ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 729 สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างคนเราคือความรู้สึก
ตอนที่ 729 สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างคนเราคือความรู้สึก
เสิ่นอวี้หลงโกรธมากจนถึงขั้นบอกว่าจะไปพบเสิ่นอวี้อิ๋ง เซี่ยหลานสบตากับผู้เฒ่าเซี่ย ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ
พวกเขาไม่อยากให้เสิ่นอวี้หลงต้องไปข้องแวะกับพวกคนน่ารำคาญพวกนั้นอีก
ผู้เฒ่าเซี่ยพูดว่า “อวี้หลง ไม่จำเป็นต้องไปหรอก เธอจะไปหาหล่อนทำไม? ตอนนี้เธอควรดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ผ่านเรื่องใหญ่มาได้แสดงว่าโชคลาภรออยู่ข้างหน้าแน่ ๆ เส้นทางข้างหน้าของเธอยังอีกยาวไกล พวกเราไม่ควรเสียเวลากับพวกคนพวกนั้น”
ใบหน้าของเสิ่นอวี้หลงเต็มไปด้วยความโกรธเคืองปนกับหม่นหมอง เขาพูดว่า “คุณตา ผมแค่อยากไปดูว่าหล่อนเป็นผู้หญิงแบบไหนกันถึงได้ใจร้ายมือเหี้ยมขนาดนี้”
หลังเสิ่นอวี้หลงได้ยินมาว่าพี่สาวแท้ ๆ ของเขายังมีลูกสาวนอกสมรสอีก เขาก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ทั้งสามไปอย่างสิ้นเชิง
“ตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน?” เสิ่นอวี้หลงถามเซี่ยหลาน
เซี่ยหลานตอบว่า “อยู่ที่สถานสงเคราะห์”
หล่อนกลัวเสิ่นอวี้หลงจะโกรธ จึงรีบพูดว่า “ฉันบอกผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์ไว้แล้วว่าถ้ามีคนมารับเลี้ยง ก็ให้เด็กคนนั้นไปอยู่กับเขา ต่อไปพวกเราไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของเด็กคนนั้นอีก”
หล่อนจะไม่ปล่อยให้เสิ่นอวี้หลงต้องมีภาระหรือปัญหาตามมาภายหลัง
เซี่ยตงก็พยายามปลอบเสิ่นอวี้หลงให้คิดให้กว้าง แค่เขารับรู้เรื่องของเสิ่นอวี้อิ๋งก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ใจกับปัญหานี้มากนัก
ภายใต้คำแนะนำของผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยตง สีหน้าของเสิ่นอวี้หลงก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ในตอนนี้หลินเซี่ยที่รออยู่ที่บ้านให้พวกเขากลับไปก็รอไม่ไหว จึงโทรศัพท์มา
ในเวลานี้ บรรยากาศในบ้านหนักอึ้งมาก เมื่อเซี่ยหลานได้ยินเสียงของหลินเซี่ย ความรู้สึกของหล่อนก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
หล่อนไม่รู้ว่าเสิ่นอวี้หลงที่รู้ความจริงแล้วจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเซี่ย
ในมุมมองของเซี่ยหลาน หล่อนย่อมหวังให้เสิ่นอวี้หลงกับหลินเซี่ยยังคงสามารถปฏิบัติต่อกันเหมือนเดิมได้
เพราะหล่อนเห็นได้ชัดว่าหลินเซี่ยจริงใจต่อเสิ่นอวี้หลงน้องชายคนนี้
“เซี่ยเซี่ย”
หลินเซี่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “แม่ ทำไมแม่กับอวี้หลงยังไม่มาหาฉันอีกล่ะคะ ฉันรออยู่ทั้งวันแล้ว”
เซี่ยหลานยิ้มอย่างอึดอัด แล้วเอ่ยปาก “เซี่ยเซี่ย วันนี้พวกเรา…”
