ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 746 เงินของขวัญจากผู้เฒ่าเสิ่น
ตอนที่ 746 เงินของขวัญจากผู้เฒ่าเสิ่น
เมื่อหลินเซี่ยเพิ่งมาถึงหน้าห้องรับรอง ก็เห็นครอบครัวเซี่ยเดินเข้ามา
พวกเขาทั้งครอบครัวเป็นปัญญาชน มีรังสีเฉพาะตัว บุคลิกอ่อนโยนสุภาพเช่นนั้น ทำให้คนมองรู้สึกสบายใจเสมอ
“คุณตา คุณยาย คุณน้า คุณน้าสะใภ้” หลินเซี่ยเดินเข้าไปทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น
เธอจูงมือเซี่ยหลานกับเสิ่นอวี้หลง “แม่ อวี้หลง เชิญนั่งเถอะค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณยายกับคุณน้าสะใภ้ของหลินเซี่ยได้เจอเธอหลังจากคลอดลูก อาจารย์จางมองหลินเซี่ยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ยฟื้นตัวได้ดีนะ ดูสดชื่นดี”
“หนูอ้วนขึ้นแล้วล่ะค่ะ”
“คนอยู่เดือนมีหรือจะไม่อ้วน ถ้าให้ลูกกินนมแม่ประจำ อีกสักพักเดียวเธอก็จะผอมแล้วล่ะ”
เซี่ยหลานหยิบถุงของขวัญที่เตรียมมาให้ แล้วพูดว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าที่พวกเราซื้อมาให้เธอกับลูกจ้ะ”
“แม่คะ ครั้งก่อนแม่ก็ซื้อมาแล้ว ทำไมยังซื้ออีกล่ะคะ”
“มา น้าให้อั่งเปาหนูนะ”
“เซี่ยเซี่ย พวกเราไปนั่งข้างนอกก่อนนะ ฉันเห็นเหล่าเย่มาถึงแล้ว พวกเราจะไปคุยกับท่านสักหน่อย”
ห้องรับรองนี้มีไว้สำหรับให้เด็กอยู่โดยเฉพาะ ตอนนี้มีคนเยอะเกินไปจนยืนไม่พอ ทุกคนจึงไปนั่งที่ห้องโถงใหญ่
เสิ่นอวี้หลงบอกว่าอยากอุ้มเด็ก พวกเขาจึงออกไปก่อน
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็ยื่นส่งเด็กให้เสิ่นอวี้หลง “ให้น้าอุ้มหน่อยนะจ๊ะ”
หลินจินซานเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินหลินเซี่ยพูด จึงคิดว่าเธอพูดกับเขาและกำลังจะยื่นมือออกไป แต่กลับเห็นหลินเซี่ยยื่นเด็กให้เสิ่นอวี้หลง
หลินจินซานหน้าบูด เด็กคนนี้มีน้าเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
แต่พอนึกได้ว่าเสิ่นอวี้หลงรู้จักกับหลินเซี่ยมานานกว่าเขา ความรู้สึกหมั่นไส้ก็หายไป
แล้วเขาก็ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
“อวี้หลง ช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงบ้าง แม่บอกว่าจะสมัครเรียนให้นาย สมัครทันไหม”
เสิ่นอวี้หลงอุ้มเด็กอยู่สักพัก แล้วก็ส่งเด็กคืนให้หลินเซี่ย
ช่วงเวลานี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่ด้านนอก ในห้องจึงมีแค่เขา หลินเซี่ย และ หู่จือ
เขาหยิบธนบัตรสิบหยวนปึกใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋า
“อวี้หลง นายทำอะไรของนาย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก”
งานฉลองครบเดือนของเด็กเป็นเรื่องน่ายินดี เป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้น ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อรับซองอั่งเปา
เสิ่นอวี้หลงยังเป็นผู้เยาว์ ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ แบบนี้มันจะผิดความหมายไป
“พี่ เงินนี่ไม่ใช่ของผม”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น จึงมองด้วยความสงสัย “แล้วเป็นเงินใครเหรอ?”
