ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 757 ต้องปรับมุมมองให้กว้าง
………………..
ตอนที่ 757 ต้องปรับมุมมองให้กว้าง
หลินจินซานเอ่ยปากด้วยความเกรงใจ “ลุงเซี่ย ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมจะพยายามด้วยตัวเองครับ”
“ฉันรู้ว่าเธอทำงานอย่างขยันขันแข็ง การที่คนหนุ่มสาวมีความมุ่งมั่นแบบนี้เป็นเรื่องดี ตั้งใจทำงาน เก็บเงินให้มาก ๆ ในอนาคตเมื่อแต่งงานแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ ค่าข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น” เซี่ยเหลยกล่าว “ฉันเห็นบ้านมาหลายหลัง เดี๋ยวจะพาชุนฟางไปดู มีลานบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ฉันว่าไม่เลวนะ เจ้าของย้ายไปอยู่ตึกแล้ว ลานบ้านก็เลยว่างลงมา ลานบ้านจะกว้างกว่าห้องในตึก ในลานบ้านปลูกดอกไม้ได้ ช่วงฤดูร้อนยังนั่งเล่นในลานบ้านได้ ไม่อึดอัดเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยเหลยเลือกลานบ้านให้ หลินจินซานก็รู้สึกชอบใจมาก “ลุงเซี่ย ลานบ้านก็ได้ครับ ผมชอบอยู่ลานบ้านอยู่แล้ว”
หลินจินซานเติบโตมาในชนบท คุ้นเคยกับการอยู่บ้านกว้าง ๆ เขาไม่ค่อยชินกับห้องสองห้องในตึกของคนในเมืองจริง ๆ
สำหรับเขาแล้ว นั่นก็เหมือนกรงขัง
แถมยังไม่มีฉนวนกันเสียงเลย
ลานบ้านในชนบทของพวกเขาถึงจะค่อนข้างซอมซ่อ แต่ก็กว้างขวางโล่งโปร่ง ลานบ้านของแต่ละครอบครัวยังใหญ่พอให้รถวิ่งได้
“ได้ งั้นเธอลองหาเวลา พวกเราไปดูกัน”
เรื่องใหญ่อย่างซื้อบ้าน เขาพึ่งพาพ่อเลี้ยงอย่างเซี่ยเหลยไม่ได้
อีกอย่างหลิวกุ้ยอิงก็ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเขา
ที่พวกเขาปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูก จนถึกงตอนนี้ยังมีบ้านให้กลับ เขารู้สึกพอใจมากแล้ว
“ผมจะจ่ายเอง”
เซี่ยเหลยพูดไม่มาก แต่หนักแน่นมาก
คุแม่เซี่ยเห็นหลินจินซานยังคงต้องการปฏิเสธต่อไป จึงพูดยิ้ม ๆ ว่า “จินซาน เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลหรอก ป้าเซี่ยกับแม่ของเธอจะจัดการเอง เธอกับชุนฟางแค่ดูบ้านก็พอ เก็บเงินของเธอไว้ ซื้อเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งบ้านก็ต้องใช้เงินอยู่แล้ว”
หลินจินซานรู้สึกแสบข้างในจมูก ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“เสี่ยวเยี่ยน แล้วเธอกับเสี่ยวลู่เป็นยังไงบ้าง?”
หลินเยี่ยนที่นั่งอยู่อย่างเรียบร้อยเหมือนคนไม่มีตัวตนอยู่ดี ๆ ก็ถูกคุณย่าพูดถึงเรื่องของตนขึ้นมา จึงยังไม่ทันได้ตอบสนอง
สิ่งที่ทำให้หลินเยี่ยนรู้สึกสงสัยคือ คุณย่ากลับพูดถึงลู่เจิ้งอวี่
ใบหน้าของหลินเยี่ยนกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว หล่อนไม่กล้ามองตาของคุณแม่เซี่ย พูดเสียงอ่อยว่า “คุณย่าค่ะ ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้นเอง”
ตอนที่หล่อนพูดก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกเหมือนแม่กับคุณย่าเซี่ยกำลังจ้องมองตอยู่
ไม่รู้ทำไม ถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้
