ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 738 ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายที่สุด
……….
ตอนที่ 738 ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายที่สุด
หลินเซี่ยพลันมีสีหน้าเหยเกเพราะคำพูดของหู่จือ
จางเหมยยังไม่ยอมแพ้ จงใจพาหู่จือไปส่องกระจกเปรียบเทียบหน้าตาของทั้งคู่ เพื่อกระตุ้นให้หู่จือสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขางั้นหรือ
หู่จือมองหลินเซี่ยแล้วถามว่า “แม่ครับ ทำไมป้าจางเหมยต้องมาที่บ้านเราทุกเดือนด้วยล่ะครับ แถมยังซื้อของกินมาให้ผม แล้วก็ชวนผมออกไปเที่ยวด้วย”
น้ำเสียงของหู่จือฟังดูสงสัยปนรำคาญ
ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากเจอจางเหมยเท่าใด
“หู่จือ ลูกไม่อยากให้ป้าจางเหมยมาหาเหรอ?” หลินเซี่ยสบตาใสซื่อของหู่จือ ค่อย ๆ ถามอย่างระมัดระวัง
หู่จือตอบพึมพำ “ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เขามาหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากให้เขาพาผมออกไปข้างนอกตามลำพัง ผมกลัวว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี”
หลังจากที่หู่จือถูกลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง เขาก็มีแผลใจ ต่อต้านคนแปลกหน้าที่เข้าหาตนมาก
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจางเหมยถึงอยากพาเขาออกไป แล้วทำไมคุณตารองถึงได้อนุญาต
“แล้วลูกชอบอยู่กับหล่อนไหมล่ะ คิดว่าหล่อนเป็นคนยังไงบ้าง” หลินเซี่ยวางเสี่ยวหู่ลง แล้วดึงหู่จือเข้ามากอด พยายามพูดคุยทำความเข้าใจต่อความรู้สึกที่แท้จริงในใจของลูก
หู่จือย่นจมูกส่ายหน้า “ผมไม่ชอบครับ”
“หล่อนเอาแต่จ้องผมตลอดจนผมรู้สึกกลัวนิดหน่อย ตอนที่กินข้าวกับผมหล่อนยังแอบร้องไห้อีก ผมไม่ชอบคนที่เอาแต่ร้องไห้เลย”
หู่จือเงยหน้ามองหลินเซี่ย ขอความเห็นจากเธอ
“แม่ครับ ต่อไปนี้แม่กับพ่ออย่าให้ป้าจางเหมยพาผมออกไปข้างนอกอีกเลยนะครับ ผมรู้สึกกลัวจริง ๆ”
เมื่อเข้าใจความคิดของหู่จือแล้ว หลินเซี่ยลูบหัวเขาพลางตอบรับ “ได้จ้ะ แม่จะบอกพ่อเอง”
ตอนนี้เฉินเจียเหอเสร็จธุระเดินเข้ามาพอดี
เฉินเจียเหอได้ยินหลินเซี่ยพูดถึงจางเหมย คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย
เขาเดินเข้ามานั่งลงข้างเตียง มองไปที่หู่จือ “ทำไมถึงไม่อยากออกไปกับป้าจางเหมยล่ะ”
หู่จือยื่นปาก “ออกไปเที่ยวกับหล่อนไม่สนุกเลยสักนิด แถมผมก็ไม่ค่อยสนิทกับหล่อนด้วย”
อีกอย่างหล่อนก็เป็นคนที่จู่ๆ ก็โผล่มา เขาไม่เคยได้ยินพ่อแม่พูดถึงเพื่อนคนนี้มาก่อนเลย
พ่อแม่ของเขามีเพื่อนเยอะแยะ คนที่มาเยี่ยมบ้านก็มีมากมาย มีแต่คนนี้ที่ดูแปลก ๆ ให้ความรู้สึกไม่สบายใจ
หู่จือมองเฉินเจียเหอ ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสงสัย “พ่อครับ แล้วครอบครัวของป้าจางเหมยล่ะ ทำไมหล่อนถึงมาหาผมบ่อย ๆ ผมหน้าตาเหมือนลูกของหล่อนหรือเปล่า”
หู่จือนับว่าเป็นเด็กฉลาด หลังใกล้ชิดกับจางเหมยสองสามครั้ง เขาก็เริ่มสงสัยบางอย่างจากคำพูดของหล่อนแล้ว
เฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็สบตากัน หัวใจของทั้งคู่เต้นตึกตักขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เฉินเจียเหอสบตากับหู่จือ สีหน้าดูอับจนเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตามน้ำไปกับคำพูดของหู่จือ
