ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 735 ความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ที่ดูกลมเกลียวแต่เปลือกนอก
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 735 ความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ที่ดูกลมเกลียวแต่เปลือกนอก
ตอนที่ 735 ความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ที่ดูกลมเกลียวแต่เปลือกนอก
หลังจากเกษียณ โจวลี่หรงก็ช่วยดูแลหลินเซี่ยและบรรดาคนชราในช่วงแรก จากนั้นก็ช่วยดูแลหลาน ทั้งวันวุ่นวายอยู่กับงาน จนไม่รู้สึกว่าชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่ตอนนี้ลูกชายไม่ต้องการหล่อนอีกต่อไป ทุกวันหล่อนจึงอยู่แต่ในบ้าน งานเดียวที่ทำคือการเข้าครัวทำอาหารวันละสามมื้อ
จู่ ๆ หล่อนก็รู้สึกโดดเดี่ยวและไม่รู้จะทำอะไรดี
“แม่ เข้ามาสิครับ” เฉินเจียเหอเอ่ย
โจวลี่หรงตอบรับแล้วเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นโจวเจี้ยนกั๋วอุ้มเด็ก สิ่งแรกที่หล่อนคิดจะทำก็คือถามเขาว่าล้างมือหรือยัง
แต่พอมองเห็นหลินเซี่ย หล่อนก็ตัดสินใจไม่เอ่ยคำถามนี้
“พี่สาว มาแล้วเหรอครับ” โจวเจี้ยนกั๋วเห็นพี่สาวแล้วก็ดีใจมาก ยิ้มพลางพูดว่า “ทำไมไม่อยู่บ้านฝั่งนี้ล่ะ ลูกสะใภ้กำลังอยู่เดือน ทำไมไม่มาดูแล”
ใบหน้าของโจวลี่หรงดูเคร่งเครียด ไม่พูดอะไร
เธอยิ้มแล้วอธิบายว่า “ฉันให้แม่กลับไปพักผ่อนน่ะค่ะ ตอนนี้ร่างกายฉันฟื้นตัวดีจนฉันดูแลลูกได้เองแล้ว”
“พี่สาว นั่งสิคะ” หวังอวี้เสียลุกให้โจวลี่หรงนั่ง
โจวลี่หรงถามพวกเขาว่า “พวกเธอมาถึงกี่โมง ทำไมไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ฉันจะได้ไปรับที่สถานี”
โจวเจี้ยนกั๋วตอบว่า “ไม่ต้องให้พี่ไปรับหรอก มีคนจัดการเรียบร้อยแล้ว จินซานเป็นคนขับรถไปรับพวกเรา”
“จินซานขับรถเก๋งเป็นแล้วเหรอ เด็กคนนี้เก่งจริง ๆ ” วันนี้โจวเจี้ยนกั๋วเห็นหลินจินซาน แล้วก็รู้สึกดีใจกับเขาจากใจจริง และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
ที่เขาว่าคนย้ายที่อยู่ ชีวิตก็เปลี่ยน ประโยคนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
หลังหลินจินซานออกมาจากชนบทได้ เขาก็ดูเปลี่ยนแปลงราวกับเป็นคนละคน
“เซี่ยเซี่ย ระหว่างทางจินซานบอกกับพวกเราว่าเขาแต่งงานแล้วเหรอ?” หวังอวี้เสียถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินเซี่ยหัวเราะ “ใช่ค่ะ กับชุนฟางที่ทำงานในร้านเสริมสวยของฉันนี่แหละค่ะ”
“ชุนฟางเป็นคนซื่อสัตย์และขยัน หล่อนเป็นผู้บริหารร้านใหม่ บางครั้งก็มาช่วยงานที่ร้านเก่า หล่อนเก่งมากเลยค่ะ”
