ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 748 หู่จือไม่รู้จักหล่อนเลย
ตอนที่ 748 หู่จือไม่รู้จักหล่อนเลย
……….
ตอนที่ 748 หู่จือไม่รู้จักหล่อนเลย
เย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิ่งได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เย่ไป๋กลับบ้านในตอนเช้าเหรอ? พวกเขานอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ตอนนี้อยู่ในที่สาธารณะ รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คน ไม่สะดวกที่จะคุยเรื่องในครอบครัว ทั้งสองสามีภรรยาจึงไม่กล้าให้ครอบครัวเซี่ยรู้ว่าพวกเขาเกียจคร้านมากจนตื่นมาตอนเกือบเก้าโมงเช้า
ส่วนใหญ่เป็นเพราะเย่เจิ้งหัวมีนิสัยชอบทำงานสร้างสรรค์ตอนกลางคืน เวลานอนจึงกลับตาลปัตรไม่เหมือนชาวบ้าน
“ลูกไปหาที่นั่งกับเพื่อนคนนี้เถอะ ใกล้จะเริ่มงานแล้ว พี่ชายลูกน่าจะมาถึงในอีกสักครู่” หลี่เหม่ยเฟิ่งยิ้มแล้วไล่ลูกสาวไป แต่ในใจกำลังคิดว่าที่เย่ไป๋กลับบ้านแต่เช้าตรู่นั้นเขาเอาอะไรออกไปกันแน่
หล่อนพูดกับหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ ว่า “พี่สะใภ้ เถ้าแก่เซี่ย อย่าไปสนใจพวกเขาเลยค่ะ ทั้งสองคนมีธุระต้องทำ พวกเราคุยกันเองดีกว่า”
เซี่ยไห่พูดอย่างไม่พอใจ “เย่ไป๋เย็นชามากเลยนะครับ ขนาดกลับบ้านยังไม่ทักทายพวกคุณเลย”
ไม่ว่าเขาจะกลับบ้านดึกแค่ไหน เขาก็จะบอกแม่ของตนเสมอว่าเขากลับมาแล้ว
หลี่เหม่ยเฟิ่งกลัวว่าเซี่ยไห่จะมีความเห็นเชิงลบต่อเย่ไป๋ จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เขารู้ว่าพ่อของเขาทำงานสร้างสรรค์ค่อนข้างเหนื่อย เวลาพักผ่อนไม่ตรงกับเขา เขาเลยไม่อยากรบกวนน่ะ”
ตอนนี้บริกรเริ่มเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะแล้ว เซี่ยไห่ก็คร้านจะสนใจเซี่ยอวี่และเย่ไป๋ต่อไป
ในวันมงคลแบบนี้ ทุกคนต่างมุ่งเน้นหาความสนุกสำราญเป็นหลัก
“เอาล่ะ เริ่มงานกันเถอะ เรามารินเหล้ากัน”
โต๊ะนี้มีเฉินเจียวั่งเป็นคนดูแล เขายังเป็นแค่นักศึกษาที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาจากสังคม จึงดูไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เท่าใด
เซี่ยไห่เอาเหล้ามา แล้วขอที่เปิดขวดเหล้าจากเฉินเจียวั่ง เขารินให้หลิวกุ้ยอิงก่อน จากนั้นก็รินให้เย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิ่งจนเต็มแก้ว
เมื่อถึงคิวของลินดา เขากลับเลือกที่จะเทน้ำอัดลมให้หล่อน
ภาพหล่อนเมาเหล้าผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างไม่อาจควบคุม
ลินดามองของเหลวที่ไม่รู้จักตรงหน้า มองเซี่ยไห่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หล่อนแสดงท่าทางว่าอยากดื่มเหล้า
จางเหมยนั่งข้างฟางจิ้นเป่า จึงไม่ค่อยมีอะไรคุยกับสหายพี่น้องเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ค่อยสนใจหล่อนเท่าใด
แต่เนื่องจากสถานะของหล่อน ทำให้พวกเขายังคงให้เกียรติกับหล่อนอยู่
จางเหมยไม่มีใจจะพูดคุยกับพวกเขาอยู่แล้ว สายตาจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ตลอดเวลา
หล่อนเห็นหู่จือตามหลังหลินเซี่ยไปบ้าง บางครั้งก็ถูกผู้เฒ่าเฉินเรียกไปนั่งข้างๆ ไม่นานก็ถูกหลิวกุ้ยอิงเรียกไปนั่งที่โต๊ะของพวกเขา พออาหารจานแรกมาถึง หลิวกุ้ยอิงก็ไม่ได้กินเอง แต่คีบชิ้นเนื้อป้อนใส่ปากหู่จือ ใบหน้าเด็กน้อยเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
