ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 731 ทุกอย่างล้วนเป็นชะตากรรม
ตอนที่ 731 ทุกอย่างล้วนเป็นชะตากรรม
เมื่อเซี่ยหลานไปที่ครัว หลินเซี่ยก็นั่งคุยกับเสิ่นอวี้หลง สังเกตเห็นว่าผมของเสิ่นอวี้หลงถูกตัดสั้นลง
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเพิ่งตัดผมมาใหม่
และคนที่ตัดให้ก็ตัดได้ไม่เลวเลยทีเดียว
หลินเซี่ยมองเขาแล้วถามว่า “อวี้หลง ตัดผมที่ไหนเหรอ?”
ขณะเดียวกันก็คิดในใจว่าช่างตัดผมร้านอื่น ๆ ในเมืองไห่เฉิงก็ตัดทรงผมทันสมัยแบบนี้ได้เหมือนกันหรือ? นี่ไปขโมยวิชาจากร้านของเราหรือเปล่านะ?
เพิ่งคิดไปได้แค่นั้น ก็ได้ยินเสิ่นอวี้หลงตอบว่า
“ตัดที่ร้านของพี่นั่นแหละ”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด “หา?”
“แม่พาไปเหรอ?” เธอมองไปทางครัวแล้วถาม
“ผมไปเอง” เสิ่นอวี้หลงพูดจบ สายตาก็จ้องมองหลินเซี่ย ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนมากมาย
สายตาของเขาช่างซับซ้อนเหลือเกิน จนทำให้ใจของหลินเซี่ยกระตุกวูบ
หลินเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งสติได้ จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “จริงเหรอ? นายไปเองเลยเหรอ? ตอนนี้ร่างกายนายไม่มีปัญหาแล้วแน่นะ? ถึงได้ไปไกลขนาดนั้นได้ด้วยตัวเอง”
เสิ่นอวี้หลงไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องตาหลินเซี่ย หลินเซี่ยถูกเขามองแบบนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
เธอรู้สึกได้ว่าเสิ่นอวี้หลงน่าจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว
ถึงอย่างไรก็คงสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ดี
แบบนี้ก็ดีมาก
เธอเองก็กลัวว่าการคุยเรื่องนี้จะกระทันหันเกินไป แต่ในเมื่อเขารู้อะไรมาบ้าง ก็ถือว่ามีการเตรียมใจไว้แล้ว
เธอยังไม่ทันได้พูด เสิ่นอวี้หลงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “พี่ มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า”
หลินเซี่ยถูกเขาถามแบบนี้ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา
เธอกะพริบตามองเสิ่นอวี้หลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อหยั่งเชิงเขา
“อวี้หลง สมมติว่าวันหนึ่งนายรู้ความจริงว่าเราไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ นายจะรู้สึกยังไง”
เสิ่นอวี้หลงได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ “พี่ ไม่ต้องสมมติแล้ว ผมรู้หมดแล้ว”
หลินเซี่ย “!!!”
เสิ่นอวี้หลงมองเธอแล้วพูดว่า “วันนี้ตอนที่ผมไปร้านเสริมสวยของพี่ ผมได้ยินคนพูดถึงเรื่องของครอบครัวเรา”
“พี่ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของผมใช่ไหม”
เมื่อสบตากับเสิ่นอวี้หลง หลินเซี่ยก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
“อวี้หลง จริง ๆ แล้ว…”
เสิ่นอวี้หลงหัวเราะอย่างขมขื่น “ตลกจริง ๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมกลับได้ยินมาจากคนขับแท็กซี่ที่กำลังนินทาผมอยู่”