พูดถึงตรงนี้ หล่อนก็ลอบสังเกตสีหน้าของเสิ่นอวี้หลงด้วยหางตา อยากบอกหลินเซี่ยว่าไว้ค่อยไปหาเธออีกทีก็ได้
เสิ่นอวี้หลงเพิ่งรู้ความจริง เขาคงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับหลินเซี่ย
แต่ยังพูดไม่ทันจบ เสิ่นอวี้หลงก็หยิบโทรศัพท์มือถือจากมือหล่อนไป แล้วพูดว่า “พี่ เดี๋ยวพวกเราไปหาพี่เลย”
หลินเซี่ยได้ยินเสียงน้องชาย เธอก็หัวเราะตอบกลับไปว่า “ได้ งั้นพวกนายรีบมาเลยนะ เด็กอยากเจอน้าของเขาแล้ว”
“ครับ”
เซี่ยหลานไม่คิดว่าเสิ่นอวี้หลงจะตัดสินใจไปหาหลินเซี่ย ดูจากสีหน้าของเขาก็เหมือนเขาจะยอมรับเรื่องนี้แล้ว
“อวี้หลง ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเราทุกคนก็ต้องยอมรับมัน”
เซี่ยตงตบไหล่เขา แล้วพูดว่า “เป็นลูกผู้ชายอย่าคิดมากเลย บ้านไหนจะไม่มีปัญหาบ้าง พอเจอก็ต้องเผชิญมันไป ถึงแม้เซี่ยเซี่ยจะไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของเธอ พอหล่อนรู้ความจริง หล่อนก็ยังคบหากับพวกเราเหมือนเดิม หล่อนก็ยังคงมองเธอเป็นน้องชายแท้ ๆ ตอนที่เธอหมดสติไป หล่อนก็พยายามอย่างมากเพื่อให้เธอฟื้นไวขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างคนเราคือความรู้สึก การที่คนสองคนจากต่างสายเลือดมาเป็นพี่น้องกันได้นับว่าเป็นโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ พวกเธอควรจะรักษาสายสัมพันธ์นี้ไว้ให้ดี”
ผู้เฒ่าเซี่ยพูดต่อ “ใช่แล้ว ตอนที่เธอหมดสติไป พี่สาวเธอได้ซื้อเครื่องเล่นเทปให้เธอ เปิดเพลงให้เธอฟังทุกวันเพื่อให้เธอฟื้นไวขึ้น ตอนที่หล่อนแต่งงาน หล่อนก็เอาลูกอมงานแต่งมาให้เธอด้วยตัวเอง แล้วยังฝากฝังให้เอ้อร์เลิ่งที่เป็นเพื่อนของพี่เขยนายให้มาดูแลนายตลอด หล่อนเป็นผู้หญิงมีน้ำใจ ถึงไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ แล้วมันสำคัญตรงไหน ก็เหมือนที่น้าของเธอพูดนั่นแหละว่าสิ่งสำคัญที่สุดระหว่างคนเราคือความรู้สึก”
คำพูดของผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยตงได้ปลอบประโลมใจเสิ่นอวี้หลงแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของเซี่ยตงที่ว่า “การที่คนสองคนจากต่างสายเลือดมาเป็นพี่น้องกันได้นับว่าเป็นโชคชะตาอันยิ่งใหญ่” ทำให้เสิ่นอวี้หลงรู้สึกโล่งใจอย่างกระจ่างแจ้ง
เสิ่นอวี้หลงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า
“คุณปู่ คุณน้า ผมเข้าใจแล้วครับ”
เขาไม่เคยเห็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาเป็นพี่สาว ในความทรงจำของเขามีแค่หลินเซี่ยคนเดียวเท่านั้นที่เป็นพี่สาว
ช่างน่าอัปยศเหลือเกินที่มีพี่สาวแบบนั้น
“แม่ เราไปหาพี่สาวของผมกันเถอะครับ อย่าให้หล่อนรอนานเกินไป”
เซี่ยหลานถามผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยตงว่า “พ่อ เซี่ยตง พวกคุณจะไปด้วยกันไหม”
เซี่ยตงไม่พูดอะไร ผู้เฒ่าเซี่ยเหลือบตาแล้วพูดว่า “เราไปได้หรือเปล่า?”
