ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 734 เอ้อร์เลิ่งเรียนแพทย์
ตอนที่ 734 เอ้อร์เลิ่งเรียนแพทย์
“พ่อครับ ช่วงปิดเทอมผมกลับชนบทได้ไหมครับ ผมคิดถึงคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดมากเลย” หู่จือถามเฉินเจียเหอ
เขาไม่เพียงแต่คิดถึงคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวด แต่ยังอยากวิ่งเล่นในทุ่งนา จับจิ้งหรีด เก็บสตรอว์เบอร์รี่ป่า และย่างหนูนากับไก่ป่ากับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน
ความสุขเหล่านั้นมีเฉพาะในหมู่บ้านชนบทเท่านั้น
“ได้สิ ให้ลุงเอ้อร์เลิ่งพากลับไปก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอ หลินเซี่ยก็ถามว่า “เอ้อร์เลิ่งจะกลับบ้านหรือคะ”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “อืม เขาอยากกลับบ้านมานานแล้ว แต่คุณปู่เย่ติดธุระตลอดเลยไปไม่ได้ อีกสักพักค่อยให้เขากลับไปสักหน่อย”
“งั้นคุณต้องไปส่งพวกเขาด้วยนะ ให้เอ้อร์เลิ่งพาหู่จือกลับไปคนเดียวฉันไม่สบายใจ”
เฉินเจียเหอตอบว่า “ผมโทรไปชวนน้าให้เขามาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของลูกแล้ว เหลือแค่ดูว่าเขาจะมาได้ไหม ถ้ามาได้ก็จะฝากหู่จือกับเอ้อร์เลิ่งไปกับเขาเลย”
เฉินเจียเหอก็บอกว่าจะซื้อตั๋วให้
แต่ช่วงนั้นคุณปู่เย่อยากให้เอ้อร์เลิ่งตั้งใจเรียนในช่วงที่คนไข้ไม่ค่อยมี
หมอแผนจีนเย่ก็ตั้งใจจะฝึกฝนสอนวิชาแพทย์ให้เอ้อร์เลิ่งอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสเรียนรู้แบบนี้ เขาก็เลยให้ความสำคัญมาก ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง และพับความคิดที่จะกลับบ้านไว้
ช่วงนี้ฝั่งหมอแผนจีนเย่ได้หาคนงานก่อสร้างมาแล้ว ตั้งใจว่าจะรื้อลานบ้านทั้งหมดแล้วสร้างใหม่ในเดือนกรกฎาคม
ระหว่างการก่อสร้างจะไม่รับคนไข้ ชายชราจึงบอกว่าถึงตอนนั้นจะให้เอ้อร์เลิ่งกลับบ้านได้
ปัจจุบันเอ้อร์เลิ่งทุ่มเทให้กับการเรียนแพทย์อย่างเต็มที่ เขามีสมองเฉียบแหลมและมีความกระตือรือร้นอยู่แล้ว จึงอ่านตำราแพทย์ที่หมอแผนจีนเย่ให้อย่างตั้งใจ และมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรจีนต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
หมอแผนจีนเย่ยังบอกด้วยว่าเอ้อร์เลิ่งเรียนอย่างขยันขันแข็งยิ่งกว่าเย่ไป๋เสียอีก
เย่ไป๋ยังคงทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนเรื่องวิชาแพทย์แผนจีนนั้นถูกหมอแผนจีนเย่บังคับให้เรียนโดยไม่สมัครใจนัก
ยิ่งช่วงนี้ต้องไปเข้าร่วมการประชุมวิชาการที่ปักกิ่ง ทำให้ไม่มีเวลาเรียนการแพทย์แผนจีนกับหมอแผนจีนเย่เลย
หมอแผนจีนเย่ไม่ใช่คนหัวโบราณ ประกอบกับเขาเองก็ไม่มีลูกหลาน และไม่ได้คิดว่าวิชาแพทย์จำเป็นต้องสืบทอดให้คนในตระกูลเท่านั้น ตราบใดที่ลูกศิษย์มีพรสวรรค์และสติปัญญา เขาก็ยินดีถ่ายทอดวิชาให้อย่างเต็มที่