เสิ่นอวี้หลงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก “นี่คือเงิน 50 หยวนที่คุณปู่มอบให้หลานน่ะครับ”
ช่วงนี้เสิ่นอวี้หลงได้ฟังเซี่ยหลานเล่าอย่างละเอียดว่าคนในตระกูลเสิ่นปฏิบัติต่อหลินเซี่ยอย่างไร เขาจึงไม่กล้าพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นต่อหน้าหลินเซี่ย
“คุณปู่รู้ว่าพี่มีลูกแล้ว ท่านก็ดีใจมาก เลยฝากผมเอาเงินมาให้พี่ บอกว่านี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากท่าน”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น มุมปากเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อย ในใจหัวเราะเย็นชา
เธอปฏิเสธด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “อวี้หลง ฉันรับเงินนี่ไม่ได้หรอก นายเอากลับไปคืนท่านเถอะ ตอนนี้ท่านอยู่คนเดียวก็ลำบากพอสมควรแล้ว ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต”
หลินเซี่ยไม่อยากพูดต่อหน้าเสิ่นอวี้หลงว่าเธอไม่สนใจเงินของผู้เฒ่าเสิ่น และไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณผู้เฒ่าคนนั้นด้วย
เธอจึงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
“พี่ คุณปู่บอกว่านี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากท่าน กำชับให้ผมต้องเอามาให้พี่ให้ได้ ท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ท่านโง่เขลา ทำไม่ดีกับพี่ ทำให้พี่ต้องทนทุกข์ ท่านจึงรู้สึกผิดมาก”
เสิ่นอวี้หลงนึกถึงภาพคุณปู่ที่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดต่อหน้าเขา ในใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ชายชราจะทำผิดมามากมาย แต่ตอนนี้ท่านก็กลายเป็นแบบนั้นแล้ว การที่ท่านยังจำหลินเซี่ยและยังมีกะจิตกะใจขอโทษเธอได้ เขารู้สึกว่ามันก็ค่อนข้างหายาก
“อวี้หลง ฉันรับเงินนี่ไม่ได้จริง ๆ นายเอากลับไปคืนท่านเถอะ ตอนนี้ไม่มีใครดูแลท่าน แม้แต่การจ้างพี่เลี้ยงก็ต้องใช้เงิน”
เธอไม่ต้องการให้ผู้เฒ่าเสิ่นสำนึกผิดอะไรทั้งนั้น
เธอไม่อยากตำหนิอะไรเขา
เธอมีชีวิตของตัวเอง มีญาติพี่น้องของตัวเอง สำหรับผู้เฒ่าเสิ่น ถ้าไม่มีใครพูดถึง เธอคงลืมเขาไปแล้ว
ตอนนี้เธอมีชีวิตที่มีความสุข ไม่อยากนึกถึงคนที่ทำให้เธออารมณ์เสีย
เสิ่นอวี้หลงได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้วก็ไม่รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงในคำพูดของเธอ คิดแค่ว่าหลินเซี่ยเป็นห่วงผู้เฒ่า กลัวว่าท่านไม่มีเงินแล้วจะลำบาก จึงพูดว่า “ปู่มีเงินบำนาญ พี่ไม่ต้องห่วง ชีวิตเขาไม่ได้ขัดสนอะไร”
“อวี้หลง นายเอาเงินไปคืนท่านเถอะ”
“พี่ นี่เป็นน้ำใจของปู่นะ”
เสิ่นอวี้หลงยืนยันที่จะมอบเงินให้หลินเซี่ย หลินเซี่ยปฏิเสธไม่ได้ จึงจำใจรับไว้
ถ้าเงินจำนวนนี้เป็นคนอื่นนำมาให้ เธอคงต่อว่าผู้เฒ่าเสิ่นอย่างไม่เกรงใจ แล้วคืนเงินไป
แต่เธอต้องคำนึงถึงเสิ่นอวี้หลงด้วย
“ปู่บอกว่าอีกสักพักหวังว่าพี่จะพาลูก ๆ กลับไปเยี่ยม ท่านคิดถึงพี่มาก”
หลินเซี่ยได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอก็พลันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ผู้เฒ่าเสิ่นคิดถึงเธอเหรอ?