“พวกเราไม่ได้ตั้งใจปิดบังนาย” หลินเซี่ยรีบอธิบาย “ตอนที่นายหมดสติไป ที่บ้านก็เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน เรื่องแล้วเรื่องเล่า ทั้งซับซ้อนและเกี่ยวพันกับคนมากมายจนแม่ไม่รู้ว่าจะเล่าให้นายฟังยังไงดี หลักๆ ก็คือกลัวว่านายจะได้รับผลกระทบทางอารมณ์จนส่งผลต่อการฟื้นตัว”
“นายก็รู้นี่ว่าสภาพอย่างนายรอดมาได้ก็บุญแล้ว ไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”
เสิ่นอวี้หลงกล่าวว่า “ผมเข้าใจ พวกคุณทำเพื่อผมทั้งนั้น”
อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ถ้าเขารู้เรื่องพวกนี้ทันทีที่ตื่นขึ้นมา เกรงว่าคงควบคุมตัวเองไม่อยู่จริง ๆ
หลินเซี่ยมองเขา ปลอบใจด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “อวี้หลง นายคิดซะว่าทุกอย่างผ่านไปแล้ว ความผูกพันในครอบครัวของเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเพราะเรื่องอะไรทั้งนั้น”
“พี่ ได้ยินพี่พูดแบบนี้แล้วผมดีใจมาก” เสิ่นอวี้หลงมองหลินเซี่ย ในดวงตาฉายแววรู้สึกผิด เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้ามองหลินเซี่ยเลย “ผมไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าพ่อจะทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้ได้ ทำไมเขาใจร้ายถึงขนาดนั้นนะ”
เสิ่นอวี้หลงมองหลินเซี่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเจ็บปวด “พี่ พี่เข้าใจความรู้สึกผมไหม? จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อาจยอมรับได้เลยว่าพี่ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของผม แต่สิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้มากกว่านั้นคือต้นเหตุของเรื่องนี้ดันเป็นพ่อของเราเอง”
หลินเซี่ยส่ายหัวพลางยิ้มขื่น “อวี้หลง บางเรื่องถึงเวลาที่มันควรเกิด มันก็จะเกิดเอง ไม่มีคำว่าถ้า”
เสิ่นอวี้หลงบาดเจ็บเสียเลือดมากจนต้องการเลือด แต่ในทางการแพทย์แล้ว ญาติสนิทไม่ควรให้เลือดกัน
แต่ตอนนั้นผู้เฒ่าเสิ่นไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงพาเธอกับเสิ่นเสี่ยวเหมย รวมถึงเสิ่นเถี่ยจวินไปตรวจหมู่เลือดด้วย
โดยไม่ได้แจ้งเซี่ยหลานที่กำลังยุ่งอยู่ที่โรงพยาบาล
ถ้าตอนนั้นเซี่ยหลานรู้ หล่อนคงไม่ยอมให้พวกเขาไปตรวจหมู่เลือดแน่
ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่บางสิ่งควรจะเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถขัดขวางมันได้
มันคือโชคชะตา
เมื่อหลินเซี่ยพูดเช่นนั้น เสิ่นอวี้หลงก็ก้มตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อวี้หลง นายรู้เรื่องของเสิ่นอวี้อิ๋งหรือเปล่า” หลินเซี่ยมองเขาและถามหยั่งเชิง “แม่เคยเล่าเรื่องเสิ่นอวี้อิ๋งให้นายฟังไหม”
หลินเซี่ยอยากรู้ว่าเสิ่นอวี้หลงรู้มากแค่ไหนกันแน่
เขารู้ไหมว่าทำไมเสิ่นอวี้อิ๋งถึงติดคุก
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ใบหน้าซีดเซียวผอมบางของเสิ่นอวี้หลงก็ดูหม่นหมองลงในทันที
“บอกแล้ว หล่อนจะวางยาพิษฆ่าผมใช่ไหม?”