หล่อนมองภาพดังกล่าวอย่างเพลิดเพลิน
ฟางจิ้นเป่ากำลังคุยกับถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ พวกเขาเมินจางเหมยราวกับหล่อนเป็นอากาศธาตุ
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นสายตาของจางเหมยจ้องไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่วางตา ใบหน้าดุดันของฟางจิ้นเป่าก็ดำคล้ำลงทันที
“เฮ้ หยุดมองได้แล้ว” เขาเตือนจางเหมยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่วยระงับใจหน่อย จดจำสัญญาของตัวเองไว้ อย่าทำตัวเด่นชัดขนาดนี้ต่อหน้าสาธารณะสิ”
เมื่อไม่กี่วันก่อน เฉินเจียเหอได้เชิญถังจวิ้นเฟิงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของลูก ในตอนนั้นเขาได้บอกถังจวิ้นเฟิงเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จางเหมยทำตอนเจอกับหู่จือ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” จางเหมยถูกฟางจิ้นเป่าดุ หล่อนตกใจจนก้มหน้าลง
ถึงแม้ชีวิตของหล่อนจะยากลำบาก แต่เมื่อเห็นอาหารมากมายที่เพิ่งยกมาเสิร์ฟ หล่อนกลับไม่รู้สึกอยากกินเลยสักนิด
“พี่สะใภ้ เดี๋ยวพวกเราต้องคุยกับคุณหน่อยนะ”
ถังจวิ้นเฟิงยังพูดกับหล่อนอย่างสุภาพอยู่ ไม่เหมือนกับฟางจิ้นเป่าที่ดูดุร้าย
ที่โต๊ะของพวกเขานอกจากมีฟางจิ้นเป่ากับภรรยาของเขา ถังจวิ้นเฟิง และลู่เจิ้งอวี่แล้ว ยังมีเอ้อร์เลิ่งและเพื่อนสนิทอีกสองคนของเฉินเจียเหอด้วย
นอกจากเอ้อร์เลิ่งแล้ว คนอื่น ๆ ต่างรู้เรื่องต้นกำเนิดของหู่จือกันหมด
เอ้อร์เลิ่งไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน และก็ไม่ได้ถาม
สายตาของเขาจ้องมองไปที่โต๊ะของพวกโจวเจี้ยนกั๋ว ตั้งใจว่าหลังจากกินเสร็จแล้วจะไปคุยกับพวกโจวเจี้ยนกั๋วให้ดีว่าจะกลับบ้านเกิดกันตอนไหน เพราะเขาจะได้กลับไปพร้อมกัน
บรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดทำให้จางเหมยก้มหน้านิ่งเงียบ ลู่เจิ้งอวี่จึงรินเหล้าให้ทุกคนเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ บอกว่าพวกเขาไม่ได้เจอกันนานแล้ว ควรมาดื่มฉลองกันหน่อย
เพราะถ้าหล่อนถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำ การดื่มเหล้าเพียงแก้วเดียวอาจจะทำให้หล่อนพูดจาเพ้อเจ้อจนเสียการเสียงานได้
เอ้อร์เลิ่งบอกว่าตัวเองเคยป่วย ก็ไม่สามารถดื่มเหล้าได้เช่นกัน
ฟางจิ้นเป่ากับถังจวิ้นเฟิงชนแก้วกัน แต่บรรยากาศก็ยังคงเงียบเหงา
เพราะการมีจางเหมยอยู่ที่นั่นส่งผลต่ออารมณ์ของสหายพี่น้องทุกคน ทำให้พวกเขาไม่สามารถพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนที่ผ่านมาได้
ฟางจิ้นเป่าสงสัยมากว่าใครกันแน่ที่แจ้งให้จางเหมยมา
เขามองถังจวิ้นเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
ถังจวิ้นเฟิงยักไหล่ ไม่ได้ตอบคำถามของเขา
จริง ๆ แล้วไม่มีใครเชิญหล่อนเลย แต่ครั้งก่อนตอนที่จางเหมยไปพบกับหู่จือ เซี่ยไห่เป็นคนไปด้วย
ตอนนั้นเซี่ยไห่รับโทรศัพท์จากเฉินเจียเหอพอดี แล้วเฉินเจียเหอบอกเขาเรื่องงานเลี้ยงฉลองครบรอบหนึ่งเดือนของลูกที่ร้านอาหาร
ในเมื่อจางเหมยตั้งใจจะคบหากับพวกเขา หล่อนย่อมไม่มีทางพลาดข้อมูลสำคัญขนาดนี้แน่นอน
