ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 739 ฉันไม่ได้เป็นโรคอะไรใช่ไหม
ตอนที่ 739 ฉันไม่ได้เป็นโรคอะไรใช่ไหม
เมื่อหลินเซี่ยอธิบายเช่นนั้น หวังอวี้เสียก็เข้าใจได้ในทันที
“อ๋อ อย่างนั้นนี่เอง” หวังอวี้เสียสะบัดผมดัดของหล่อน ใบหน้าเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ “เซี่ยเซี่ย เธอรู้ไหม ถึงฉันจะแก่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับพวกพี่สาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ฉันกลับดูอ่อนเยาว์และทันสมัยกว่ามากเลย จนพวกผู้ชายในหน่วยงานของเรามักจะมองฉันบ่อย ๆ”
“น้าเธอเลยไม่สบายใจ ถึงกับต้องมารับฉันตอนเลิกงาน”
หวังอวี้เสียมองหลินเซี่ยแล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย นี่เป็นความดีความชอบของเธอเลยนะ ถ้าเธอไม่ทำผมให้ฉัน ไม่ให้เครื่องสำอาง แล้วก็สอนแต่งหน้าให้ฉัน ฉันจะสวยขึ้นขนาดนี้ได้ยังไง”
โจวเจี้ยนกั๋วล้างมือเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินคำพูดหลงตัวเองของหวังอวี้เสีย เขาก็สาดน้ำเย็นใส่ทันทีโดยไม่เกรงใจ “สวยที่ไหนกัน ปัดแก้มแดงอย่างกับก้นลิง คุณนี่ชมตัวเองเก่งจริง ๆ”
พูดจบก็จงใจสะบัดน้ำบนมือใส่หน้าของหวังอวี้เสีย
“โจวเจี้ยนกั๋ว คุณเป็นบ้าหรือไง”
หวังอวี้เสียถือทัพพีฟาดหลังศีรษะเขาทีหนึ่ง
พูดจบก็เดินไปดูน้ำซุปในหม้อที่ครัว
หลินเซี่ยมองโจวเจี้ยนกั๋วที่กำลังลูบท้ายทอย ยิ้มแล้วปลอบใจเขา
“คุณน้า ผู้หญิงรักสวยรักงามเป็นเรื่องธรรมชาติ น้าสะใภ้แต่งตัวสวย หล่อนเองก็มีความสุข เวลาออกไปข้างนอกน้าก็ภูมิใจไม่ใช่หรือ”
“ก็ภูมิใจอยู่หรอก แต่มันไม่ปลอดภัยนี่สิ”
โจวเจี้ยนกั๋วมองไปทางครัวแวบหนึ่ง กระซิบบ่นกับหลินเซี่ย “เธอไม่รู้หรอก พวกผู้ชายแก่ ๆ ในโรงงานทุกคนมองน้าสะใภ้เธอด้วยสายตาเหมือนหมาป่าหิวโซ ฉันเป็นห่วงจริง ๆ นะ”
หลินเซี่ยฟังแล้วหางคิ้วกระตุก “คุณน้า ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”
โจวเจี้ยนกั๋วทำสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่จริงเหรอ? ในบรรดาแม่บ้านในเมืองเล็ก ๆ ของพวกเรา น้าสะใภ้เธอถือว่ายังเสน่ห์แรงอยู่ ฉันเลยต้องจับตาดูไว้ให้ดีหน่อย”
ดวงตาโจวเจี้ยนกั๋วสั่นไหวเล็กน้อย พูดกับหวังอวี้เสีย “เซี่ยเซี่ยบอกว่าคุณไม่แต่งหน้าดูสวยกว่า ดูเป็นธรรมชาติและสง่างามมากกว่า เครื่องสำอางมันบดบังบุคลิกและความงามของคุณหมด แต่งหน้าแล้วไม่สวยเท่าหน้าสดเลย”
หวังอวี้เสียได้ยินคำพูดของโจวเจี้ยนกั๋ว จึงหันไปมองหลินเซี่ยอย่างจริงจังแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย จริงเหรอ?”