เสิ่นอวี้หลงถามพลางขบกรามจนนูนเป็นสัน
ครั้นหลินเซี่ยรู้ว่าเซี่ยหลานได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังแล้ว เธอจึงมองเสิ่นอวี้หลง ด้วยสายตาเห็นใจและเจ็บปวด
เสิ่นอวี้หลงรู้ว่าพี่สาวแท้ ๆ ของเขาจะวางยาพิษฆ่าเขา ในใจของเขาคงรู้สึกสับสนและเจ็บปวดมาก
เธอจับมือเสิ่นอวี้หลง พูดปลอบใจเขาอย่างจริงใจ “อวี้หลง มันผ่านไปแล้ว หล่อนได้จ่ายค่าตอบแทนสำหรับการกระทำของตัวเองแล้ว”
“พี่ แล้วพี่ละเกลียดพ่อไหม”
เมื่อสบตากับเสิ่นอวี้หลง หลินเซี่ยก็ยิ้มอย่างขมขื่น
เธอจะไม่เกลียดได้อย่างไร
อีกอย่าง ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อของเธอมานานแล้ว
“งั้นต่อไปพี่จะถือว่าผมกับแม่เป็นญาติของพี่ตลอดไปได้ไหม”
เสิ่นอวี้หลงมองเธอ ถามด้วยสีหน้าตึงเครียด
เธอมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เธอจะทิ้งพวกเขาหรือเปล่า
หลินเซี่ยหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกคุณยอมรับฉัน พวกคุณก็คือญาติของฉัน รวมถึงคุณปู่กับคุณน้าด้วย นายไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อฉันดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแค่ไหน”
เสิ่นอวี้หลงนึกถึงท่าทีของทุกคนที่มีต่อหลินเซี่ยในอดีต และรู้สึกเจ็บปวดในใจเล็กน้อย
เขาจงใจส่งเสียงฮึดฮัดเย็นชา โต้แย้งว่า “ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะพี่ไม่ทะเยอทะยานเอง ใครใช้ให้พี่ไม่ตั้งใจเรียนล่ะ เรียนตัดผมก็ยังตัดผมไม่เป็น แถมยังคบกับผู้ชายเลว ใครจะมีท่าทีที่ดีกับพี่ได้ล่ะ”
หลินเซี่ยหัวเราะ ไม่สามารถโต้แย้งเขาได้ “ใช่ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ตอนนี้นายเห็นแล้วนี่ว่าฉันพัฒนาตัวเองขึ้นอย่างไรบ้าง แถมยังหาพี่เขยที่เก่งกาจมาให้นายได้อีก ต่อไปห้ามดูถูกฉันอีกล่ะ”
“พี่ต่างหากที่ต่อไปอย่ามาดูถูกผม” เสิ่นอวี้หลงมีสีหน้าหม่นหมอง ขาดความมั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้แน่นอน” หลินเซี่ยมองเขา พูดอย่างจริงจัง “อวี้หลง การที่นายฟื้นขึ้นมาได้หลังจากหลับไปนานกว่าหนึ่งปีเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งมากนะถึงจะทำได้ ในใจพวกเรา นายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด หมอแผนจีนเย่ก็บอกแล้วว่าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา ที่คนไข้อาการโคม่าเหมือนนายหลายคนสู้ต่อไปไม่ได้ก็เป็นเพราะพวกเขาขาดพลังใจที่เข้มแข็งพอ”
พอเสิ่นอวี้หลงได้รับคำชมจากหลินเซี่ย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ
“เป็นเพราะการรักษาของคุณปู่เย่กับคุณหมอเย่มีส่วนช่วยได้มาก รวมถึงความห่วงใยและการดูแลจากทุกคนต่างหาก ผมฟื้นขึ้นมาได้ก็เป็นเพราะผลงานของทุกคน”
หลินเซี่ยมองเด็กหนุ่มที่กลายเป็นคนสุขุมและรู้จักคิดอ่านแล้วรู้สึกปลื้มใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
ถ้าเสิ่นอวี้หลงกลายเป็นคนเลวอีก ตระกูลเสิ่นก็จะสูญสิ้นกันทั้งตระกูลแน่
ยังดีที่เขาผ่านเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้มาได้ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เลยทีเดียว
จริงๆ แล้วเซี่ยหลานที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวได้ยินเสียงของสองพี่น้องในห้องนั่งเล่นอย่างชัดเจน เพียงแต่หล่อนไม่ได้ออกไป แต่ทำงานไปด้วยและฟังบทสนทนาของพวกเขาไปด้วย
ยิ่งฟัง น้ำตาของหล่อนก็ยิ่งคลอเบ้า
ลูก ๆ ทั้งสองของหล่อนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เซี่ยหลานพบว่าตัวเองไม่เคยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับลูก ๆ เลย
หล่อนกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา คิดว่าเสิ่นอวี้หลงไม่สามารถรับมือกับอะไรได้ จึงไม่กล้าบอกอะไรเขา
และยังโกหกเขามาตลอด
ในที่สุดเสิ่นอวี้หลงก็เปิดเผยความจริงด้วยตัวเอง
ลูก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นายโตขึ้นมากเลยอวี้หลง คนเรามันต้องเผชิญวิกฤตชีวิตบางอย่างถึงจะเรียนรู้สัจธรรมได้จริงๆ นั่นแหละ
ไหหม่า(海馬)