ในช่วงสองปีแรกที่เฉินเจียเหอเพิ่งรับหู่จือมาเลี้ยง เขาฝากหู่จือไว้ที่บ้านของฟางจิ้นเป่าเป็นเวลานาน
พี่สะใภ้ฟางคอยห้ามปรามฟางจิ้นเป่าไม่ให้ชักสีหน้าใส่จางเหมย
ยามใดที่ฟางจิ้นเป่าเอ่ยตะคอก พี่สะใภ้ฟางที่อยู่ข้าง ๆ ก็หยิกเขาเบา ๆ เพื่อเตือนให้ควบคุมอารมณ์
ในขณะที่พี่สะใภ้ฟางหยิกฟางจิ้นเป่าหลายครั้งจนฟางจิ้นเป่าเริ่มจ้องมองหล่อน หู่จือก็วิ่งเข้ามา
ทันทีที่เขามาถึง เขาก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของพี่สะใภ้ฟางอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณป้า คุณมาด้วยหรือครับ”
หู่จือนั่งอยู่ข้าง ๆ ยายของเขา เมื่อเห็นพี่สะใภ้ฟางอยู่ที่นี่ จึงวิ่งมาหาด้วยความดีใจ
พี่สะใภ้ฟางดึงหู่จือเข้ามา ตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่จ้ะ วันนี้น้องชายของหนูอายุครบเดือน ป้ากับลุงฟางของหนูเลยมาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบเดือนของน้องชายหนูด้วยกัน”
“แล้วก็แวะมาเยี่ยมหนูด้วย พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
หู่จือพูดเสียงอู้อี้ “หลังจากผมถูกลักพาตัว ผมก็ไม่กล้าออกไปเที่ยวคนเดียวแล้ว พ่อกับแม่ของผมก็ไม่มีเวลาพาผมออกไป จริง ๆ แล้วผมก็คิดถึงพวกคุณมากเหมือนกันฮะ”
“พี่เสี่ยวเป่าของหนูสอบได้คะแนนไม่ค่อยดี กำลังเรียนพิเศษอยู่จ้ะ”
พี่สะใภ้ฟางมองหู่จือด้วยสายตาอ่อนโยนเมตตา ยิ้มและพูดว่า “หู่จือ โรงเรียนอนุบาลของหนูปิดเทอมแล้วใช่ไหม หนูอยากไปพักที่บ้านป้าสักพักไหมจ๊ะ”
หู่จือกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถังจวิ้นเฟิงก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “พี่สะใภ้ครับ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีแล้วกัน”
พี่สะใภ้ฟางมีแต่หู่จืออยู่ในสายตา มองเขาด้วยแววตาโอบอ้อมอารี หู่จือก็ยืนอยู่ในอ้อมกอดของเธออย่างสนิทสนม พูดพล่ามถึงความคิดถึงที่มีต่อพวกเขาในช่วงนี้ และยังเล่าถึงสิ่งแปลกใหม่ที่เขาเจอ
จางเหมยนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่สะใภ้ฟาง ตลอดเวลาที่หู่จือวิ่งมา เขาก็ให้ความสนใจพี่สะใภ้ฟางทั้งหมด แต่ไม่ได้มองมาที่หล่อนสักนิด
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของจางเหมยเจ็บปวดอย่างรุนแรง
นั่นคือลูกชายของหล่อน
ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักกัน แต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาหล่อนได้พบกับหู่จือทุกเดือน ตอนนี้เขาควรจะจำหล่อนได้แล้วสิ?
แต่เขากลับไม่มองหล่อนแม้แต่แวบเดียว
ราวกับว่าเขามองไม่เห็นหล่อนในฝูงชนเลย
หัวใจของจางเหมยพลันจมดิ่งลงสู่ก้นเหวอย่างช่วยไม่ได้
หล่อนรู้ดีว่าหู่จือใช่ว่าไม่เห็นหล่อน แต่เป็นเพราะในใจเขาไม่มีหล่อนอยู่เลย
เด็ก ๆ จะไม่มีวิธีการจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างผู้ใหญ่ พวกเขาจะมองเห็นแต่คนที่อยู่ในใจเท่านั้น
น้ำตาของจางเหมยไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความรู้สึกที่เห็นลูกอยู่ใกล้ๆ แต่ก็เอื้อมมือไปไม่ได้นี่เจ็บปวดที่สุดแล้ว ทางเดียวที่ทำให้เจ็บปวดน้อยลงคือการอยู่ห่างๆ แล้วยินดีไปกับการเติบโตของเขาล่ะนะ
ไหหม่า(海馬)