ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 733 ให้เขาได้ดูสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ตอนที่ 733 ให้เขาได้ดูสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ต้องยอมรับว่านี่เป็นปฏิกิริยาแรกของหลายคนที่รู้เรื่องราวของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ทุกคนมักจะเข้าใจเองว่าเสิ่นอวี้อิ๋งต้องเคยทนทุกข์ในชนบท หล่อนจึงไม่พอใจและกลายเป็นแบบนี้
แต่ความจริงคือครอบครัวหลินไม่เคยเอาเปรียบหล่อน
ถึงแม้ครอบครัวจะไม่ร่ำรวย แต่หลินต้าฝูก็แทบจะทุ่มเททุกอย่างให้เสิ่นอวี้อิ๋ง
เขาทั้งแบกหล่อนไปรักษาโรคและช่วยชีวิตหล่อนไว้ เสิ่นอวี้อิ๋งยิ่งไม่ควรลืมบุญคุณและตอบแทนคุณด้วยการทำร้าย
หลินเซี่ยได้ยินคำถามของเสิ่นอวี้หลง จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอดีตอนนั้นเซี่ยหลาน ถือจานอาหารเดินออกมาจากครัว เธอมองไปที่เซี่ยหลาน แล้วพูดว่า “แม่คะ คุณช่วยเอาสมุดบันทึกของเสิ่นอวี้อิ๋งให้อวี้หลงดูหน่อยนะคะ ให้เขาได้รู้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋ง เป็นคนแบบไหนกันแน่ การที่เราแค่เล่าให้เขาฟังอย่างเดียว เขาไม่มีทางเข้าใจความจริงได้อย่างถ่องแท้หรอกค่ะ”
คนเรามักจะเป็นแบบนี้ มักจะมีแว่นกรองให้คนในครอบครัวเสมอ เมื่อเกิดปัญหาก็จะหาสาเหตุจากภายนอกโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็โยนความผิดให้คนอื่นเพื่อแก้ตัวให้คนคนนั้น
เสิ่นอวี้หลงไม่เคยติดต่อกับเสิ่นอวี้อิ๋ง จึงไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับใครหลายคน
เขาคิดว่าที่เสิ่นอวี้อิ๋งกลายเป็นคนใจดำแบบนั้นก็เพราะเหตุผลบางอย่าง
หล่อนต้องใช้ชีวิตอย่างไม่สมหวังตั้งแต่เด็ก ถูกรังแกทารุณจนเกิดความเกลียดชัง
หลินเซี่ยจึงหวังว่าเสิ่นอวี้หลงจะได้เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเสิ่นอวี้อิ๋งในตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ผ่านทางสมุดบันทึกของหล่อน
เมื่อเขาเข้าใจและตัดสินนิสัยของคนคนนั้นได้แล้ว เขาถึงจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูด
เซี่ยหลานวางจานลงบนโต๊ะ พอได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย สีหน้าก็ฉายความลำบากใจ
หล่อนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อเลย
ลูกชายของหล่อนรู้เรื่องราวของหลินเซี่ยก็พอแล้ว หล่อนไม่อยากให้เสิ่นอวี้หลงรู้ลึกในเรื่องน่าปวดหัวอื่น ๆ ไปมากกว่านี้
ยิ่งรู้เยอะ เสิ่นอวี้หลงยิ่งรู้สึกแย่
เมื่อเห็นสีหน้าลังเลใจของเซี่ยหลาน หลินเซี่ยจึงพูดขึ้นว่า “แม่ อย่ากังวลเลยค่ะ อวี้หลงเป็นลูกผู้ชายมากพอ เขาเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับโรคร้าย และอาศัยจิตใจอันแข็งแกร่งของตัวเองตื่นขึ้นมาได้ เขาเป็นคนที่เก่งมาก เรื่องแค่นี้เขาคงรับไหว ต่อไปนี้พวกเราต้องคอยบอกอวี้หลงทุกเรื่อง เพราะหลังจากนี้เขาจะเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว”