คุณแม่เซี่ยพูดยิ้ม ๆ ว่า “ก็เริ่มต้นจากการเป็นแฟนกันไงล่ะ ฉันว่าหนุ่มคนนั้นดูดีนะ ขยันและมีความสามารถ ตอนนี้เป็นผู้ช่วยของอารองเธอ ต่อไปต้องสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง เป็นเจ้านายเองได้แน่ ๆ”
สำหรับเพื่อนของเซี่ยไห่ คุณแม่เซี่ยชอบพวกเขามาก
และก็ประเมินพวกเขาไว้สูงมากด้วย
เพื่อนของลูกชายและหลานเขยของนางไม่มีทางแย่แน่นอน
เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงต่างมองใบหน้าของหลินเยี่ยน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองหล่อน
สายตาแบบนี้สำหรับหลินเยี่ยนแล้วแทบจะเป็นการทรมานเลยทีเดียว
นี่เป็นความในใจจริง ๆ ของ หลินเยี่ยน
จริง ๆ แล้วลู่เจิ้งอวี่ก็เคยแสดงท่าทีแบบนั้นกับหล่อนอย่างอ้อม ๆ มาก่อน
แถมยังเป็นการเขียนจดหมายด้วย
ลู่เจิ้งอวี่กับเธอเหมือนกันตรงที่ต่างเป็นคนเก็บตัว โดยเฉพาะเรื่องความรักระหว่างชายหญิง มักจะเขินอายไม่กล้าเผชิญหน้ากับเพศตรงข้ามเสมอ
หล่อนได้รับจดหมายที่ลู่เจิ้งอวี่เขียนถึงตน แล้วก็ตอบกลับไปฉบับหนึ่ง
บอกความคิดของตัวเองให้เขารู้อย่างชัดเจน
หล่อนอายุยังไม่ถึง 20 ปี ถ้าอยู่ในชนบท ตอนนี้อาจจะถูกพ่อแม่สั่งให้แต่งงานมีครอบครัวเป็นแม่บ้านไปแล้ว
แต่พอมาถึงเมืองไห่เฉิง ได้หลินเซี่ยพาไปเรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้า ความคิดของหล่อนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
หล่อนเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงในเมืองนอกจากแต่งงานมีลูกแล้ว ยังสามารถทำอะไรที่มีความหมายและทำให้ตัวเองมีคุณค่าได้อีกมากมาย
ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาส แต่ตอนนี้พี่สาวของหล่อนให้เวทีที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ให้หล่อนได้แสดงความสามารถ หล่อนจะปล่อยโอกาสดี ๆ แบบนี้แล้วมัวแต่คิดเรื่องความรักตั้งแต่อายุยังน้อยไปได้อย่างไร?
ตั้งแต่เด็กจนโต หล่อนต้องเห็นแม่ของเธอรับใช้ครอบครัวใหญ่อย่างสุภาพอ่อนน้อม และยังต้องถูกย่าตำหนิด่าทออยู่บ่อย ๆ
ตอนที่แม่ของหล่อนอายุยังน้อยหล่อนเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใสมาก ๆ คนหนึ่ง
แต่การแต่งงานได้ทำลายหล่อนจนกลายเป็นผู้หญิงไร้ชีวิตชีวา วันทั้งวันง่วนอยู่กับงานในบ้านในเรือน
ตอนอยู่ในชนบท หล่อนไม่เคยเห็นวิถีชีวิตแบบอื่น คิดว่าตัวเองโตขึ้นมาแล้ว ชีวิตแบบแม่ของหล่อนก็คือโชคชะตาสุดท้ายของหล่อน
แต่ตอนนี้ หล่อนรู้แล้วว่าตนจะไม่ทำแบบนั้น
สิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดคือ หลังจากตอบจดหมายถึงลู่เจิ้งอวี่เพื่ออธิบายความคิดในใจของหล่อน ลู่เจิ้งอวี่กลับบอกว่าเขาชื่นชมและเห็นด้วยกับความคิดของหล่อนมาก ทั้งสนับสนุนให้หล่อนกล้าที่จะไล่ตามความฝันในอาชีพ
ตอนนี้เขาก็จะตั้งใจทำงาน ไม่คิดถึงเรื่องอื่น
รอจนกว่าพวกเขาทั้งสองจะโตขึ้นอีกนิด มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและประสบการณ์พอสมควร แล้วค่อยทำความรู้จักและคบหากันต่อ
หลินเยี่ยนอ่านจดหมายที่ลู่เจิ้งอวี่เขียนถึงหล่อนซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนเขาจะหมายความว่ายินดีรอหล่อน?