เซี่ยหลานยิ้มแล้วพูดว่า “น่าจะไปได้ เซี่ยเซี่ยใกล้จะออกจากอยู่เดือนแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเลย เราไปดูลูกสาวที่เราเลี้ยงมาด้วยกันสักหน่อย”
ไม่ว่าอย่างไรหลินเซี่ยก็เป็นหลานสาวที่ผู้เฒ่าเซี่ยเห็นหล่อนเติบโตมา เมื่อเธอคลอดลูก ผู้เฒ่าเซี่ยก็อยากจะไปดูเหลนสักหน่อย
ได้ยินผู้เฒ่าเฉินโทรมาอวดว่าเด็กคนนั้นแข็งแรงจ้ำม่ำน่ารักมาก
ตอนที่ผู้เฒ่าเฉินตั้งชื่อให้เหลนชาย ฝ่ายนั้นยังขอความเห็นจากเขาด้วย
ถึงแม้ผู้เฒ่าเซี่ยจะยังไม่ได้เห็นหน้าเด็ก แต่ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมในเรื่องของเด็กมาโดยตลอด
แต่เดิมเขาคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าเด็กตอนงานฉลองครบเดือน แต่พอเซี่ยหลานพูดถึง ผู้เฒ่าเซี่ยก็อดใจไม่ไหวอยากไปเยี่ยม
“งั้นไปกันเถอะ”
พอไปถึงบ้านเฉินเจียเหอ ก็เห็นว่ามีแค่หลินเซี่ยกับลูกอยู่ในบ้านจริง ๆ
ก่อนหน้านี้เซี่ยหลานกลัวว่าถ้าพาเสิ่นอวี้หลงมาด้วย แล้วเจอญาติทางฝั่งหลินเซี่ย จะทำให้เสิ่นอวี้หลงสงสัย เลยเตือนหลินเซี่ยเรื่องนี้ไว้ก่อน
ตอนนี้เสิ่นอวี้หลงรู้ทุกอย่างแล้ว หล่อนเลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกต่อไป
เซี่ยหลานรู้สึกเบาใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หล่อนไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงและตื่นตระหนกเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
ไม่ต้องใช้คำโกหกมาโต้ตอบเสิ่นอวี้หลงทุกวัน
แม้กระทั่งรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเคยคิดมากและหดหู่ใจ
หลินเซี่ยเปิดประตู พอเห็นผู้เฒ่าเซี่ยกับเซี่ยตงมาหาก็ดีใจมาก “คุณตา คุณน้า พวกคุณมาด้วยเหรอคะ”
“คุณตา คุณน้า เชิญเข้ามาเลยค่ะ”
หลินเซี่ยเชิญผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยตงเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นเสิ่นอวี้หลงเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย หลินเซี่ยก็คุ้นเคยและจูงแขนเขาเข้ามาอย่างสนิทสนม “อวี้หลง เข้ามาสิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไมเล่า”
เตียงเด็กที่ผู้เฒ่าเฉินซื้อให้ถูกวางไว้ในห้องนั่งเล่น ตอนกลางวันหลินเซี่ยจะวางเด็กไว้บนเตียง ส่วนตัวเองนั่งอยู่บนโซฟา เพื่อที่เวลาเธออยากกินอะไร เด็กจะได้อยู่ในสายตาของเธอตลอดเวลา
“โอ้ ให้ฉันดูเด็กหน่อยสิ” ผู้เฒ่าเซี่ยเพิ่งจะเข้ามา สายตาก็จับจ้องไปที่เตียงเด็กทันที เดินเข้าไปหาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่
เซี่ยหลานพูดว่า “พ่อ ล้างมือก่อนแล้วค่อยมาดูเด็กนะคะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยพลันงุนงงกับคำพูดของเซี่ยหลาน “หา?”
อุ้มเด็กยังต้องล้างมืออีกเหรอ?
เซี่ยหลานเตือน “ระวังเรื่องสุขอนามัยหน่อย เด็กทารกมีภูมิต้านทานไม่เท่าผู้ใหญ่ ต้องระมัดระวังหน่อย”
“อ้อ งั้นฉันไปล้างมือก่อนละกัน” ผู้เฒ่าเซี่ยก็ให้ความร่วมมือดี ไปล้างมืออย่างว่าง่าย
จากนั้นก็อุ้มเด็กขึ้นมา ไม่ยอมปล่อยมือเลย
เขาอายุมากแล้ว ยืนอุ้มไม่ไหว ก็เลยอุ้มเด็กมานั่งบนโซฟา
เด็กน้อยช่างน่ารักว่าง่าย ทำเพียงมองจ้องเขา เหมือนรู้จักกันอยู่แล้ว
ผู้เฒ่าเซี่ยพูดยิ้ม ๆ ว่า “ทำไมเด็กคนนี้ไม่ร้องไห้เลยล่ะ”
เขาอุ้มครั้งแรก เด็กก็ว่าง่ายขนาดนี้ ไม่ดิ้นไม่งอแงเลย
“เขาให้ใครอุ้มก็ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เชื่อฟังขนาดนี้ ต่อไปก็คงไม่เหนื่อยแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยมองทารกในอ้อมแขน แล้วหันไปมองหลินเซี่ย ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ตอนเธอยังเด็ก เธอเป็นตัวแสบเลยนะ ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลย ติดแต่แม่ของเธอคนเดียว พอแม่วางเธอลงปุ๊บ เธอก็ร้องไห้ทันที แต่ทารกคนนี้เชื่อฟังดี แสดงว่าต้องได้นิสัยจากเจียเหอมาแน่ ๆ”
หลินเซี่ย “…….”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าความรู้สึกมันผูกพันว่าเป็นพี่น้อง ต่อให้จะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ มันก็ถือว่าเป็นพี่น้องไม่ต่างกันแหละเนอะ
ไหหม่า(海馬)
……….