”
เฉินเจิ้งเจียงพูดกับโจวลี่หรงว่า “คุณมารับช่วงต่อจากเจียเหอเถอะ อาหารฝีมือเขาจะไปอร่อยได้ยังไง อย่าให้เซี่ยเซี่ยต้องลำบากปากเลย”
โจวลี่หรงมองไปทางเฉินเจียเหอ ปรากฏว่าเฉินเจียเหอพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมทำซุปอยู่ใกล้เสร็จแล้ว อาหารที่ผมทำถูกปากเซี่ยเซี่ยมาก”
เฉินเจิ้งเจียงเหลือบมองไปทางห้องนอนอีกครั้ง แล้วถามว่า “พักนี้เด็กเป็นยังไงบ้าง ซนไหม แม่เธอเป็นห่วงมากเลยนะ”
โจวลี่หรงมองเฉินเจิ้งเจียงแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้เฉินเจิ้งเจียงพูดแบบนี้
หล่อนไม่อยากให้เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยรู้ว่าเธอกังวลเรื่องหลานแค่ไหน
“ลูกว่านอนสอนง่ายมากครับ” เฉินเจียเหอกล่าว
หลินเซี่ยอยู่ในบ้านไม่มีอะไรจะทำ และเพราะใช้สายตานานๆ ไม่ได้ ก็เลยไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ทำเพียงจัดเสื้อผ้าให้กับลูกน้อยเพื่อฆ่าเวลา
ในตอนนี้เองเธอจึงได้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลูกน้อยของเธอได้ชุดเสื้อผ้าใหม่ไปแล้วเกือบสิบชุด แล้วยังมีรถเข็นเด็กอีก สิ่งของในบ้านตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของลูกน้อยทั้งนั้น
ขณะหลินเซี่ยกำลังจัดของอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ด้านนอก
เหมือนกับเสียงพ่อสามีของเธอ
เธอวางเสื้อผ้าเด็กไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินออกไป ก็เห็นพ่อสามีกับแม่สามีนั่งอยู่ที่นั่น
หลินเซี่ยเห็นพวกท่านแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าโจวลี่หรงพูดอย่างไรกับพ่อสามีหลังจากที่กลับไปแล้ว
หลินเซี่ยยังคงมีอารมณ์เป็นปกติเหมือนอย่างเคย ยังคงให้ความเคารพพวกท่านเป็นอย่างดี
ไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่น้อยว่าเธอรู้สึกโกรธ
เฉินเจิ้นเจียงพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “อืม ฉันมีเวลาว่างวันนี้ก็เลยแวะมาดูหลานชายพอดี แล้วก็มาคุยเรื่องงานเลี้ยงครบเดือนของหลานชายกับพวกเธอด้วย”
หลินเซี่ยร้องอ๋อหลังจากที่ได้ยินว่าพวกท่านมาเพื่อจะมาพูดคุยเรื่องงานเลี้ยงครบเดือนของลูก และสังเกตเห็นว่าโจวลี่หรงเอาแต่มองไปยังทิศทางของห้องนอน
คงจะคิดถึงหลานชายอยู่เป็นแน่
หลินเซี่ยกล่าว “ฉันจะไปอุ้มลูกนะคะ”
ขณะนี้ลูกน้อยกำลังนอนอยู่ในเปลเด็ก หลินเซี่ยเข้าไปอุ้มเขาออกมา
เมื่อโจวลี่หรงเห็นหลินเซี่ยอุ้มลูกเดินออกมาจากห้องนอน หล่อนก็อดลุกขึ้นไม่ได้ แววตาเต็มไปด้วยความโหยหาอาทร
หลินเซี่ยสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางเล็กน้อยของหล่อนได้อย่างไม่ยากเย็น
ความจริงแล้ว หลินเซี่ยก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเมื่อเห็นสีหน้าของโจวลี่หรง
กระทั่งรู้สึกผิดด้วยซ้ำ
วันนั้นที่พวกเธอทะเลาะกัน เธอไม่ควรพูดจารุนแรงจนโจวลี่หรงกลับบ้านไปแบบนั้นเลย
หลินเซี่ยเดินเข้ามา ส่งลูกน้อยให้โจวลี่หรง
“เสี่ยวหู่ ให้คุณย่าอุ้มนะจ๊ะ”
โจวลี่หรงตั้งตัวไม่ทันเพราะท่าทางของหลินเซี่ย
หล่อนรับเด็กน้อยไป สีหน้าแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็น
ความตกใจ ความปลาบปลื้ม ความคิดถึงหลาน และอารมณ์ต่างๆ ถาโถมเข้ามา ทำให้โพรงจมูกของหล่อนรู้สึกเปรี้ยวขึ้นมาทันใด
โจวลี่หรงอุ้มหลานไว้ราวกับได้ของรักที่สูญหายกลับคืนมา สายตาอ่อนโยนจ้องมองเด็ก นัยน์ตารื้นหยาดน้ำ
หลินเซี่ยวางเฉย ไม่ได้คุยกับโจวลี่หรงหลังจากที่ยื่นลูกให้
เธอไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็ก
เฉินเจิ้นเจียงแสดงอาการเป็นห่วง “เซี่ยเซี่ย มานั่งที่โซฟาสิ เก้าอี้มันเย็น”
