ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 724 ตามหาความจริง
ตอนที่ 724 ตามหาความจริง
หลินเซี่ยตั้งตารอที่จะได้พบกับเซี่ยหลานและเสิ่นอวี้หลงมาก
เธอหวังว่าเสิ่นอวี้หลงจะมาเยี่ยมลูกด้วย อารมณ์ของเขาจะได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัว
เมื่อคืนเซี่ยหลานบอกเสิ่นอวี้หลงว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายหล่อนจะพาเขาไปเยี่ยมหลินเซี่ยและลูก ซึ่งเสิ่นอวี้หลงได้ยินแล้วก็ดีใจมาก
ในที่สุดแม่ของเขาก็ยอมให้เขาออกไปเยี่ยมพี่สาวและหลานชายแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเซี่ยหลานทำอาหารเช้าให้เสิ่นอวี้หลงเสร็จ หล่อนก็ไปทำงาน กำชับให้เขาออกกำลังกายและอ่านหนังสือที่บ้าน
เสิ่นอวี้หลงอารมณ์ดี รับปากหลายครั้ง “แม่ครับ แม่สบายใจได้ ผมจะดูแลตัวเองอยู่ที่บ้าน”
ตอนที่เขาตื่นนอนและล้างหน้า เขามองตัวเองในกระจก พบว่าผมยาวขึ้นและดูไม่ค่อยสดใส
หลินเซี่ยเป็นคนตัดผมให้เขาในตอนที่เขายังหลับไม่ได้สติ
ตอนนี้มันกลับมองดูรกรุงรัง
วันนี้เขาจะไปเยี่ยมหลานชายที่เพิ่งเกิด เขาต้องไปพบเด็กด้วยหน้าตาที่ดีที่สุด
ดังนั้น เสิ่นอวี้หลงจึงตัดสินใจออกไปตัดผม
เขาชอบทรงผมที่หลินเซี่ยตัดให้มาก มันดูเรียบร้อย กระฉับกระเฉง
แต่พี่สาวของเขากำลังอยู่เดือน จึงไม่สามารถตัดผมให้เขาได้ เสิ่นอวี้หลงคิดสักครู่ แล้วก็บังเกิดความคิดหนึ่ง
เขาตั้งใจจะไปตัดผมที่ร้านเสริมสวยของหลินเซี่ย ลูกศิษย์ที่พี่สาวของเขาสอนมาคงมีฝีมือไม่ต่างจากเธอมากนัก
ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็อยากไปดูร้านเสริมสวยของหลินเซี่ยด้วย
ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกเรื่องนี้กับแม่ของเขา แต่แม่ของเขาก็ปฏิเสธและอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกว่าตอนนี้แม่ของเขาแค่อยากจะกักตัวเขาไว้ที่บ้าน
ทุกวันจะย้ำให้เขาออกไปออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่ก็จะเตือนว่าให้เดินเล่นแค่ชั้นล่างเท่านั้น
เขายังพบอีกว่าแม่ของเขาไม่อยากให้เขากลับไปเยี่ยมคุณปู่ที่บ้านสกุลเสิ่น และยิ่งไม่อยากให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับหลินเซี่ย
ต้องมีเรื่องผิดปกติแน่นอน
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกว่าสภาพร่างกายของเขาตอนนี้สามารถออกไปข้างนอกคนเดียวได้โดยไม่มีปัญหา
วันนี้ก็พอดีกับการใช้ข้ออ้างว่าไปตัดผมเพื่อออกไปเดินเล่น
เสิ่นอวี้หลงไม่รู้ว่าร้านของหลินเซี่ยตั้งอยู่ที่ไหนแน่ชัด อีกทั้งไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเซี่ยหลาน