โจวเจี้ยนกั๋วไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาพูด เอ่ยค้านขึ้น “ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องพึ่งความพยายามของตัวเขาด้วย มีแค่โชคคงไม่พอหรอก”
โจวเจี้ยนกั๋วมองหลินเซี่ยพลางถอนหายใจ “เห็นแม่เธอกับหลินเยี่ยนตอนนี้มีชีวิตที่ดี พวกเราก็มีความสุข ถ้าพวกหล่อนยังอยู่ที่หมู่บ้าน ชีวิตก็คงจะย่ำแย่อยู่ แถมยังถูกใช้งานเหมือนทาส คิดแล้วก็สงสาร”
“ใช่ พวกหล่อนสองคนตอนนี้ใช้ชีวิตค่อนข้างดีทีเดียว เรียกได้ว่าฟ้าหลังฝนล่ะนะ”
โจวเจี้ยนกั๋วคุยกับพวกเขาสักพัก แล้วก็ถามว่า “อ้อ แล้วเอ้อร์เลิ่งล่ะมาด้วยไหม? เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? ตอนที่พวกเราเดินทางมานี่ พ่อแม่เขาก็ฝากของมาให้ด้วยนะ สองผู้เฒ่านั่นคิดถึงลูกจนแทบจะตรอมใจแย่แล้ว พอฉันบอกว่าเอ้อร์เลิ่งรักษาตัวหายดีแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แม่เอ้อร์เลิ่งถึงกับไปวุ่นวายที่บ้านตายายเรา กล่าวหาว่าที่เอ้อร์เลิ่งไม่กลับมานานขนาดนี้เป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างกับเขาระหว่างที่อยู่ข้างนอกแล้วทางเราปิดข่าวไว้ เราเห็นว่าอธิบายอะไรไปฝ่ายนั้นก็คงไม่ฟัง ดังนั้นให้เขากลับไปเถอะนะ”
“คุณน้า ฉันกำลังจะบอกคุณเรื่องนี้อยู่พอดีเลย ครั้งนี้พวกคุณก็พาเอ้อร์เลิ่งกลับไปด้วยสิคะ”
หู่จือยกมือขึ้นอย่างตื่นเต้น “ผมด้วย ผมด้วย”
“โอ้ หู่จืออยากกลับด้วยเหรอ”
หู่จือพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ผมคิดถึงปู่ทวดกับย่าทวด พ่อกับแม่อนุญาตให้ผมกลับไปในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้ว”
โจวเจี้ยนกั๋วได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ดีเลย งั้นตอนขากลับพวกเราจะพาเธอกลับบ้านไปด้วยกัน ถ้าปู่ทวดกับย่าทวดเห็นเธอไปเยี่ยม พวกเขาต้องมีความสุขแน่ๆ”
หล่อนอยากจะถามสารทุกข์สุกดิบของพ่อแม่ แต่ยังไม่ทันได้ถาม เฉินเจียเหอก็ถามไปก่อนแล้ว
โจวเจี้ยนกั๋วตอบว่าช่วงฤดูร้อนนี้คนสูงอายุมักจะเป็นลมแดดได้ง่าย จึงให้พวกเขาหลบแดดอยู่แต่ในหมู่บ้าน ไม่กล้าให้เดินทางไกล
โจวลี่หรงอยากคุยกับน้องชายของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร ดูเหมือนโจวเจี้ยนกั๋วจะจงใจเมินหล่อนไปอย่างไรอย่างนั้น
“พี่สาว ผมจำได้ว่าเหมือนพี่จะลาออกก่อนกำหนดใช่ไหม” ในที่สุดโจวเจี้ยนกั๋วก็หันความสนใจมาที่โจวลี่หรง เอ่ยถามหล่อน
โจวลี่หรงได้ยินดังนั้นก็ตอบรับ “อืม จัดการเรื่องลาออกมาหลายเดือนแล้ว”
ตอนที่จัดการเรื่องเสร็จก็ได้โทรบอกโจวเจี้ยนกั๋วไปแล้ว ตอนนั้นโจวเจี้ยนกั๋วยังพูดในโทรศัพท์อีกว่าในเมื่อหล่อนเกษียณแล้ว ก็ให้หล่อนกลับบ้านเกิดไปพักผ่อนอยู่เป็นเพื่อนผู้สูงอายุ