เฉินเจียเหอคอยให้กำลังใจเอ้อร์เลิ่งอยู่เสมอว่าให้เขาตั้งใจเรียน ถึงไม่สามารถเทียบชั้นหมอแผนจีนเย่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็จะมีวิชาแพทย์ติดตัว ต่อให้กลับบ้านเกิดในอนาคตก็คงไม่อดตาย
เมื่อได้ยินว่าปู่กับย่าจะมา หู่จือก็ดีใจมาก
ส่วนเสิ่นอวี้หลงพูดขึ้น “พี่เขย งั้นวันหลังผมจะไปเยี่ยมพี่เอ้อร์เลิ่งนะครับ”
“ได้สิ แล้วก็ให้หมอแผนจีนเย่ตรวจร่างกายนายอีกรอบด้วย”
หลินเซี่ยก็พูดว่า “ใช่ ต้องคอยติดตามอาการเป็นประจำนะ”
หลังได้ยินคำปลอบโยนจากหลินเซี่ย ในใจของเสิ่นอวี้หลงก็หมดกังวล พี่สาวของเขายังคงรักและเอ็นดูเขาเหมือนเดิม ไม่ได้ห่างเหินเพราะพวกเขาไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ
เฉินเจียเหอพี่เขยของเขาก็ให้ความเอ็นดูและเป็นห่วงเขามาก
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจที่ได้ยินว่าพวกเขาเป็นห่วงเขา
หลังจากกลับบ้านกับเซี่ยหลานแล้ว ในตอนกลางคืน เสิ่นอวี้หลงก็หยิบหนังสือขึ้นมาทบทวนอย่างตั้งใจ
เขาให้เซี่ยหลานจัดการเรื่องกลับไปเรียนต่อให้เขา
เซี่ยหลานเห็นลูกชายเหมือนโตขึ้นในชั่วข้ามคืน แล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ
หล่อนรู้อยู่แล้วว่าเสิ่นอวี้หลงจะมีปฏิกิริยาแบบนี้เมื่อรู้ความจริง หล่อนควรจะบอกไปตั้งนานแล้ว จะได้ไม่ต้องทรมานใจนานขนาดนี้
สองวันก่อนงานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของลูกเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ย โจวเจี้ยนกั๋วน้าของเฉินเจียเหอและหวังอวี้เสียผู้เป็นน้าสะใภ้ได้มาที่เมืองไห่เฉิง
เฉินเจียเหอติดธุระไม่ว่างไปรับ หลินจินซานที่รู้เรื่องก็อาสาไปรับที่สถานีรถไฟ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ต่อให้ไม่ใช่ญาติ แต่ก็เป็นคนบ้านเดียวกันมา เขาจึงตื่นเต้นยิ่งกว่าใครเพื่อน
เฉินเจียเหอให้หลินจินซานพาพวกเขาไปที่บ้านเลย
หลินจินซานส่งพวกเขาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ก่อนจะไปก็บอกให้เฉินเจียเหอไม่ต้องทำอาหาร แม่ของเขาบอกกับลุงเซี่ยแล้วว่าจะให้เขาส่งอาหารจากร้านอาหารมาให้ตอนบ่าย
โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียถือของมากองใหญ่ พอหวังอวี้เสียเข้าประตูมาได้ก็ร้องเรียกหลินเซี่ยอย่างร้อนรน
“เซี่ยเซี่ย หลานชายอยู่ไหนจ๊ะ”
“น้าสะใภ้ ดูสิว่ากระทั่งน้าสะใภ้ก็ยังห่วงแต่หลานชาย ไม่มีใครสนใจฉันเลย”
หลินเซี่ยสบสายตาหวังอวี้เสียที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ไม่ใช่ว่าพวกน้าสะใภ้ผ่านช่วงนั้นมาแล้วเหรอ เร็วเข้า มาดูหลานหน่อย ขี้เหร่ไหม”
หลินเซี่ยยื่นเด็กให้หวังอวี้เสียอุ้ม
“ไม่เห็นขี้เหร่เลย น่ารักออกขนาดนี้”
เด็กน้อยเติบโตได้หนึ่งเดือนแล้ว หน้าตาก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เนื่องจากพ่อแม่มีหน้าตาดีอยู่แล้ว ลูกก็เลยหล่อเหลาไปด้วย