หลินเซี่ยอุทานออกมา ทำสีหน้าลำบากใจ
โจวเจี้ยนกั๋วขยิบตาให้หลินเซี่ยอย่างบ้าคลั่ง
หู่จือยืนอยู่ด้านหลังโจวเจี้ยนกั๋ว พูดอย่างเป็นผู้ใหญ่ว่า “เมื่อผมโตขึ้นและแต่งงานแล้ว ผมจะซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ และเครื่องสำอางให้หล่อนเยอะ ๆ เพื่อให้หล่อนแต่งตัวสวย ๆ ออกไปข้างนอก”
โจวเจี้ยนกั๋วหันไปลูบหัวเขา ถอนหายใจ “ไอ้หนูเอ๊ย นี่เป็นแค่ความคิดของเธอตอนนี้แหละ พอเธอมีเมียจริง ๆ เธอจะไม่คิดแบบนี้แล้ว”
“ทำไมล่ะ?” หู่จือเงยหน้า ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
“โตขึ้นเดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง” โจวเจี้ยนกั๋วยื่นชามซุปให้หู่จือ “ยกออกไปเถอะ ระวังร้อนล่ะ”
หวังอวี้เสียห่อเสี่ยวหลงเปา ต้มซุปไข่ ซึ่งตอนนี้วางบนโต๊ะแล้ว
“มากินข้าวกันเถอะ”
หลินเซี่ยวางเด็กลงในเปล ทุกคนนั่งกินข้าวด้วยกัน
หลังจากกินอาหารเสร็จ โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียก็นึกอยากไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านตระกูลเฉิน
โจวเจี้ยนกั๋วถามหู่จือ “หู่จือ พวกเราจะไปหาปู่ทวดของเธอ เธอจะไปกับพวกเราด้วยไหม”
หู่จือวิ่งไปหาหลินเซี่ย แล้วพูดว่า “ผมไม่ไปหรอก ผมจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่”
“งั้นก็ได้ ให้แม่ลูกอย่างพวกเธออยู่ด้วยกัน พวกเรากินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วจะกลับมา”
หลังจากที่โจวเจี้ยนกั๋วกับหวังอวี้เสียออกไป หลินเซี่ยกับหู่จือก็นอนดูการ์ตูนบนโซฟาอย่างสบายใจ
ส่วนเย่ไป๋เพิ่งกลับมาจากการประชุม เขาขอให้เซี่ยไห่ไปรับเขาโดยเฉพาะ
ในตอนที่เย่ไป๋โทรมาหาเขา เซี่ยไห่กำลังนอนอยู่ เขาลูบเรือนผมชี้ฟูเป็นหงอนไก่ของตัวเองพลางบ่นว่า “ยังไม่ทันแต่งงานเลยก็เริ่มสั่งการแล้ว”
เขาบ่นพึมพำ แต่ก็ยังลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วขับรถไปที่สถานี
แน่นอนว่าเขาก็ใช้โอกาสนี้ไปเดินเล่นกับลินดาตามร้านขายเสื้อผ้าและของเล่นเด็ก หวังจะทำให้ลินดาเกิดความรู้สึกที่ดีและสนใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็ก ๆ
เซี่ยไห่ส่งเย่ไป๋ถึงหน้าประตู แล้วตะโกนบอกเซี่ยอวี่ที่ยังหลับอยู่ในบ้านว่า “พี่สาว ผมส่งคนมาถึงอย่างปลอดภัยแล้วนะ”
ถ้าไม่รายงานให้เซี่ยอวี่ฟังให้ชัดเจน เดี๋ยวเขาจะโดนตีอีก
เย่ไป๋ยกของลงจากรถ ยิ้มพูดกับเซี่ยไห่ว่า “น้องภรรยา ขอบคุณนะ ไปทำธุระของนายเถอะ”
เซี่ยไห่ส่งเสียงอืมในลำคอ แล้วขึ้นรถกลับหลังหัน
เย่ไป๋เดินเข้ามาในลานบ้านพร้อมกับอาหารมากมายที่เขานำมาจากเมืองหลวง รวมถึงของขวัญสำหรับเซี่ยอวี่
“เสี่ยวอวี่”
เขามาถึงห้องนั่งเล่น กลับไม่พบใคร
จึงมุ่งตรงไปยังห้องของเซี่ยอวี่
เห็นประตูห้องเปิดแง้มไว้ เขาค่อย ๆ ผลักมันเข้าไป
เซี่ยอวี่ยังคงนอนอยู่บนเตียง เย่ไป๋วางสิ่งของในมือลง เดินไปที่ข้างเตียง แล้วค่อย ๆ ดึงผ้าห่มออกอย่างนุ่มนวล
เซี่ยอวี่นอนแผ่หลาอยู่ในชุดนอน ผมยุ่งเหยิง
“ขี้เซา ทำไมยังนอนอยู่อีกล่ะ” เย่ไป๋ค่อย ๆ ดึงหล่อนให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วกอดหล่อนไว้
ร่างกายที่อ่อนนุ่มพิงอิงแนบอกของเขา ทำให้ร่างกายทั้งหมดของเขาสั่นสะท้านโดยไม่ได้ตั้งใจ เขากอดหล่อนไว้แน่น แม้ตั้งใจจะพูดคุยกับหล่อน แต่กลับหุนหันพลันแล่นจูบริมฝีปากของหล่อนอย่างกระหายใคร่
เซี่ยอวี่ผลักเขาออก “ทำอะไรน่ะ ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย”
เย่ไป๋ไม่ได้ทำต่อ เขาจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของหล่อน ใช้ใบหน้าของเขาสัมผัสอุณหภูมิของหล่อน “เป็นอะไรหรือเปล่า รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม”
เซี่ยอวี่พิงอยู่บนตัวเขาอย่างอ่อนแรง เสียงแผ่วเบา “เหนื่อยมาก”
เย่ไป๋ได้ยินคำพูดของหล่อน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวผมดูให้”
จากนั้นเขาก็จับข้อมือคลำหาชีพจรให้เธอ
ขณะที่เขากำลังจับชีพจร ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูจริงจังและเคร่งขรึมผิดปกติ
เซี่ยอวี่เห็นสีหน้าของเขาบางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็คลายออก จึงถามอย่างไม่อดทน “คุณจับชีพจรเป็นหรือเปล่าเนี่ย? อย่ามาทำท่าแบบนี้เลย คุณหมอปลอม”
แม้แต่หมอแผนจีนเย่ก็ยังพูดเลยว่าเย่ไป๋เรียนการแพทย์แผนจีนมานานขนาดนี้แต่ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย แย่กว่าเอ้อร์เลิ่งเสียอีก
เย่ไป๋ปล่อยมือ มองหล่อนด้วยสายตาซับซ้อนมาก
เซี่ยอวี่ถูกเขาจ้องจนรู้สึกหวาดหวั่น ในใจยิ่งร้อนรนไม่สบายใจ
“คุณมองฉันแบบนี้ทำไม?” เซี่ยอวี่เกล้าผม แกล้งทำเป็นใจเย็น “คุณหมอปลอม อย่าบอกนะว่าคุณวินิจฉัยผิดว่าฉันเป็นโรคอะไรสักอย่าง?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เซี่ยอวี่เป็นอะไรนะ จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่
ไหหม่า(海馬)
……….