“ลูกของหล่อนหายไป หล่อนอาจจะเห็นลูกแล้วรู้สึกเหมือนเห็นลูกของตัวเอง เลยอยากแสดงความรักที่มีต่อลูกของหล่อนให้ลูกแทน”
“หา ลูกหายเหรอ?” หู่จือได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที รู้สึกสงสารจางเหมยขึ้นมา “ป้าจางเหมยน่าสงสารจัง แล้วหล่อนแจ้งตำรวจหรือยัง ให้อาจวิ้นเฟิงช่วยหาลูกสิ อาจวิ้นเฟิงเก่งออกขนาดนั้น ต้องหาเจอแน่ ๆ”
เฉินเจียเหอลูบจมูกแล้วอธิบายว่า “แจ้งตำรวจแล้วล่ะ ลูกไม่ต้องกังวลแล้ว”
“งั้นตอนที่หล่อนมาหาผมที่บ้านครั้งหน้า ผมจะปฏิบัติต่อหล่อนให้ดีขึ้นนะ หล่อนดูน่าสงสารจริง ๆ”
หู่จือเป็นเด็กที่ใจดีมาก เมื่อได้ยินเรื่องราวของจางเหมยแล้วก็รู้สึกเห็นใจหล่อนมาก
และเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่ป้าจางเหมยมาพบเขา หล่อนถึงได้ร้องไห้ตลอดเวลา
เป็นเพราะหล่อนคิดถึงลูกของตัวเองนี่เอง
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาดูจริงจังขึ้น สัญญาว่าครั้งหน้าจะต้องปฏิบัติต่อจางเหมยให้ดีขึ้นแน่นอน
ทำให้สีหน้าของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยดูจริงจังขึ้นอีกครั้ง
เฉินเจียเหอรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่เขาเลือกใช้ข้ออ้างที่สนับสนุนคำพูดของหู่จือ ซึ่งบางทีอาจจะได้ผลตรงกันข้าม
หลินเซี่ยจึงพูดว่า
หลินเซี่ยอธิบายให้เขาฟังว่า “น้องชายยังเป็นทารก เขาทำได้แค่กินและนอน พอโตขึ้นเวลานอนก็จะลดลง”
หู่จือถอดเสื้อผ้า หันหลังให้ด้วยความเขินอาย
เขาถอดเสื้อผ้าไปด้วยพลางเตือนหลินเซี่ย ว่า “แม่ครับ อย่าแอบมองนะครับ”
หลินเซี่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ได้แอบมองหรอก ลูกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
หู่จือรีบสวมใส่ชุดนอนอย่างคล่องแคล่ว แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่ม
เขานอนไม่หลับ ยังอยากให้หลินเซี่ยเล่านิทานให้ฟังอีก
เฉินเจียเหอที่อยู่ในสภาวะกังวลใจ จึงพูดเสียงเข้มว่า “รีบนอนเถอะ จะเล่านิทานอะไรอีก เดี๋ยวน้องชายนอนไม่หลับแล้วร้องไห้ขึ้นมา พวกเราก็จะนอนไม่ได้กันพอดี”
เฉินเจียเหอกลัวจริง ๆ ว่าตกตอนกลางคืนแล้วทารกน้อยจะร้องไห้โวยวายชนิดที่ใครปลอบก็ไม่หยุด แผดเสียงจนขนลุก
หลินเซี่ยห่มผ้าให้หู่จือเรียบร้อยแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “นอนก่อนนะ พอน้องชายหลับแล้ว แม่จะมาเล่านิทานให้ฟัง”
ตอนที่หลินเซี่ยกำลังกล่อมทารกน้อยให้นอนหลับ หู่จือที่รอฟังนิทานอยู่ก็ผล็อยหลับไปด้วย
“หู่จือ?” หลินเซี่ยเข้าไปใกล้ ๆ แล้วลูบหัวเขา “หู่จือ หลับแล้วเหรอ?”
ลมหายใจของหู่จือสม่ำเสมอ แสดงว่าหลับลึกแล้ว
เด็ก ๆ ต่างไม่มีความกังวล พอง่วงนอนเมื่อใดก็หลับได้ทันที
คุณภาพการนอนหลับแบบนี้ทำให้หลินเซี่ยอิจฉาจริง ๆ
หลังหลินเซี่ยห่มผ้าให้หู่จือเรียบร้อย เธอก็มองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดขึ้นว่า “คุณรู้ไหมว่าเมื่อกี้หู่จือพูดอะไรกับฉัน?”
เฉินเจียเหอที่กำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมจะเข้านอนถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “พูดอะไรล่ะ?”