โครงหน้าได้สัดส่วน ผมดกดำ ดวงตากลมโตเป็นประกาย ดูน่ารักมาก
“เด็กคนนี้พอโตขึ้นแล้วต้องเป็นคนมีอนาคตแน่ ๆ”
หลินเซี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้าสะใภ้ก็ช่างยอจริงๆ ค่ะ”
หวังอวี้เสียอุ้มเด็กและเล่นกับเขา พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ไม่ใช่ว่าฉันยอเก่งหรอก ยังไงพ่อเสือก็ไม่มีวันมีลูกเป็นหมา ยิ่งเธอกับเจียเหออยู่ในระดับเยี่ยมยอดขนาดนี้ เธอดูสิ ดวงตาของเด็กคนนี้เป็นประกายแจ่มใสแค่ไหน แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าต้องเป็นเด็กฉลาดมากแน่ ๆ”
ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือไม่ก็ตาม แต่พอได้ยินคำพูดของหวังอวี้เสีย หลินเซี่ยก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ เวลาเห็นพ่อแม่บางคนภูมิใจและหยิ่งผยองเมื่อมีคนชมลูกของตัวเอง หลินเซี่ยมักจะคิดว่าพวกเขามีความทะนงตัวมากเกินไป
แต่ตอนนี้เธอเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการเป็นแม่อย่างแท้จริง
ในฐานะแม่ก็มักจะมองลูกผ่านมุมมองของแม่ และอยากได้ยินคนอื่นชมลูกของตนมาก ๆ
โจวเจี้ยนกั๋วรอให้หวังอวี้เสียอุ้มเด็กสักพัก เขาเองก็อยากจะอุ้มบ้างเหมือนกัน
ส่วนเฉินเจียเหอโทรไปบอกแม่ที่บ้านว่าน้ากับน้าสะใภ้มาเมืองไห่เฉิงแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงกำลังทำงานอยู่ ส่วนโจวลี่หรงตอนนี้ว่างอยู่พอดี พอรับโทรศัพท์จากเฉินเจียเหอก็รีบมาทันที
น้องชายกับน้องสะใภ้มาเมืองไห่เฉิง แต่ไม่ได้บอกหล่อนก่อนเลย จนกระทั่งพวกเขามาถึงแล้วหล่อนถึงได้รู้
พวกเขามาเมืองไห่เฉิงแต่ไม่ได้ไปบ้านหล่อนก่อน กลับมาหาลูกชายตัวเองแทน
เมื่อโจวลี่หรงเดินมาถึงหน้าประตู หล่อนก็ได้ยินเสียงหลินเซี่ยคุยกับหวังอวี้เสีย อย่างร่าเริงออกรสชาติ
พวกเธอคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้ แต่หัวเราะเสียงดังลั่น
โจวลี่หรงได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเธอแล้วรู้สึกแสบแก้วหู
หลินเซี่ยไม่เคยหัวเราะอย่างมีความสุขจากใจจริงต่อหน้าเลยหล่อนเลย
บางครั้งหล่อนอยากคุยกับอีกฝ่ายเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่หลินเซี่ยก็ยังคงสุภาพกับหล่อนเสมอ
จะพูดกับหล่อนก็ต่อเมื่อมีเรื่องจำเป็นต้องพูดเท่านั้น ปกติแทบไม่มีอะไรให้คุยกันเลย
ก่อนที่หลินเซี่ยจะอยู่เดือน ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ของพวกเธอเรียกได้ว่าเคารพซึ่งกันและกัน
แต่หลังจากที่เกิดความขัดแย้งกันช่วงระหว่างอยู่เดือน ความเคารพต่อกันก็หมดไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ก็ต้องมาดูตัวเองน่ะค่ะคุณแม่ว่าทำไมสะใภ้และคนอื่นๆ พยายามรักษาระยะห่างกันขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)