ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 723 ตั้งใจจะบอกความจริงกับเสิ่นอวี้หลง
ตอนที่ 723 ตั้งใจจะบอกความจริงกับเสิ่นอวี้หลง
หลินเซี่ยสังเกตเห็นสีหน้าเช่นนั้นของโจวลี่หรง เธอจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า “แม่ ถ้าคุณมีเวลาก็แวะมาเยี่ยมหลานได้นะคะ”
หลินเซี่ยรู้ดีว่าแม่สามีกำลังรอคอยอะไรอยู่
จริง ๆ แล้ว เมื่อครู่เธอก็คิดจะให้โจวลี่หรงอยู่ต่อเหมือนกัน
แต่พอนึกถึงช่วงอยู่เดือน 20 กว่าวันที่ผ่านมาที่ต้องมาอยู่ใต้อาณัติของโจวลี่หรง เธอก็รู้สึกกลัว
มันช่างอึดอัดเสียจริง
เธอรู้สึกเกร็งมาก
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจ แค่ขยับตัวนิดหน่อย โจวลี่หรงก็จะต่อว่าแล้ว
ชีวิตแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
ขีดจำกัดสูงสุดที่เธอยอมรับได้คือการให้แม่สามีแวะมาเยี่ยมหลานเป็นครั้งคราว
ทุกคนควรเว้นระยะห่างกันบ้าง
เหมือนกับปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา เมื่อทุกคนอยู่ห่างกัน ความสัมพันธ์ก็ยังพอไปด้วยกันได้
แต่พอมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ความขัดแย้งต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นทันที
โจวลี่หรงตอบเสียงเบา
“ได้จ้ะ”
“งั้นเราไปก่อนนะ”
เฉินเจิ้นเจียงเห็นสีหน้าหม่นหมองของโจวลี่หรงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินออกจากประตูลงบันไดไปพร้อมกับหล่อน
แม้หลินเซี่ยจะสุภาพกับพวกเขามาก เรียกขานพวกเขาว่าพ่อแม่และมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังพยายามรักษาระยะห่างจากพวกเขา
เมื่อลงบันไดมาแล้ว เฉินเจิ้นเจียงก็อดไม่ได้ที่จะตักเตือนโจวลี่หรงอีกครั้ง “เหล่าโจว ต่อไปนี้ลองปรับนิสัยของคุณด้วย หัดสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น อย่าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองคนเดียว”
คนรุ่นใหม่สมัยนี้จะยอมรับวิธีการของหล่อนได้อย่างไร?
ต่อให้หล่อนจะเป็นแม่สามี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
เฉินเจิ้นเจียงเห็นปฏิสัมพันธ์อันแสนอึดอัดไร้คำพูดระหว่างหลินเซี่ยกับโจวลี่หรงแล้ว เขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจ
โจวลี่หรงมีสีหน้าหม่นหมอง ไม่สนใจเฉินเจิ้นเจียงเลย
เฉินเจิ้นเจียงจึงรู้ว่าตักเตือนหล่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ เปลี่ยนมาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เซี่ยเซี่ยเป็นเด็กที่รู้ความ ถึงแม้จะอายุน้อย แต่ผมว่าหล่อนก็พอจะเลี้ยงดูลูกได้ดีทีเดียว เสี่ยวหู่ไม่ร้องไห้ไม่งอแง ทุกด้านก็ดูดี คุณไม่ต้องกังวลแล้วนะ แวะมาเยี่ยมเป็นบางครั้งก็พอ”
ตอนที่หลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ มาเยี่ยมหลินเซี่ยแล้วพบว่าโจวลี่หรงไม่อยู่ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ
หลินเซี่ยบอกว่าแม่สามีของเธอกลับไปแล้ว ทำให้หลิวกุ้ยอิงถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงกลับไปล่ะ?”
โจวลี่หรงรักหลานชายคนโตมาก ตั้งแต่เพิ่งลืมตาดูโลกก็มาดูแลตลอด ทั้งยังดูแลหลินเซี่ยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่หล่อนก็ลงมือทำเอง
ไม่มีทางที่หล่อนจะกลับไปโดยไม่มีเหตุผลทั้ง ๆ ที่ยังไม่ครบกำหนดการออกจากอยู่เดือน
หลิวกุ้ยอิงมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ถามว่า “ลูกทะเลาะกับหล่อนเหรอ?”
หลินเซี่ยกลอกตา “แม่ พูดอะไรอย่างนั้นคะ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
คุณแม่เซี่ยเอ่ยขึ้น “เซี่ยเซี่ยของเราเป็นเด็กรู้จักมารยาท ไม่มีทางที่จะทะเลาะกับแม่สามีหรอก”
ทันทีที่คุณยายพูดจบ หลินเซี่ยก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดต่อ “ก็มีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยค่ะ”
“หา? ขัดแย้งอะไรกัน?” คุณแม่เซี่ยตกใจ “พวกเธอไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ ใช่ไหม?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัว หลินเซี่ยก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
ได้ยินเรื่องนี้ หลิวกุ้ยอิงก็กล่าวว่า “หล่อนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีจิตสำนึกสูง การไม่ชอบไปคุยเรื่องส่วนตัวกับพวกคนว่างงานที่ไร้สาระก็เข้าใจได้อยู่หรอก”
“เพื่อนบ้านมาเยี่ยมลูกทั้งที ฉันไล่พวกเขาออกไปไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณไม่เห็นท่าทีของแม่สามีฉันตอนนั้น มันทำให้ฉันอับอายมากจริงๆ ฉันยังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เฉินเจียเหอก็ต้องทำงานและเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงาน พวกเราไม่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เธอไม่ชอบได้หรอก” หลินเซี่ยแย้ง
เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน ตอนนี้กลับมีปัญหาแล้ว เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล ต่อไปจะทำอย่างไรดี?