เพราะเขารู้ชื่อร้าน
เมื่อสองสามวันก่อนตอนเอ้อร์เลิ่งมาเยี่ยมเขา เขาได้ถามไถ่เอ้อร์เลิ่งอย่างไร้เดียงสาทว่าแฝงเจตนา จนได้รู้ว่าร้านเสริมสวยของพี่สาวเขาชื่อ “เริ่มต้นครั้งใหม่” ตอนนั้นเอ้อร์เลิ่งบอกเพียงตำแหน่งคร่าว ๆ แต่พอถามรายละเอียด เอ้อร์เลิ่งก็พูดไม่ชัดเจน
หากรู้ชื่อร้านและตำแหน่งคร่าว ๆ แบบนั้น ก็ไม่ยากที่จะหาเจอ
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เขาจึงใส่หมวกแล้วหาหน้ากากอนามัยมาใส่ จากนั้นก็ออกจากบ้าน
เขาโบกแท็กซี่ริมถนน บอกชื่อร้านและตำแหน่งคร่าว ๆ ของร้านเสริมสวย แล้วถามคนขับว่ารู้จักไหม
ไม่คิดว่าคนขับจะรู้จักที่นั่นจริง ๆ
“ใช่ ห้องเต้นรำสวินเมิ่งที่อยู่ข้าง ๆ นั่นใช่ไหม” คนขับรถยิ้มถามขึ้น
เสิ่นอวี้หลงไม่รู้จักห้องเต้นรำสวินเมิ่ง เขาจึงถามต่อ “แล้วเจ้าของร้านเสริมสวยนั้นแซ่เสิ่นใช่ไหมครับ”
คนขับรถคิดสักพักแล้วตอบ “ไม่ใช่นะ เหมือนจะแซ่หลิน ร้านเสริมสวยนั่นไม่ธรรมดาเลย เจ้าของร้านอายุน้อยแต่ฝีมือตัดผมเยี่ยมมาก ร้านดังมาก ๆ ผมก็ไปตัดผมที่นั่นแหละ เหมือนตอนนี้เจ้าของร้านจะพักคลอดลูกอยู่ แต่ช่างอีกสองคนในร้านก็ฝีมือดีมากเหมือนกัน”
เสิ่นอวี้หลงได้ฟังคำพูดของคนขับรถแล้วก็สงสัยใคร่รู้
เจ้าของร้านแซ่หลิน?
พวกเขาพูดถึงคนเดียวกันหรือเปล่า?
แต่ประโยคสุดท้ายของคนขับรถตรงกับสถานการณ์ของหลินเซี่ยพอดี
หัวใจของเสิ่นอวี้หลงเต้นแรง เขารู้สึกว่าแม่และพี่สาวของเขากำลังปิดบังความลับบางอย่างจากเขา
ฟังจากน้ำเสียงของคนขับรถแล้ว เขาคุ้นเคยกับย่านนั้นเป็นอย่างดี
คนขับรถพูดว่า “ชื่อหลินเซี่ย ผมก็อยู่แถวนั้นแหละ ผมบอกนะ ถึงแม้เถ้าแก่หลินจะอายุแค่ 20 กว่า ๆ แต่ชีวิตของหล่อนนี่เรียกได้ว่าเป็นตำนานเลย”
คนขับรถเป็นคนช่างพูด อาจจะเป็นเพราะคนขับรถที่รับงานส่วนใหญ่ชอบเล่าเรื่องแปลก ๆ ในเมืองให้ลูกค้าฟัง
“ตำนาน? ตำนานยังไงครับ?” เสิ่นอวี้หลงเกิดความสนใจ จึงถามด้วยความอยากรู้
“หนุ่มน้อย ดูท่าคุณจะไม่ได้ออกไปไหนเลยสินะ?” คนขับรถหัวเราะ พลางพูดคุยไม่หยุดกับเสิ่นอวี้หลงถึงเรื่องราวในตำนานของเถ้าแก่หลินที่เขาได้ยินมา
“ผมได้ยินมาว่า เถ้าแก่หลินเพิ่งเกิดมาก็ถูกสับเปลี่ยนตัวตนแล้ว”
“ตอนนี้ครอบครัวนั้นกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จไปหมดแล้ว อารองของเถ้าแก่หลินเป็นเจ้าของห้องเต้นรำสวินเมิ่งห้องข้างๆ ห้องเต้นรำนั่นเป็นสถานบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไห่เฉิงเลยนะ ข้างในยังมีคาราโอเกะด้วย รู้จักคาราโอเกะไหม?”