แน่ใจนะว่าไม่ได้อยากด่าเธอ?
แต่ถ้ามองมุมกลับก็พอเข้าใจได้ว่าตอนนี้ผู้เฒ่าเสิ่นเหลือแค่เสิ่นอวี้หลงเป็นลูกหลานคนเดียวแล้ว
เขานอนติดเตียงทั้งวันทั้งคืน บางทีอาจจะนึกย้อนถึงเรื่องราวมากมายในอดีตก็ได้
นึกถึงวาจาเสียดสีและการกระทำอันเลวร้ายที่ไม่น่าเคารพนับถือของตนเอง
นึกถึงหลานสาวที่เขาตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่ทำให้เขาภาคภูมิใจ เลือกเดินในเส้นทางมิจฉาทิฐิ และตอนนี้ก็ไม่สามารถพึ่งพาได้เลย
เขาน่าจะนึกถึงตอนที่เธอยังเด็ก ว่าเขาปฏิบัติต่อเธออย่างไร
การที่เขาฝากเสิ่นอวี้หลงนำเงินมาให้เด็ก ๆ แสดงว่าเขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วใช่ไหม?
ลูกชายและหลานสาวทั้งสองของเขากำลังมีช่วงเวลาสุขสันต์ร่วมกันในคุก ส่วนเขากลับอยู่ข้างนอกอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
หลานชายคนโตอย่างเสิ่นอวี้หลงก็ยังคบหากับเธออยู่
หลินเซี่ยคาดเดาว่า การที่เขาส่งเงินมาให้นี้ น่าจะเป็นการทำเพื่อให้เสิ่นอวี้หลงเห็นด้วย
อยากให้เสิ่นอวี้หลงหลานชายคนโตเห็นว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลมากแค่ไหน
ตัวเองใช้ชีวิตลำบากขนาดนี้ ยังมีแก่ใจเก็บเงินให้ลูกของเธออีก
เฉินเจียเหอเดินเข้ามาเห็นธนบัตรใหม่เอี่ยมห้าสิบหยวนวางอยู่ข้าง ๆ มือของหลินเซี่ย เขาก็มองเสิ่นอวี้หลงสลับกับหลินเซี่ย พร้อมพูดยิ้ม ๆ “อวี้หลง นายก็เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่เหมือนกันเหรอ? ในสายตาพวกเรา นายยังเป็นเด็กอยู่เลย ยังไม่ถึงวัยที่จะให้ของขวัญหรอก”
เสิ่นอวี้หลงตอบ “พี่เขย นี่ไม่ใช่ผมให้นะครับ ปู่ฝากผมให้เป็นของขวัญแก่หลานของผมต่างหาก”
เฉินเจียเหอชะงักไปสองสามวินาที ถึงได้นึกออกว่าปู่ที่เสิ่นอวี้หลงพูดถึงคือใคร
ไม่พูดถึงก็ลืมไปแล้วว่ายังมีคนผู้นั้นอยู่
ไม่แปลกใจเลยที่สายตาของหลินเซี่ยดูแปลก ๆ
“อ้อ งั้นเหรอ”
เฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของเสิ่นอวี้หลงแล้วก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการดีใจหรือขอบคุณที่ได้รับเงิน
เขาหยิบเงินข้าง ๆ มือของหลินเซี่ยใส่กระเป๋าไปอย่างง่ายดาย แล้วพูดเสียงเรียบ “งั้นช่วยขอบคุณเขาแทนพวกเราด้วย”
จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหลินเซี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เซี่ยเซี่ย ข้างนอกญาติและเพื่อนมาพร้อมกันหมดแล้ว พวกเราไปอุ้มลูกออกไปให้ทุกคนดูกันเถอะ”
“อืม ได้ค่ะ”
หลินเซี่ยหันไปพูดกับเสิ่นอวี้หลง “อวี้หลง ไปกันเถอะ ไปนั่งโต๊ะข้างนอกกัน”