หลินจินซานมองหลินเยี่ยนด้วยสถานะของพี่ชาย พูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงตักเตือนว่า “เสี่ยวเยี่ยนยังเด็กอยู่ อย่าได้มัวแต่หลงใหลในความรัก จงตั้งใจเรียนวิชาชีพให้ดี รอจนเซี่ยเซี่ยไปที่กองถ่ายเป็นช่างแต่งหน้า ใครจะรู้ว่าหล่อนอาจจะพาเธอไปด้วย แล้วได้พบรักกับดาราก็ได้นะ”
หลินจินซานรู้สึกว่าตอนนี้พวกเขาควรจะมองภาพใหญ่
อย่าได้ยึดติดกับคนรอบข้างมากนัก
หลิวกุ้ยอิงได้ยินคำพูดของเขาแล้วร้อนใจมาก
“ลูกอย่าไปปลูกฝังความคิดที่ไม่ควรมีให้น้องสาวสิ พวกเราก็เป็นแค่คนธรรมดา ต่อไปหาคนธรรมดามาใช้ชีวิตอย่างมั่นคงก็พอแล้ว อย่าไปฝันกลางวันอยากได้ดาราเลย”
หลิวกุ้ยอิงแม้ว่าตอนนี้จะมีชีวิตที่ดีแล้ว แต่ในส่วนลึกยังคงมีความรู้สึกด้อยค่าและระมัดระวังตัวอยู่
หล่อนรักษาชีวิตในปัจจุบันอย่างทะนุถนอม และหวังว่าลูก ๆ จะสามารถใช้ชีวิตอย่างรู้จักประมาณตน ไม่พยายามก้าวเข้าไปในวงการที่ไม่ใช่ของพวกเขา
ไม่อย่างนั้น คนที่จะได้รับบาดเจ็บก็คือตัวพวกเขาเอง
หลินจินซานกลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป เขาพูดว่า “แม่ดูสิ นี่แม่มีมุมมองที่แคบไปแล้วนะ อาหญิงของผมก็เป็นดาราไง แถมยังเป็นดาราที่มีอิทธิพลมหาศาลด้วย มีอะไรที่สูงเกินเอื้อมกันล่ะ เสี่ยวเยี่ยนของเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร”
หลินจินซานไม่ได้มีความเห็นอะไรกับลู่เจิ้งอวี่ เพียงแต่ไม่ค่อยหวังให้หัวหน้างานของตัวเองกลายเป็นน้องเขยในใจ
พูดให้ถูกคือ ไม่หวังให้น้องเขยกลายเป็นหัวหน้าตัวเอง
ไม่อย่างนั้นเขาจะเสียหน้าแค่ไหน
เซี่ยเหลยที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด จู่ ๆ ก็แสดงความคิดเห็นออกมา “ในเมื่อเสี่ยวเยี่ยนเองก็ไม่ได้มีแผนการในเรื่องนี้ ทุกคนก็ไม่ต้องไปกังวลแทนหล่อนหรอก อย่าเพิ่งรีบเร่งให้แต่งงาน หล่อนยังเด็ก เสี่ยวอวี่อายุมากกว่าเสี่ยวเยี่ยนตั้งครึ่งหนึ่งก็เพิ่งแต่งงานไปไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กระแสสังคมดีขนาดนี้ ผู้หญิงก็ควรมีงานและอาชีพเป็นของตัวเอง ส่วนเรื่องความรัก ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ ถึงเวลาที่โชคชะตากำหนดไว้ มันก็จะมาเอง”
เซี่ยเหลยพูดประโยคนี้เพื่อให้หญิงชราที่บ้านได้ยินเป็นหลัก
คุณแม่ของเขาอายุมากแล้ว มีแนวคิดที่ล้าสมัย แม้ตัวเองจะเป็นผู้เสียหายจากชีวิตสมรสมากที่สุด แต่ก็ยังคงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจุดหมายปลายทางสูงสุดของคนคือการแต่งงานและมีครอบครัว
นางดูเหมือนจะเคยชินกับการเร่งรัดให้ลูกหลานแต่งงานแล้ว
ในสายตาของนาง ลูกหลานทุกคนในบ้านต้องหาแฟนให้ได้ ถึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ
หลินเยี่ยนย่อมรู้สึกกังวลอยู่แล้วเพราะไม่รู้ว่าจะบอกความตั้งใจของตัวเองให้ครอบครัวเข้าใจได้อย่างไร
ยิ่งไม่ถนัดในการโต้แย้งกับผู้อื่น
ครั้งนี้คำพูดของเซี่ยเหลยทำให้หล่อนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
เป็นการพูดแทนใจหล่อนอย่างแท้จริง
หล่อนมองไปที่เซี่ยเหลยด้วยความซาบซึ้ง เอ่ยปากด้วยความสุภาพ “ขอบคุณลุงเซี่ย ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
เมื่อเซี่ยเหลยพูดออกมา คุณแม่เซี่ยก็รู้ตัวว่าตนเองพูดมากเกินไปจนสร้างแรงกดดันให้กับเด็ก ๆ นางจึงไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
หลินเยี่ยนยังเด็กอยู่จริง ๆ ซึ่งหาได้ยากที่เด็กสาวคนหนึ่งจะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ควรใช้เวลาตอนหนุ่มสาวในการพัฒนาตนเองและทำงานให้ดี
ขอแค่อย่าเป็นเหมือนเซี่ยอวี่ที่สนใจแต่เรื่องงานจนกลายเป็นสาวแก่ก็พอ
ตอนนี้สิ่งที่นางควรกังวลที่สุดคือเซี่ยไห่
ไอ้เด็กบ้านั่น กระทั่งความสามารถอย่างเย่ไป๋ก็ยังไม่มีเลย
น่าเป็นห่วงจริง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เรื่องความรักค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีกว่าเนอะ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน
ไหหม่า(海馬)
………………..