“พ่อคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วันนี้อากาศอุ่น เก้าอี้ไม่เย็นหรอก”
เฉินเจียเหอเดินเข้าครัวไปดูซุปที่เขาต้มอยู่ ทำให้หลินเซี่ยไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขา
เฉินเจิ้นเจียงก็เดินไปหาโจวลี่หรงเพื่อดูหลาน
เขาพูดพร้อมกับหัวเราะ “หลานชายเราเปลี่ยนไปทุกวันเลย ดูสิ หน้าตาตอนนี้ต่างจากตอนแรกคลอดเยอะเลย”
โจวลี่หรงมองเด็กด้วยสายตาอ่อนโยน ตอบว่า “ใช่สิ โตขึ้นแล้ว หน้าตาต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว”
หลินเซี่ยนั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง มองคู่สามีภรรยาเล่นกับหลานอย่างเอ็นดู
ตอนนี้ความบาดหมางระหว่างเธอกับโจวลี่หรงดูเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงดูหลานสักพักแล้วพูดกับหลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย เรื่องที่เราจะจัดงานเลี้ยงครบเดือนให้หลานยังไง เธอตัดสินใจมาได้เลยนะ”
หลินเซี่ยได้ยินเฉินเจิ้นเจียงพูดดังนั้นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ
ตอนนี้ในหัวของเธอมี 4 คำผุดขึ้นมา…อภิชาติบุตรของแม่!
พ่อสามีที่เคยเคร่งขรึมเย็นชา ตอนนี้กลับยิ้มแย้มอย่าง ‘เป็นกันเอง’
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อคุยเรื่องงานเลี้ยงครบเดือนหลานกับเจียเหอได้เลยค่ะ”
เฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้วเดินออกมาจากห้องครัว พูดว่า “พ่อ จัดเลี้ยงในร้านอาหารที่เราจัดงานแต่งงานก็ได้นะ ไม่ต้องจัดงานใหญ่โตหรอก เราเพิ่งแต่งงานกันไปไม่นาน เพิ่งจะส่งการ์ดเชิญแขกไป ถ้าจะส่งอีกก็เกรงใจ แค่คนในครอบครัวมากินข้าวกันอย่างอบอุ่นก็พอแล้ว ขอแค่ลูกน้อยแข็งแรงเติบโตก็พอ”
เฉินเจียเหอกลัวว่าถ้าส่งการ์ดเชิญถี่เกินไป ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ
งานเลี้ยงฉลองครบเดือนของหลานเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนในครอบครัว
แต่สำหรับคนนอก อาจจะเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ
บางคนได้รับการ์ดเชิญแล้วก็จำเป็นต้องหักเงินส่วนหนึ่งจากรายจ่ายที่มีจำกัดเพื่อมางานและให้ของขวัญ
แบบนี้ไม่จำเป็นเลยจริงๆ
เฉินเจียเหอกล่าว “เดี๋ยวเชิญเฉพาะญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทก็พอ ให้เรียบง่ายเข้าไว้”
“แล้วแต่แกเลย” เฉินเจิ้นเจียงแสดงความเคารพความคิดของเฉินเจียเหอ
ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว เฉินเจียเหอจึงตั้งใจว่าจะทำมื้อเที่ยงให้พวกเขากิน แต่โจวลี่หรงบอกว่าหล่อนจะทำเองหลังจากกล่อมเด็กน้อยให้หลับ
หล่อนเข้าครัวเหมือนอย่างเคย ทำอาหารอยู่ในห้องครัวเพียงลำพัง
เฉินเจิ้นเจียงมองหลินเซี่ยแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย แม่เขาน่ะหัวโบราณ ทำอะไรก็จริงจัง ถ้ามีอะไรทำให้เธออึดอัด ก็ขอให้เธออดทนหน่อยนะ”
หลินเซี่ยยิ้มตอบ “ได้ค่ะพ่อ”
เฉินเจียเหอกลัวว่าหลินเซี่ยจะเมื่อยถ้าต้องนั่งนานๆ จึงให้เธอเข้าไปพักในบ้าน แล้วจะเรียกเมื่ออาหารเสร็จ
โจวลี่หรงผัดกับข้าว แล้วตักกับข้าวรสอ่อนใส่ในจานให้หลินเซี่ย
หล่อนไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงวางอาหารตรงหน้าเธอ
เป็นการพูดน้อยแต่ทำมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เฉินเจิ้นเจียงก็ขอตัวกลับ
แต่โจวลี่หรงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ลังเลไม่ยอมไป
เหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หลงหลานใหญ่เลยนะคุณแม่ คงเป็นเพราะสมัยตัวเองสาวๆ ไม่ได้มาเลี้ยงมาดูแลลูกที่ยังเล็กแบบนี้ล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)