เฉินเจียเหออุ้มเสี่ยวหู่ หลินเซี่ยจูงมือหู่จือ ทั้งครอบครัวไปที่ห้องจัดเลี้ยงด้วยกัน ข้างนอกมีแขกที่พวกเขาคุ้นเคยดีนั่งอยู่
สหายพี่น้องทั้งหลายของเฉินเจียเหอต่างนั่งรวมกันที่โต๊ะแยก
จากนั้นหลินเซี่ยก็เห็นร่างคุ้นตาที่โต๊ะของฟางจิ้นเป่า
“จางเหมย”
แต่อีกฝ่ายเป็นแม่แท้ ๆ ของหู่จือ ส่วนเธอคือแม่บุญธรรมที่เลี้ยงหู่จือมาได้แค่ปีกว่า ๆ พูดกันตามตรงแล้วเหมือนจะไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเท่าใด
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมาร่วมพิธีครบรอบหนึ่งเดือนให้ลูกของเธออีกด้วย
แขกผู้มาเยือนย่อมต้องได้รับการต้อนรับ
หลินเซี่ยจึงยังคงเดินไปทักทายพวกเขาทั้งโต๊ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เฉินเจียเหอบอกว่าเขาจะอุ้มเด็กไปที่โต๊ะของผู้ใหญ่ เพื่อให้ทุกคนได้ดูเด็ก
สองผู้เฒ่าตระกูลเฉิน สองผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย รวมถึงคุณแม่เซี่ย คุณผู้เฒ่าเย่ และเซี่ยเหลยต่างนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน
ครั้งนี้เมื่อเห็นเฉินเจียเหออุ้มเด็กมา ผู้เฒ่าเฉินก็รีบลุกขึ้นรับเด็กด้วยความดีใจ จากนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายก็ผลัดกันดูเด็ก
คนแก่ชอบเด็กเล็กที่สุด โดยเฉพาะหลานชายของตัวเอง ทำให้ผู้เฒ่าเฉินอุ้มแล้วไม่ยอมปล่อย
ผู้เฒ่าเซี่ยทนรอไม่ไหว เริ่มบ่นว่า “รู้อยู่หรอกว่าเป็นเหลนชายของคุณ อย่าขี้เหนียวไม่ยอมส่งต่อสิ รีบส่งมาให้พวกเราได้อุ้มบ้าง”
“ได้ ๆ งั้นคุณอุ้มไป”
ผู้เฒ่าเฉินส่งเด็กให้ผู้เฒ่าเซี่ยด้วยความเสียดาย พร้อมกำชับว่าต้องระมัดระวังให้ดี อย่าให้เด็กตกเด็ดขาด
“ฉันยังไม่แก่ถึงขั้นอุ้มเด็กไม่ไหวหรอก”
สองคนชราต่อปากต่อคำกัน ผู้เฒ่าเซี่ยรับเด็กมาทั้งเขาและภรรยาต่างรักใคร่เด็กจนวางไม่ลง
ผู้เฒ่าเย่นั่งอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยที่ดูเหมาะสมกันทั้งรูปโฉมและความสามารถ แถมตอนนี้ยังมีลูกด้วยกันถึงสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เขามองหาเย่ไป๋กับเซี่ยอวี่ในฝูงชน
ลูกหลานคนอื่นต่างก็มีความสามารถ ทั้งหน้าที่การงานและครอบครัวก็ไม่ทิ้ง แต่ลูกชายตระกูลเย่ของพวกเขาล่ะ?
ครั้งที่แล้วที่เขาจับชีพจรให้เซี่ยอวี่ พบว่าเป็นชีพจรมีครรภ์ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นตัวอีกเลย
จนถึงตอนนี้ ปู่เย่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจับชีพจรให้หล่อนได้แม่นยำหรือไม่
กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอดูต่อไปค่ะว่าปู่เสิ่นสำนึกจริงหรือแค่เสแสร้งต่อหน้าหลานชายคนโปรด
ตระกูลเย่เตรียมรับข่าวมงคลได้แล้วนะคะ
ไหหม่า(海馬)