คุณแม่เซี่ยถอนหายใจ ในใจนึกเคืองโจวลี่หรงอยู่บ้าง
บางครั้งคนคนนั้นก็เคร่งเครียดเกินไป เกษียณแล้วยังทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ ใครจะทนได้ล่ะ?
คุณแม่เซี่ยคิดไปมา ก่อนจะกลับก็พูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย พอหมดระยะอยู่เดือนแล้วก็เอาลูกไปฝากไว้ที่บ้านเรา ให้แม่ช่วยเลี้ยงให้ เราจ้างพ่อครัวกับพนักงานเสิร์ฟมาที่ร้านอาหารแล้ว ให้แม่เธอพักได้แล้วล่ะ”
“ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันค่ะ”
ในฐานะแม่ หลินเซี่ยไม่อยากให้ใครมาเลี้ยงลูกจริงๆ
ขนาดตอนตั้งครรภ์ยังมีความรู้สึกรักลูกไม่รุนแรงถึงขนาดนี้เลย
ตอนนี้ลูกมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าห่างลูกไม่ได้แม้แต่ชั่วขณะ
แค่ไปเข้าห้องน้ำ ใจก็ยังคิดถึงแต่ลูกอยู่
ตอนเย็น เฉินเจียเหอถือสมุดและปากกามาปรึกษากับหลินเซี่ยเกี่ยวกับญาติที่ต้องเชิญมางานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของลูก เขาบอกว่าจะจดจำนวนคนคร่าว ๆ เพื่อจะได้ไปจองร้านอาหาร
พอคำนวณจำนวนคนได้คร่าว ๆ แล้ว ก็แจ้งให้ทุกคนทราบ
หลินเซี่ยโทรศัพท์ไปบอกเซี่ยหลานในเรื่องนี้ด้วย
เซี่ยหลานเคยมาเยี่ยมพวกเขาตอนลูกอายุสิบวัน
หลังจากนั้นอาจจะยุ่ง เลยไม่ได้มา
“แม่คะ เสิ่นอวี้หลงมางานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของหลานได้ไหมคะ” เธอถาม เซี่ยหลาน
หลินเซี่ยไม่ได้เจอเสิ่นอวี้หลงเลย ตั้งแต่คลอดลูกจนถึงตอนนี้
เสิ่นอวี้หลงยังไม่เคยเห็นหน้าหลานชายคนโตของเขา
งานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนเป็นเรื่องน่ายินดี หลินเซี่ยจึงหวังว่าเสิ่นอวี้หลงจะมาร่วมงานได้
แต่แน่นอนว่าเสิ่นอวี้หลงต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพี่น้องก่อน
หลินเซี่ยคิดว่าร่างกายของเสิ่นอวี้หลงฟื้นตัวได้เกือบหมดแล้ว พวกเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ เรื่องนี้ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว
เซี่ยหลานควรจะบอกความจริงกับเขาแล้วใช่ไหม
เซี่ยหลานพูดในโทรศัพท์ว่า “เซี่ยเซี่ย พรุ่งนี้บ่ายแม่หยุด แม่จะพาเสิ่นอวี้หลงไปเยี่ยมเธอกับลูก ส่วนเรื่องงานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนค่อยว่ากันอีกที”
เซี่ยหลานพูดจบแล้วกำชับหลินเซี่ย ว่า “พรุ่งนี้ที่บ้านคงไม่มีญาติคนอื่นใช่ไหม”
หลินเซี่ยได้ยินแล้ว ก็รู้ว่าเซี่ยหลานยังปิดบังความจริงกับเสิ่นอวี้หลงอยู่จนถึงตอนนี้
หลินเซี่ยพลันรู้สึกอับจนหนทาง
เธอไม่รู้ว่าในใจเซี่ยหลานคิดอะไรอยู่กันแน่
หล่อนชอบหลบเลี่ยงปัญหาอยู่เสมอ
หลินเซี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “แม่คะ ไม่มีใครหรอก มีแค่ฉันกับเด็ก ๆ เฉินเจียเหอเลิกงานตอนบ่ายแล้วถึงจะกลับมา”
เธอคิดว่าหากเซี่ยหลานไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเสิ่นอวี้หลง อย่างนั้นเธอจะไปคุยกับเสิ่นอวี้หลงในวันพรุ่งนี้เอง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ค่อยๆ ปรับตัวไปนะคะ เว้นระยะห่างต่อกันให้หายใจหายคอคล่อง รักได้แต่อย่าบังคับบงการชีวิตกัน เดี๋ยวจะยิ่งห่างกันไปใหญ่
ไหหม่า(海馬)