“จางเหมยชวนหู่จือส่องกระจก บอกว่าหู่จือหน้าเหมือนหล่อน” หลินเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ดูเหมือนหล่อนยังไม่ยอมแพ้ที่จะรับหู่จือเป็นลูก แต่เพราะแรงกดดันจากพวกเรา หล่อนเลยไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ ตอนนี้หล่อนจึงพยายามพูดเป็นนัยกับลูกอยู่ข้าง ๆ อยากให้หู่จือสงสัยในตัวเองขึ้นมา”
เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนั้น เฉินเจียเหอก็เปลี่ยนสีหน้าไปด้วย
ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่เจอกัน หู่จืออาจจะถามจางเหมยเกี่ยวกับเรื่องลูกแท้ ๆ ของหล่อนก็ได้
ถ้าจางเหมยพูดอะไรมั่ว ๆ ขึ้นมา ด้วยความฉลาดของหู่จือ เขาก็คงจะสงสัยตัวเองได้ไม่ยาก
สีหน้าของหลินเซี่ยก็หนักอึ้งมากเช่นกัน เธอพูดว่า “ตอนนี้คงต้องให้หู่จือตามน้ากับน้าสะใภ้กลับไปพักร้อนที่บ้านเกิดก่อน คราวหน้าถ้าจางเหมยมาอีก คุณกับฉันค่อยไปคุยกับหล่อนดี ๆ”
เฉินเจียเหอรับคำ “อืม ผมต้องเตือนหล่อนอีกสักครั้ง ถ้าหล่อนยังไม่เลิกคิด ต่อไปก็ไม่ต้องมาพบลูกอีกเลย”
วันรุ่งขึ้น หวังอวี้เสียกับโจวเจี้ยนกั๋วตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะไปซื้อของ
เฉินเจียเหอก็ตื่นเช้าเช่นกัน เพราะหกโมงครึ่งต้องไปโรงงานแล้ว เขาเห็นโจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียที่กำลังจะไปซื้อของ จึงบอกว่า
“น้า น้าสะใภ้ เช้านี้ผมจะไปกินข้าวเช้าที่โรงงาน วันนี้จะกลับมาเร็วหน่อย ตอนบ่ายจะได้ไปจัดการเรื่องที่ร้านอาหาร”
โจวเจี้ยนกั๋วตอบกลับ “ได้ งั้นเธอรีบไปเถอะ พวกเราจะซื้อของกลับมาทำอาหารให้เซี่ยเซี่ย”
ตอนที่หลินเซี่ยกับหู่จือตื่นนอน พวกเขาได้ซื้อของกลับมาแล้ว และกำลังทำอาหารเช้าอยู่
หลินเซี่ยอุ้มลูกออกมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องนั่งเล่น
ไม่รู้ว่าหวังอวี้เสียกับโจวเจี้ยนกั๋วกำลังคุยอะไรกัน ถึงได้ยินเสียงสามีภรรยาทั้งสองพากันหัวร่องอหงาย
“เซี่ยเซี่ย ตื่นแล้วเหรอ” หวังอวี้เสียสวมผ้ากันเปื้อน มือถือทัพพีตักซุป เดินมาต้อนรับ โจวเจี้ยนกั๋วกำลังจะเดินเข้ามาอุ้มเด็ก แต่หวังอวี้เสียรีบพูดว่า “ไปล้างมือก่อนแล้วค่อยอุ้ม”
โจวเจี้ยนกั๋วขานรับ “ได้” แล้วเดินไปล้างมืออย่างว่าง่าย
หลินเซี่ยวางเด็กลงในเปลเด็กที่ห้องนั่งเล่น มองหวังอวี้เสีย ยิ้มแล้วพูดว่า “น้าสะใภ้กับน้านี่รักกันดีจังเลยนะคะ”
“แก่ด้วยกันทั้งคู่แล้ว ก็อยู่ด้วยกันไปวัน ๆ ยังไงก็หย่าไม่ได้หรอก ฮ่า ๆ”
“เธอดูสิ วันนี้ฉันแต่งหน้าตามขั้นตอนที่เธอสอน ปัดแก้มด้วย ฉันว่ามันสวยดีนะ ตอนที่เราไปซื้อของ ผู้ชายหลายคนมองฉันกันใหญ่เลย น้าเธอเลยบอกว่าผู้ชายพวกนั้นมองฉันไม่ใช่เพราะฉันสวยหรอก แต่คงคิดว่าฉันเป็นนักแสดงงิ้ว”
หวังอวี้เสียพูดพลางมองไปทางห้องน้ำอย่างน้อยใจ “น้าเธอนี่ปากเสียจริง ๆ ถ้าเขายังพูดเพ้อเจ้ออีก ฉันจะเอายาพิษใส่ให้เขาพูดไม่ได้เลย”
หลินเซี่ยหัวเราะแล้วอธิบายว่า “จริง ๆ แล้วน้าก็เห็นว่าน้าสะใภ้แต่งหน้าสวยนะคะ เขาแค่หึงน่ะ เลยจงใจพูดแบบนั้นเพื่อทำให้น้าสลดใจ จะได้ไม่แต่งหน้าออกไปข้างนอกอีก”
ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ พอออกไปข้างนอกก็ชอบมองผู้หญิงสวย ๆ แต่กลับกลัวผู้หญิงในบ้านจะออกไปให้คนอื่นมองบ้าง
เพราะพวกเขารู้จักผู้ชายดีเกินไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่แท้ๆ เริ่มล้ำเส้นแล้ว เดี๋ยวต่อไปไม่ได้เจอหน้าลูกนะ
น้าปากเสียจัง เดี๋ยวโดนน้าสะใภ้เล่นงานบ้างหรอก
ไหหม่า(海馬)
……….