เพราะคำพูดของคนขับรถ เสิ่นอวี้หลงจึงเริ่มรู้สึกมึนงง เขาพยักหน้าอย่างซื่อๆ “ผมไม่รู้จัก”
“ผมเคยเข้าไปนะ ทั้งร้องเพลง เต้นรำ ดื่มเหล้า มีครบ”
คนขับรถพูดไปก็ยิ่งตื่นเต้น “แล้วร้านชามข้าวเหล็กตรงข้ามนั่นก็เป็นร้านที่พ่อแม่ของเถ้าแก่หลินเป็นเจ้าของ ผมขอบอกคุณเลยว่าเถ้าแก่เซี่ยเคยเป็นทหารผ่านศึกผู้กล้าคนหนึ่ง เพียงแต่เขาเป็นคนถ่อมตัว ไม่ขอความดีความชอบจากทางการ เลยมาทำธุรกิจเล็กๆ”
“เฮ้อ เทียบกับตระกูลเซี่ยแล้ว ตระกูลเสิ่นเดี๋ยวนี้ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ตกต่ำลงไปทุกที”
คนขับรถเล่าราวกับเล่านิทาน เสิ่นอวี้หลงฟังจนมึนงงไปหมด ข้อมูลที่คนขับรถพูดมานั้นมีมากมายเหลือเกินจนเขาคิดตามไม่ทัน แต่ก็พอจับคำสำคัญบางคำได้ เช่น ตระกูลเสิ่น ลูกสาวตัวปลอมของผู้อำนวยการโรงงาน สับเปลี่ยนตัวเด็ก
คนขับรถเล่าจบแล้วหันกลับมามอง พบว่าหนุ่มน้อยคนนี้ยังคงห่อหุ้มตัวเองมิดชิด ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเหมือนกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งหลังได้ยินข่าวซุบซิบใหญ่โตในเมืองไห่เฉิง เขาจึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาและไม่เล่าต่อ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เสิ่นอวี้หลงจึงถามคนขับรถว่า “คุณลุงครับ ตระกูลเสิ่นที่คุณพูดถึงนี่คือตระกูลของผู้อำนวยการเสิ่นแห่งโรงงานเครื่องจักรในเมืองไห่เฉิงใช่ไหมครับ?”
คนขับรถไม่คาดคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะตอบสนองช้าขนาดนี้ จริงๆ แล้วเขากำลังย่อยเนื้อหาที่เขาเล่าไปเมื่อกี้หรือ?
คนขับรถพยักหน้า
คนขับรถกำพวงมาลัย พลางถอนหายใจ “พวกผู้นำเนี่ยเป็นอะไรกันนะ ถึงได้เลวทรามอย่างนี้ ผู้อำนวยการโรงงานเป็นตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน เงินเดือนสวัสดิการก็น่าจะไม่น้อย แต่ยังจะยักยอกทรัพย์สินของทางการอีก เฮ้อ คนที่ลำบากที่สุดในสังคมนี้ก็คือแรงงานชั้นล่างอย่างเราๆ นี่แหละ”
คนขับรถพูดด้วยน้ำเสียงสมน้ำหน้าและความโกรธแค้นต่อโลก “ได้ยินว่าลูกชายของผู้อำนวยการเสิ่นนอนเป็นผักอยู่ คงเอาเงินไปซื้อยาให้ลูกชายกินล่ะมั้ง ฮ่าๆ”
ใบหน้าของเสิ่นอวี้หลงซีดเผือด ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม รู้สึกเหมือนมีลมอัดแน่นอยู่ในอก จนแทบหายใจไม่ออก
คนขับรถสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขาแล้วก็ตกใจ จึงชะลอความเร็วรถลง และถามด้วยความเป็นห่วง “หนุ่มน้อย เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่เป็นไรนะ”
อากาศร้อนขนาดนี้แถมยังห่อตัวมิดชิด คงเป็นคนป่วยสินะ
เสิ่นอวี้หลงกุมหน้าอก ค่อยๆ เอ่ยตอบว่า “ไม่เป็นไรครับ”
คนขับรถกลัวว่าเสิ่นอวี้หลงจะเป็นอะไรไป จึงจอดรถข้างทาง และส่งขวดน้ำของตัวเองให้ด้วยความหวังดี “คุณรู้สึกไม่สบายตัวเหรอ หรือว่าใส่เสื้อผ้าหนาเกินไปจนเป็นลมแดด เอานี่ ดื่มน้ำของผมหน่อย”
เสิ่นอวี้หลงไม่ได้รับแก้วน้ำจากเขา เขาโบกมือ “รบกวนคุณขับรถต่อเถอะ”
คนขับรถมองเขาด้วยความกังวล เห็นเขาหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้ว จึงสตาร์ทรถอีกครั้ง
เขาไม่ได้พูดนินทาอีกต่อไป รีบพาลูกค้าไปส่งยังจุดหมายปลายทาง ตอนที่เสิ่นอวี้หลงจ่ายเงิน คนขับรถก็พูดว่า “ไม่เป็นไรๆ คุณรีบไปตัดผมเถอะ”
ยังไม่ทันที่เสิ่นอวี้หลงจะยื่นเงินให้ คนขับรถก็เหยียบคันเร่งออกไปแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลุงคนขับรถคือผู้เปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างจ้า เล่าแบบรู้ดีราวกับไปนั่งในใจคนเขียนเลย ทีนี้ใครจะปิดข่าวอวี้หลงก็ปิดไม่ได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)