หากไม่คลายความสงสัยและขจัดความกังวลทั้งหมดออกไปจากใจของเสิ่นอวี้หลง เกิดวันหนึ่งเสิ่นอวี้หลงถูกผู้เฒ่าเสิ่นและพวกหลอกลวง อาจจะทำให้เขาหลงผิดได้อีก
หลินเซี่ยไม่ต้องการให้เสิ่นอวี้หลงกลายเป็นคนเลว
“พี่สาวพูดถูกนะ ต่อไปนี้ไม่ต้องปิดบังอะไรจากผมแล้ว และก็อย่ามองว่าผมเป็นเด็กอีก”
เสิ่นอวี้หลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ ผมรู้ว่าที่ผ่านมาแม่แบกรับความกดดันมากมายเอาไว้ในใจ แม่ต้องลำบากใจมากแน่ๆ หลังจากนี้ผมจะอยู่ดูแลแม่เองนะ ต่อไปนี้มีอะไรก็อย่าปิดบังผมอีก”
เมื่อเสิ่นอวี้หลงได้รับรู้ความจริงทั้งหมดว่าพ่อของเขากินแหนงแคลงใจแม่ว่าไม่ได้ตั้งท้องลูกของเขาและแอบสลับตัวเด็ก เขาก็รู้สึกช็อกและโกรธมาก พ่อของเขาดูเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่ทำไมจิตใจถึงได้มืดมนเช่นนี้
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าความสงสัยของเขาไม่มีมูลความจริง สุดท้ายก็จบลงด้วยการทำร้ายตนเองและผู้อื่น
เมื่อพ่อแม่ที่แท้จริงได้รู้ความจริงว่าลูกของตนถูกสับเปลี่ยนตัว พวกเขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจขนาดไหน
เช้าวันนี้ เสิ่นอวี้หลงแวะไปที่ร้านชามข้าวเหล็ก ซึ่งเขาได้เห็นหลิวกุ้ยอิงและสังเกตเซี่ยเหลยจากที่ไกลๆ
เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขาเป็นคนขยันและซื่อสัตย์มาก
ความผิดพลาดในอดีตของพ่อเขาได้ทำร้ายครอบครัวพวกเขามากแค่ไหน
เสิ่นอวี้หลงอยากรู้ว่าพี่สาวแท้ๆ ของเขาเป็นคนอย่างไร ทำไมถึงได้ใจร้ายเช่นนี้
“ลูกชายฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” เซี่ยหลานมองลูกชายที่แข็งแรงกระฉับกระเฉง พร้อมฟังคำพูดอันแสนเด็ดเดี่ยวและรับผิดชอบจากเขาอย่างซาบซึ้งใจ จนอดน้ำตาไหลไม่ได้ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินข้าวกันดีกว่า”
“เซี่ยเซี่ย ฉันต้มของเธอนานกว่าหน่อยนะ” เซี่ยหลานพูด “เธอต้องกินของอ่อนๆ หน่อย ไม่งั้นไม่ดีต่อกระเพาะ”
“ได้ค่ะ”
เซี่ยหลานไม่ให้หลินเซี่ยใส่พริกด้วย ให้เธอกินอาหารรสจืด
เฉินเจียเหอช่วยเซี่ยหลานยกอาหารมาวางบนโต๊ะ ทุกคนนั่งลงกินข้าวด้วยกัน
“แม่ครับ โรงเรียนอนุบาลใกล้จะปิดเทอมแล้ว ต่อไปผมก็จะได้อยู่บ้านแล้วใช่ไหมครับ”
หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ต่อไปก็อยู่บ้านสิลูก จะได้เรียนประถมที่โรงเรียนตรงข้ามบ้านเรา ใกล้และสะดวกมาก”
หู่จือพูดอย่างภูมิใจ “งั้นต่อไปผมก็ไม่ต้องให้แม่กับพ่อมารับส่งแล้ว ผมไปโรงเรียนเองได้”
“อย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจอคนร้ายจะทำยังไง”
“โอ้ ใช่ คนร้าย”
หู่จือหันไปพูดกับเสิ่นอวี้หลงด้วยสีหน้าจริงจัง “น้าเล็กรู้ไหม ปีที่แล้วผมเคยถูกลักพาตัวด้วย”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหู่จือ เสิ่นอวี้หลงก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เขาตอบอย่างไม่สบายใจ “จริงเหรอ”