เพราะตอนนั้นต้องดูแลหลินเซี่ย หล่อนจึงไปไหนไม่ได้ เลยไม่ได้คิดเรื่องกลับบ้านเกิด
“พี่ลาออกก่อนกำหนดเพื่อมาดูแลเซี่ยเซี่ยกับลูกโดยเฉพาะเลยใช่ไหมคะเนี่ย” หวังอวี้เสียมองโจวลี่หรง แล้วชูนิ้วโป้งให้หล่อน “พี่สาว เรื่องนี้พี่ทำได้ดีมาก ฉันนับถือพี่จริง ๆ ที่ยอมทำถึงขั้นนี้เพื่อลูกสะใภ้กับหลานชาย พี่เก่งมากค่ะ”
ในฐานะคนในครอบครัว ไม่มีใครเข้าใจโจวลี่หรงได้ดีไปกว่านี้แล้ว
การที่คนบ้างานอย่างโจวลี่หรงที่ทำงานหนักมาหลายสิบปียอมลาออกก่อนเกษียณ ต้องเป็นเพราะหลานชายแน่นอน
บรรยากาศกระอักกระอ่วนสุดขีด
หลินเซี่ยรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก
ตอนที่โจวลี่หรงลาออกก่อนกำหนดนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะคำนึงถึงเธอที่ท้องโตแล้วไม่มีใครดูแล หล่อนในฐานะแม่สามีจึงตัดสินใจลาออกเพื่อรับผิดชอบดูแลให้ถึงที่สุด
โจวลี่หรงได้ทุ่มเททั้งกายใจให้กับเธอและลูก
ขณะเดียวกัน หลินเซี่ยก็รู้สึกลังเลและลำบากใจมาก
ถ้าเธอเข้าใจผู้อื่นมากกว่านี้ เธอก็คงต้องเลือกที่จะทำใจยอมรับความอึดอัดใจของตัวเอง
ต่อให้แม่สามีของเธอจะไม่ได้มีความสามารถมากนัก หรือเป็นแค่ผู้หญิงชนบทธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลย เธอก็ยังคงให้อภัยได้
แต่การที่โจวลี่หรงอาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขา มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
ถ้าเธอยังคงใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป เธออาจจะเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดก็ได้
ดังนั้นเพื่อสุขภาพจิตและร่างกายของตัวเอง หลินเซี่ยจึงไม่อยากจะฝืนใจ
เธอได้ใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สองแล้ว เธอจึงไม่อยากใช้ชีวิตที่อึดอัดแบบนั้นอีกต่อไป
ถ้าโจวลี่หรงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ้าง ทุกอย่างก็คงจะแตกต่างออกไป
โจวลี่หรงดูเหมือนจะรู้สึกอึดอัดใจกับคำชมของหวังอวี้เสีย ช่นกัน
หล่อนลุกขึ้นยืนและพูดว่า “พวกเธอนั่งคุยกันไปก่อนนะ ฉันจะไปทำอาหาร”
เฉินเจียเหอพูดขึ้น “แม่ครับ ไม่ต้องทำหรอกครับ พ่อตากับแม่ยายเขากำลังทำอาหารอยู่ที่ร้านอาหาร อีกสักครู่จินซานก็จะเอามาส่งแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวลี่หรงก็มีแววตาหม่นหมองลงเล็กน้อย พูดว่า “อ๋อ” แล้วก็ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความอึดอัดใจนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนหนอ อยู่ที่ตัวคุณแม่โจวแล้วล่ะค่ะว่าจะยอมลดอีโก้ตัวเองลงสักนิดเพื่อคนรอบตัวได้ไหม
ไหหม่า(海馬)