หู่จือวางตะเกียบและเล่าประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นให้เสิ่นอวี้หลงฟังต่อ “คนร้ายคนนั้นสวมถุงดำคลุมหัวผม แล้วก็ทำให้ผมสลบ พวกเขาขายผมไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต้องการให้ผมไปเป็นลูกของคนอื่น พ่อ อาจวิ้นเฟิง และตารองของผมเป็นคนช่วยผมกลับมา”
“อาจวิ้นเฟิงของผมเป็นตำรวจ เขาดูน่าเกรงขามมากเลย”
หู่จือเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นตั้งแต่ตอนที่เขาถูกลักพาตัวไปขายที่ชนบทให้เสิ่นอวี้หลงฟังอย่างออกรส
แต่เสิ่นอวี้หลงกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เพราะเขารู้ว่าหู่จือถูกลักพาตัวไปโดยการสมคบคิดกันของพี่สาวแท้ ๆ กับเสิ่นเสี่ยวเหมย
ถึงเขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้น และต่อให้ได้เจอกันในอนาคต เขาก็คงไม่ยอมรับหล่อนเป็นพี่สาว
แต่อีกแง่หนึ่งหล่อนก็ถือเป็นพี่สาวร่วมท้องเดียวกันอยู่ดี ยิ่งหู่จือเล่าเรื่องราวอันน่าหวาดเสียว เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
หากหู่จือโตขึ้นอีกหน่อย แล้วรู้ว่าเสิ่นอวี้หลงไม่ใช่น้าแท้ ๆ ของเขา และเสิ่นอวี้หลงกับคนร้ายที่เคยลักพาตัวเขาไปอย่างเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นพี่น้องกัน เด็กคนนี้จะยังคงเรียกเขาว่าน้าเล็กได้อย่างสนิทสนมเหมือนตอนนี้อีกหรือเปล่านะ
หลินเซี่ยคีบผักใส่ชามให้หู่จือที่กำลังพูดไม่หยุดปาก “อย่าพูดมากสิ รีบกินข้าวเถอะ”
“ครับ” หู่จือหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง หันไปบอกเสิ่นอวี้หลงว่า “น้าเล็ก พอผมปิดเทอมแล้วน้าต้องมานะ ผมจะเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นพวกนั้นให้ฟังอย่างละเอียด ผมกล้าหาญมากเลยนะ”
“ได้สิ”
เซี่ยหลานเห็นหู่จือกับเสิ่นอวี้หลงสนิทสนมกันถึงขนาดอยากจะมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเสิ่นอวี้หลง หล่อนจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า “หู่จือ พอปิดเทอมแล้วไปอยู่เป็นเพื่อนน้าเล็กของหนูสิ”
หู่จือได้ยินดังนั้นก็มองไปที่เสิ่นอวี้หลงด้วยความดีใจ ถามว่า “น้าเล็ก คุณจับกระต่ายเป็นไหม?”
เสิ่นอวี้หลงส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็น
หู่จือถามต่อ “แล้วคุณมีหนังสติ๊กยิงนกไหม?”
เสิ่นอวี้หลงก็ยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม
พอหู่จือเห็นว่าเสิ่นอวี้หลงไม่มีความสามารถอะไรเลย เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงหาข้ออ้างอย่างอ้อมค้อมว่า “คุณยาย ผมคงไม่มีเวลาแล้วล่ะครับ ช่วงปิดเทอมผมอยากกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าน่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในบันทึกของยัยอวี้อิ๋งฉาวยิ่งกว่านี้อีกล่ะจะบอกให้ ไม่เห็นเค้าลางของการกลับตัวกลับใจเลย
ไหหม่า(海馬)